วันนี้ (20 พ.ย.2565) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีมาตรกาผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล ผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล
วันนี้ (19 เม.ย.2565) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกิร์ลกรุ๊ป "aespa" จากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ SM Entertainment ได้รับเชิญให้ขึ้นแสดงบนเวทีหลักใน เทศกาลดนตรีระดับโลก Coachella 2022 ที่แคลิฟอ
"กล่องดวงใจ" เป็นเรื่องใหญ่ของผู้ชายทั่วโลก ในอดีตกาลไม่เคยมีการศึกษาว่า ในยามใช้ชีวิตปกติ หรือออกรบทัพจับศึก บุรุษชาติอาชาไนย เคยประสบปัญหาเรื่องจุดซ่อนเร้นหรือไม่ โดยเฉพาะปัญหาอับชื้น ที่ส่งผลให้เกิดแบคทีเรียสะสม หรือ "โรคติดต่อ" ที่มาจากกิจวัตรต่าง ๆ ในยามนั้น แม้จะมีข้อมูลย้อนหลังจากการขุดสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ในปี 1922 จนพบหลักฐานว่า ในสมัยอียิปต์โบราณ เมื่อ 7,000 ปีก่อน มีการใช้กางเกงในแล้ว จากภาพวาด และหลักฐานพบ "กำเนิด"กางเกงในยุคโบราณ เรียกว่า "เชนติ" ทำมาจากผ้าฝ้ายหรือผ้าเฟล็กซ์ มีลักษณะเป็นการนำผ้ายาว ๆ มามัดเป็น "เตี่ยว" เพื่อคลุมและเก็บ "กล่องดวงใจ" ให้เป็นรูปทรง และในภายหลังได้มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ และหากย้อนกลับไปในอดีต จุดประสงค์ของกางเกงใน ไม่ได้สวมใส่เพื่อการปกป้องอวัยวะเพศหรือจุดซ่อนเร้น จากสิ่งเร้า ไม่ให้เกิดอาการหรือภาวะ "ไข่เบียด" "ไข่ดัน" "ไข่ย้อย" เท่านั้น แต่เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษ 2024 ยังมีประเด็นของการสวมใส่เพื่อ "ติดแกลม" หรือ การอวดความหรูหรา (ติดแกลม เป็นศัพท์สแลงจากโซเชียลมีเดียที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ "Glamorous" หมายถึง น่ามอง, มีเสน่ห์ และ ดึงดูดใจ ติดสวย ติดหรู ติดของราคาแพง การใช้ชีวิตแบบหรูหรา ฟุ่มเฟือย) กางเกงในสำหรับผู้ชายก็มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีนวัตกรรมในการป้องกัน "กล่องดวงใจ" แล้วยังช่วยสงบศึก ปัญหาไข่เบียด เสียดสี และตีกันอีกด้วย ที่มา: Wikimedia ที่มา: Wikimedia ตามประวัติศาสตร์ วัตถุประสงค์การตัดเย็บกางเกงในขึ้นมาเพื่อปกป้อง "กล่องดวงใจ" จากภยันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นการเสียดสีที่หว่างขา แมลงสัตว์กัดต่อย สิ่งสกปรกจากสภาพแวดล้อม เมื่อ 7,000 ปีที่แล้ว รูปลักษณ์ของกางเกงใน มีลักษณะคล้ายรูปตัว Y เป็นการนำผ้ายาว ๆ มามัดเป็น "เตี่ยว" เพื่อคลุมอวัยวะเพศชายเพื่อรักษารูปทรง โดยวิธีการมัดผ้าเตี่ยวนั้น อยู่ที่ "สถานะทางสังคม" ของผู้สวมใส่ หากเป็นขุนนางหรือข้าราชบริพาร ก็จะมัดแบบธรรมดาๆ แต่หากเป็นกษัตริย์ จะมีวิธีการมัดผ้าอย่างประณีต ให้เป็นรูปทรงที่สวยงาม หรือบางหลักฐานก็ชี้ว่า การสวมใส่กางเกงในสงวนไว้ให้วรรณะกษัตริย์เท่านั้น ชนชั้นอื่น ๆ ต่าง "ล่อนจ้อน" ทั้งแผ่นดิน นอกจากนี้ กางเกงในยังเป็นเครื่องบ่งบอก "สถานภาพทางสังคม" ความเป็นเผ่าพันธุ์ ชนชาติ หรือสังกัดได้อีกด้วย เช่น ชาวสปาร์ตัน เผ่าพันธุ์นักรบสุดแกร่ง กล้ามเป็นมัด ๆ ในสมัยกรีกโบราณ นิยมสวมใส่กางเกงในแบบ "สามเหลี่ยมคว่ำ" ทั้งในยามสงบ และในยามออกศึกสงคราม หรือชาวโรมันสวมใส่กางเกงในที่มีขาสองข้าง (คล้ายบ็อกเซอร์) และถุงเท้า ส่วนประชาชนทั่วไปหรือข้าทาสบริวาร แทบไม่มีโอกาสได้สวมใส่กางเกงใน เพราะถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้เวลานานกว่าจะสวมใส่ได้ ไม่สอดรับกับวิถีชีวิตที่ต้องใช้แรงงานหนัก ดังนั้น ไพร่และทาสจึงใส่กางเกงในแบบลวก ๆ เพื่อ "ปิดบัง" ของลับเท่านั้น อาจจะใช้ผ้าขาวบาง หรือใบไม้มาปกปิดแทน ที่มา: Wikimedia ที่มา: Wikimedia ในยุคกลางที่ศาสนาคริสต์เรืองอำนาจ เกิดโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่โรคที่เกี่ยวข้องกับของลับผู้ชาย โดยเฉพาะ "สังคัง" หรือ "โลน" ศาสนจักรจึงรณรงค์ให้ใส่กางเกงในเพื่อ "สุขอนามัย" มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ใส่กางเกงในทั้งสิ้น เพียงแต่ "วัสดุ" และการตัดเย็บแตกต่างกันไปตามฐานะ วัตถุประสงค์ของการใส่กางเกงในในยุคกลางจึงเปลี่ยนเป็น "เพื่อความสะอาด" แทน อย่างไรก็ตาม อาการใต้หว่างขาที่เกิดจากเชื้อโรคก็ส่วนหนึ่ง แต่อาการที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของร่างกาย "ภายใน" เช่น อาการ "ไข่ดัน" ที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวมผิดปกติ จนส่งผลให้ลูกอัณฑะนั้นใหญ่ผิดปกติ หรือ "ไส้เลื่อน" ที่ลำไส้เกิดการเคลื่อนที่ลงมากองบริเวณถุงอัณฑะ "ถุงน้ำลูกอัณฑะ" ที่มีน้ำสะสมบริเวณลูกอัณฑะจำนวนมากและโป่งพองออกมา เกิดขึ้นอย่างมากในช่วงยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ยุคเรอเนซองส์ (Renaissance) คริสต์ศตวรรษที่ 14-16) ดังนั้น กางเกงในจึงทำหน้าที่ในการ"ป้องกันและบรรเทา" อาการดังกล่าว โดยวิธีการป้องกัน คือ หากอัณฑะลดการ "เสียดสี" หรือการเคลื่อนตัว ก็จะทำให้อาการข้างต้นลดลง ส่วนการบรรเทา คือ อาการข้างต้นต้องมีการผ่าตัดใหญ่ การใส่กางเกงในให้มิดชิดจะช่วยลดอาการติดเชื้อหรือบาดทะยักได้ ตรงนี้ การออกแบบกางเกงในให้ "เข้ารูป" จึงจำเป็นอย่างมาก ต้องไม่คับเกินไปและไม่หลวมเกินไป กางเกงในมีการพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ แต่ยังคงมีวัตถุประสงค์เดิม เพียงแต่วัสดุที่ใช้นั้นมีการวิจัยและพัฒนามากขึ้น จากแต่เดิมที่ใช้ผ้าฝ้าย ก็เริ่มมีการใช้ผ้าอื่น ๆ เข้ามาตัดเย็บ เช่น การใช้ผ้าร่มหรือผ้าโพลีเอสเตอร์ เพื่อออกแบบกางเกงในสำหรับ "เล่นกีฬา" การใช้ผ้าไหมเพื่อระบายความอับชื้นได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าสู่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สถานะของ "กางเกงในผู้ชาย" ก็เปลี่ยนบทบาทไปเป็นการสวมใส่เพื่อ "แฟชั่น" อย่างคาดไม่ถึง ที่มา: Wikimedia ที่มา: Wikimedia แม้กางเกงในมีไว้เพื่อการปกป้อง "กล่องดวงใจ" ที่ผู้ชายทุกคนรักยิ่งชีพ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนวัตกรรมใหม่แล้ว ยังได้มีการเพิ่มฟังก์ชันพิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง คือ การสวมใส่แบบ "แฟชั่น อวดหรู" แก่บุคคลอื่น ๆ โดยมีการออกแบบสีและลวดลายใหม่บนผ้า ที่ใช้ผลิตกางเกงใน ข้อเท็จจริง สถานะของกางเกงใน มักจะไม่ได้มีการเปิดเผย หากไม่ได้ถ่ายแฟชั่นโชว์ในชุดว่ายน้ำ หรือกิจกรรมปกติทั่วไป แต่มีงานศึกษา เกี่ยวกับการหน้าที่ของกางเกงในผู้ชายว่า แม้จะไม่มีใครเห็น แต่ "ผู้สวมใส่" ย่อมรู้ดีว่ากางเกงในที่สวมใส่นั้นราคาเท่าไร ใช้วัสดุอะไร มีแบรนด์หรือไม่ หากกางเกงในนั้นราคาสูง ใช้วัตถุดิบผลิตเกรดดี และแบรนด์ระดับโลก ย่อมทำให้ผู้สวมใส่เกิด "ความรู้สึกทางใจ" เปี่ยมล้น มากกว่าการใส่กางเกงในที่หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป งานศึกษา The Theory of the Leisure Class: An Economic Study in the Evolution of Institutions ชี้ว่า การบริโภคของหรูนั้น "ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง" คือ ได้คุณประโยชน์จากสินค้า และ "สถานภาพ" ที่เพิ่มขึ้นจากการบริโภคสินค้า โดยในกรณีของกางเกงใน นอกจากจะได้ฟังก์ชันการปกป้องหว่างขาจากอันตรายแล้ว ผู้สวมใส่ยังจะได้รู้สึกถึงความ "โชว์เหนือ" กว่าบุคคลอื่น ๆ ตามไปด้วย แม้จะอยู่ในร่มผ้าก็ตาม นอกจากนี้ กางเกงในถือเป็นสินค้าหรู "ที่จับต้องได้" มากกว่าสินค้าเครื่องแต่งกายประเภทอื่น ๆ ด้วยความที่มีขนาดเล็ก ใช้วัตถุดิบไม่มาก ตัดเย็บง่าย ทำให้กระบวนการผลิตและตัดเย็บไม่ต้องพึ่งพาทักษะการตัดเย็บที่สูงมากมายอะไร ดังนั้น แม้จะใช้ผ้าแพรราคาแพงจากดูไบมาตัดเย็บ ราคาที่ประชาชนพอจะจับต้องได้ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรม "ติดแกลมได้ทุกวัน (Everyday Luxury) " เพิ่มมากขึ้น ด้วยความคิดที่ว่า ในเมื่อเราซื้อเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ ที่หรูหราราคาแพงไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ขอให้กางเกงในหรูหราก็ยังดี โดยเฉพาะในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 การใส่กางเกง "เอวต่ำ" เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ทำให้มองเห็น "ขอบกางเกงใน" กางเกงในที่เคยเป็นเครื่องแต่งกายในที่ลับ ก็เผยโฉมออกสู่สายตาผู้คนได้ อย่างไม่รู้สึกน่าเกลียดแต่อย่างใด และกลายเป็นแฟชั่นโชว์ขอบกางเกงในที่ได้รับความสนใจจากผู้ชายทั่วโลก แบรนด์แรก ๆ ที่ทำการตลาดด้านกางเกงในในฐานะของหรู คือ กางเกงในสัญชาติสหรัฐฯ โดยเลือกจะปักชื่อแบรนด์ลงบนขอบกางเกงในเพื่อทำให้เกิดภาพติดตา และใช้วัสดุที่พรีเมียม ขายราคาแพง ทำให้ผู้พบเห็นว่า ชายใดที่ใส่แบรนด์นี้ แสดงว่าสถานะทางการเงินต้องดีมาก ๆ ผู้สวมใส่จึงสามารถอวดสถานภาพทางสังคม หรือ "ขิง" ผู้คนได้ด้วยการใช้กางเกงในไปโดยปริยาย ยิ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของการเรียกร้อง "สิทธิและเสรีภาพในร่างกาย" และ "การยอมรับความหลากหลาย" ทำให้ "เส้นแบ่ง" ระหว่างกางเกงในและกางเกงปกติ "เบาบางลง" เรียกได้ว่า มีการออกแบบให้กางเกงในสามารถจะใส่ออกมาเดินเล่นในสถานที่สาธารณะได้อย่างไม่เคอะเขิน แบรนด์ของชุดชั้นในกีฬา ที่ออกแบบให้กางเกงในสามารถที่จะเข้ารูปพผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล ผล บ้าน บอล สปอร์ต พูลอดีกับลูกอัณฑะ สามารถใส่ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ใส่ออกกำลังกาย ใส่นอน ใส่เดินเล่น หรือกระทั่งใส่มาทำงาน กลมกลืนไปกับกางเกงแบบอื่น ๆ เมื่อสังคมเปิดกว้างเรื่องกางเกงในที่สามารถใส่ออกมาเดินในสถานที่สาธารณะได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ กางเกงในยังคงผลิตออกมาจากแบรนด์จำนวนมากเป็นสินค้า "แมส" ขายให้ทุกคน ต่อ ให้ออกแบบอย่างรัดกุมเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะ "เข้ารูป" กับอัณฑะหรือองคชาตของบุรุษได้อย่างแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภค "ปรับแต่งเอง" หรือ "Customisation" คริสต็อง ลูบูแต็ง นักออกแบบชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า ของหรูหราไม่ใช่การบริโภคนิยม ที่จะผลิตออกมาจำนวนมาก ๆ และอ้างว่า ออกแบบมาเพื่อทุกคน แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภครับรู้ผ่านสายตาได้ว่า คุณภาพพิเศษสุด ๆ เพื่อเขาโดยเฉพาะ ของหรูจึงจะเข้าใกล้ผู้บริโภคได้มากขึ้น หมายความว่า ของหรูหราคือ สิ่งของเฉพาะ มีชิ้นเดียวในโลก และออกแบบมาเพื่อบุคคล ไม่ซ้ำแบบใคร ดังนั้น ในวงการเครื่องแต่งกายและแฟชั่นจึงปรับเปลี่ยนมาให้ลูกค้าสามารถที่จะออกแบบและกำหนดผลิตภัณฑ์สินค้าเพื่อให้เข้ากับรูปลักษณ์มากที่สุด แต่ก็เก็บค่าบริการราคาสูงเสียยิ่งกว่ากางเกงในหรูหราที่ผลิตออกมา ทั้งนี้ เพื่อความ "Exclusive" โดยเฉพาะ ไบรอัน ทรูนโซ นักออกแบบผลิตภัณฑ์อาวุโส ที่คลุกคลีในวงการแฟชั่นมาช้านาน ย้ำเตือนว่า การเปิดโอกาสให้ลูกค้าปรับแต่งกางเกงในเองได้เป็นสิ่งที่เพิ่มมูลค่าก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่าของหรูหราที่แท้จริงนั้น มาจาก "การสั่งสมความขลังมาช้านาน" เพื่อสร้าง "เรื่องราว" ให้กับสินค้า หากทำได้ตามนี้ แม้แต่ผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ ก็ขายในราคาแพงได้เช่นกัน แหล่งอ้างอิง The Story of Men's Underwear, "Men Feel Swell in…"1 Men’s Underwear: Functional Necessities or Desirable Luxuries?, The Theory of the Leisure Class: An Economic Study in the Evolution of Institutions ข่าวที่เกี่ยวข้อง สอบ 11 ชม. "ทนายตั้ม-ภรรยา" ให้การปฏิเสธคุมฝากขังวันนี้ วงการบันเทิงสูญเสียนักแสดงอาวุโส “คุณยายบรรเจิดศรี” อายุ 100 ปี "APT." หลอนหู ส่ง "โรเซ่ Blackpink" ทำสถิติขึ้นที่ 2 ชาร์ตเพลงอังกฤษ
วันนี้ (18 ม.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33
ผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล ผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล
วันนี้ (20 พ.ย.2565) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีมาตรกาผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล ผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล
วันนี้ (19 เม.ย.2565) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกิร์ลกรุ๊ป "aespa" จากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ SM Entertainment ได้รับเชิญให้ขึ้นแสดงบนเวทีหลักใน เทศกาลดนตรีระดับโลก Coachella 2022 ที่แคลิฟอ
"กล่องดวงใจ" เป็นเรื่องใหญ่ของผู้ชายทั่วโลก ในอดีตกาลไม่เคยมีการศึกษาว่า ในยามใช้ชีวิตปกติ หรือออกรบทัพจับศึก บุรุษชาติอาชาไนย เคยประสบปัญหาเรื่องจุดซ่อนเร้นหรือไม่ โดยเฉพาะปัญหาอับชื้น ที่ส่งผลให้เกิดแบคทีเรียสะสม หรือ "โรคติดต่อ" ที่มาจากกิจวัตรต่าง ๆ ในยามนั้น แม้จะมีข้อมูลย้อนหลังจากการขุดสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ในปี 1922 จนพบหลักฐานว่า ในสมัยอียิปต์โบราณ เมื่อ 7,000 ปีก่อน มีการใช้กางเกงในแล้ว จากภาพวาด และหลักฐานพบ "กำเนิด"กางเกงในยุคโบราณ เรียกว่า "เชนติ" ทำมาจากผ้าฝ้ายหรือผ้าเฟล็กซ์ มีลักษณะเป็นการนำผ้ายาว ๆ มามัดเป็น "เตี่ยว" เพื่อคลุมและเก็บ "กล่องดวงใจ" ให้เป็นรูปทรง และในภายหลังได้มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ และหากย้อนกลับไปในอดีต จุดประสงค์ของกางเกงใน ไม่ได้สวมใส่เพื่อการปกป้องอวัยวะเพศหรือจุดซ่อนเร้น จากสิ่งเร้า ไม่ให้เกิดอาการหรือภาวะ "ไข่เบียด" "ไข่ดัน" "ไข่ย้อย" เท่านั้น แต่เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษ 2024 ยังมีประเด็นของการสวมใส่เพื่อ "ติดแกลม" หรือ การอวดความหรูหรา (ติดแกลม เป็นศัพท์สแลงจากโซเชียลมีเดียที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ "Glamorous" หมายถึง น่ามอง, มีเสน่ห์ และ ดึงดูดใจ ติดสวย ติดหรู ติดของราคาแพง การใช้ชีวิตแบบหรูหรา ฟุ่มเฟือย) กางเกงในสำหรับผู้ชายก็มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีนวัตกรรมในการป้องกัน "กล่องดวงใจ" แล้วยังช่วยสงบศึก ปัญหาไข่เบียด เสียดสี และตีกันอีกด้วย ที่มา: Wikimedia ที่มา: Wikimedia ตามประวัติศาสตร์ วัตถุประสงค์การตัดเย็บกางเกงในขึ้นมาเพื่อปกป้อง "กล่องดวงใจ" จากภยันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นการเสียดสีที่หว่างขา แมลงสัตว์กัดต่อย สิ่งสกปรกจากสภาพแวดล้อม เมื่อ 7,000 ปีที่แล้ว รูปลักษณ์ของกางเกงใน มีลักษณะคล้ายรูปตัว Y เป็นการนำผ้ายาว ๆ มามัดเป็น "เตี่ยว" เพื่อคลุมอวัยวะเพศชายเพื่อรักษารูปทรง โดยวิธีการมัดผ้าเตี่ยวนั้น อยู่ที่ "สถานะทางสังคม" ของผู้สวมใส่ หากเป็นขุนนางหรือข้าราชบริพาร ก็จะมัดแบบธรรมดาๆ แต่หากเป็นกษัตริย์ จะมีวิธีการมัดผ้าอย่างประณีต ให้เป็นรูปทรงที่สวยงาม หรือบางหลักฐานก็ชี้ว่า การสวมใส่กางเกงในสงวนไว้ให้วรรณะกษัตริย์เท่านั้น ชนชั้นอื่น ๆ ต่าง "ล่อนจ้อน" ทั้งแผ่นดิน นอกจากนี้ กางเกงในยังเป็นเครื่องบ่งบอก "สถานภาพทางสังคม" ความเป็นเผ่าพันธุ์ ชนชาติ หรือสังกัดได้อีกด้วย เช่น ชาวสปาร์ตัน เผ่าพันธุ์นักรบสุดแกร่ง กล้ามเป็นมัด ๆ ในสมัยกรีกโบราณ นิยมสวมใส่กางเกงในแบบ "สามเหลี่ยมคว่ำ" ทั้งในยามสงบ และในยามออกศึกสงคราม หรือชาวโรมันสวมใส่กางเกงในที่มีขาสองข้าง (คล้ายบ็อกเซอร์) และถุงเท้า ส่วนประชาชนทั่วไปหรือข้าทาสบริวาร แทบไม่มีโอกาสได้สวมใส่กางเกงใน เพราะถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้เวลานานกว่าจะสวมใส่ได้ ไม่สอดรับกับวิถีชีวิตที่ต้องใช้แรงงานหนัก ดังนั้น ไพร่และทาสจึงใส่กางเกงในแบบลวก ๆ เพื่อ "ปิดบัง" ของลับเท่านั้น อาจจะใช้ผ้าขาวบาง หรือใบไม้มาปกปิดแทน ที่มา: Wikimedia ที่มา: Wikimedia ในยุคกลางที่ศาสนาคริสต์เรืองอำนาจ เกิดโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่โรคที่เกี่ยวข้องกับของลับผู้ชาย โดยเฉพาะ "สังคัง" หรือ "โลน" ศาสนจักรจึงรณรงค์ให้ใส่กางเกงในเพื่อ "สุขอนามัย" มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ใส่กางเกงในทั้งสิ้น เพียงแต่ "วัสดุ" และการตัดเย็บแตกต่างกันไปตามฐานะ วัตถุประสงค์ของการใส่กางเกงในในยุคกลางจึงเปลี่ยนเป็น "เพื่อความสะอาด" แทน อย่างไรก็ตาม อาการใต้หว่างขาที่เกิดจากเชื้อโรคก็ส่วนหนึ่ง แต่อาการที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของร่างกาย "ภายใน" เช่น อาการ "ไข่ดัน" ที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวมผิดปกติ จนส่งผลให้ลูกอัณฑะนั้นใหญ่ผิดปกติ หรือ "ไส้เลื่อน" ที่ลำไส้เกิดการเคลื่อนที่ลงมากองบริเวณถุงอัณฑะ "ถุงน้ำลูกอัณฑะ" ที่มีน้ำสะสมบริเวณลูกอัณฑะจำนวนมากและโป่งพองออกมา เกิดขึ้นอย่างมากในช่วงยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ยุคเรอเนซองส์ (Renaissance) คริสต์ศตวรรษที่ 14-16) ดังนั้น กางเกงในจึงทำหน้าที่ในการ"ป้องกันและบรรเทา" อาการดังกล่าว โดยวิธีการป้องกัน คือ หากอัณฑะลดการ "เสียดสี" หรือการเคลื่อนตัว ก็จะทำให้อาการข้างต้นลดลง ส่วนการบรรเทา คือ อาการข้างต้นต้องมีการผ่าตัดใหญ่ การใส่กางเกงในให้มิดชิดจะช่วยลดอาการติดเชื้อหรือบาดทะยักได้ ตรงนี้ การออกแบบกางเกงในให้ "เข้ารูป" จึงจำเป็นอย่างมาก ต้องไม่คับเกินไปและไม่หลวมเกินไป กางเกงในมีการพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ แต่ยังคงมีวัตถุประสงค์เดิม เพียงแต่วัสดุที่ใช้นั้นมีการวิจัยและพัฒนามากขึ้น จากแต่เดิมที่ใช้ผ้าฝ้าย ก็เริ่มมีการใช้ผ้าอื่น ๆ เข้ามาตัดเย็บ เช่น การใช้ผ้าร่มหรือผ้าโพลีเอสเตอร์ เพื่อออกแบบกางเกงในสำหรับ "เล่นกีฬา" การใช้ผ้าไหมเพื่อระบายความอับชื้นได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าสู่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สถานะของ "กางเกงในผู้ชาย" ก็เปลี่ยนบทบาทไปเป็นการสวมใส่เพื่อ "แฟชั่น" อย่างคาดไม่ถึง ที่มา: Wikimedia ที่มา: Wikimedia แม้กางเกงในมีไว้เพื่อการปกป้อง "กล่องดวงใจ" ที่ผู้ชายทุกคนรักยิ่งชีพ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนวัตกรรมใหม่แล้ว ยังได้มีการเพิ่มฟังก์ชันพิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง คือ การสวมใส่แบบ "แฟชั่น อวดหรู" แก่บุคคลอื่น ๆ โดยมีการออกแบบสีและลวดลายใหม่บนผ้า ที่ใช้ผลิตกางเกงใน ข้อเท็จจริง สถานะของกางเกงใน มักจะไม่ได้มีการเปิดเผย หากไม่ได้ถ่ายแฟชั่นโชว์ในชุดว่ายน้ำ หรือกิจกรรมปกติทั่วไป แต่มีงานศึกษา เกี่ยวกับการหน้าที่ของกางเกงในผู้ชายว่า แม้จะไม่มีใครเห็น แต่ "ผู้สวมใส่" ย่อมรู้ดีว่ากางเกงในที่สวมใส่นั้นราคาเท่าไร ใช้วัสดุอะไร มีแบรนด์หรือไม่ หากกางเกงในนั้นราคาสูง ใช้วัตถุดิบผลิตเกรดดี และแบรนด์ระดับโลก ย่อมทำให้ผู้สวมใส่เกิด "ความรู้สึกทางใจ" เปี่ยมล้น มากกว่าการใส่กางเกงในที่หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป งานศึกษา The Theory of the Leisure Class: An Economic Study in the Evolution of Institutions ชี้ว่า การบริโภคของหรูนั้น "ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง" คือ ได้คุณประโยชน์จากสินค้า และ "สถานภาพ" ที่เพิ่มขึ้นจากการบริโภคสินค้า โดยในกรณีของกางเกงใน นอกจากจะได้ฟังก์ชันการปกป้องหว่างขาจากอันตรายแล้ว ผู้สวมใส่ยังจะได้รู้สึกถึงความ "โชว์เหนือ" กว่าบุคคลอื่น ๆ ตามไปด้วย แม้จะอยู่ในร่มผ้าก็ตาม นอกจากนี้ กางเกงในถือเป็นสินค้าหรู "ที่จับต้องได้" มากกว่าสินค้าเครื่องแต่งกายประเภทอื่น ๆ ด้วยความที่มีขนาดเล็ก ใช้วัตถุดิบไม่มาก ตัดเย็บง่าย ทำให้กระบวนการผลิตและตัดเย็บไม่ต้องพึ่งพาทักษะการตัดเย็บที่สูงมากมายอะไร ดังนั้น แม้จะใช้ผ้าแพรราคาแพงจากดูไบมาตัดเย็บ ราคาที่ประชาชนพอจะจับต้องได้ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรม "ติดแกลมได้ทุกวัน (Everyday Luxury) " เพิ่มมากขึ้น ด้วยความคิดที่ว่า ในเมื่อเราซื้อเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ ที่หรูหราราคาแพงไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ขอให้กางเกงในหรูหราก็ยังดี โดยเฉพาะในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 การใส่กางเกง "เอวต่ำ" เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ทำให้มองเห็น "ขอบกางเกงใน" กางเกงในที่เคยเป็นเครื่องแต่งกายในที่ลับ ก็เผยโฉมออกสู่สายตาผู้คนได้ อย่างไม่รู้สึกน่าเกลียดแต่อย่างใด และกลายเป็นแฟชั่นโชว์ขอบกางเกงในที่ได้รับความสนใจจากผู้ชายทั่วโลก แบรนด์แรก ๆ ที่ทำการตลาดด้านกางเกงในในฐานะของหรู คือ กางเกงในสัญชาติสหรัฐฯ โดยเลือกจะปักชื่อแบรนด์ลงบนขอบกางเกงในเพื่อทำให้เกิดภาพติดตา และใช้วัสดุที่พรีเมียม ขายราคาแพง ทำให้ผู้พบเห็นว่า ชายใดที่ใส่แบรนด์นี้ แสดงว่าสถานะทางการเงินต้องดีมาก ๆ ผู้สวมใส่จึงสามารถอวดสถานภาพทางสังคม หรือ "ขิง" ผู้คนได้ด้วยการใช้กางเกงในไปโดยปริยาย ยิ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของการเรียกร้อง "สิทธิและเสรีภาพในร่างกาย" และ "การยอมรับความหลากหลาย" ทำให้ "เส้นแบ่ง" ระหว่างกางเกงในและกางเกงปกติ "เบาบางลง" เรียกได้ว่า มีการออกแบบให้กางเกงในสามารถจะใส่ออกมาเดินเล่นในสถานที่สาธารณะได้อย่างไม่เคอะเขิน แบรนด์ของชุดชั้นในกีฬา ที่ออกแบบให้กางเกงในสามารถที่จะเข้ารูปพผล บ้าน บอล สปอร์ต พูล ผล บ้าน บอล สปอร์ต พูลอดีกับลูกอัณฑะ สามารถใส่ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ใส่ออกกำลังกาย ใส่นอน ใส่เดินเล่น หรือกระทั่งใส่มาทำงาน กลมกลืนไปกับกางเกงแบบอื่น ๆ เมื่อสังคมเปิดกว้างเรื่องกางเกงในที่สามารถใส่ออกมาเดินในสถานที่สาธารณะได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ กางเกงในยังคงผลิตออกมาจากแบรนด์จำนวนมากเป็นสินค้า "แมส" ขายให้ทุกคน ต่อ ให้ออกแบบอย่างรัดกุมเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะ "เข้ารูป" กับอัณฑะหรือองคชาตของบุรุษได้อย่างแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภค "ปรับแต่งเอง" หรือ "Customisation" คริสต็อง ลูบูแต็ง นักออกแบบชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า ของหรูหราไม่ใช่การบริโภคนิยม ที่จะผลิตออกมาจำนวนมาก ๆ และอ้างว่า ออกแบบมาเพื่อทุกคน แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภครับรู้ผ่านสายตาได้ว่า คุณภาพพิเศษสุด ๆ เพื่อเขาโดยเฉพาะ ของหรูจึงจะเข้าใกล้ผู้บริโภคได้มากขึ้น หมายความว่า ของหรูหราคือ สิ่งของเฉพาะ มีชิ้นเดียวในโลก และออกแบบมาเพื่อบุคคล ไม่ซ้ำแบบใคร ดังนั้น ในวงการเครื่องแต่งกายและแฟชั่นจึงปรับเปลี่ยนมาให้ลูกค้าสามารถที่จะออกแบบและกำหนดผลิตภัณฑ์สินค้าเพื่อให้เข้ากับรูปลักษณ์มากที่สุด แต่ก็เก็บค่าบริการราคาสูงเสียยิ่งกว่ากางเกงในหรูหราที่ผลิตออกมา ทั้งนี้ เพื่อความ "Exclusive" โดยเฉพาะ ไบรอัน ทรูนโซ นักออกแบบผลิตภัณฑ์อาวุโส ที่คลุกคลีในวงการแฟชั่นมาช้านาน ย้ำเตือนว่า การเปิดโอกาสให้ลูกค้าปรับแต่งกางเกงในเองได้เป็นสิ่งที่เพิ่มมูลค่าก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่าของหรูหราที่แท้จริงนั้น มาจาก "การสั่งสมความขลังมาช้านาน" เพื่อสร้าง "เรื่องราว" ให้กับสินค้า หากทำได้ตามนี้ แม้แต่ผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ ก็ขายในราคาแพงได้เช่นกัน แหล่งอ้างอิง The Story of Men's Underwear, "Men Feel Swell in…"1 Men’s Underwear: Functional Necessities or Desirable Luxuries?, The Theory of the Leisure Class: An Economic Study in the Evolution of Institutions ข่าวที่เกี่ยวข้อง สอบ 11 ชม. "ทนายตั้ม-ภรรยา" ให้การปฏิเสธคุมฝากขังวันนี้ วงการบันเทิงสูญเสียนักแสดงอาวุโส “คุณยายบรรเจิดศรี” อายุ 100 ปี "APT." หลอนหู ส่ง "โรเซ่ Blackpink" ทำสถิติขึ้นที่ 2 ชาร์ตเพลงอังกฤษ
วันนี้ (18 ม.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33