วันนี้ (6 ก.พ.2564) กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศ "พายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 7-9 ก.พ.2564)" ฉบับที่ 2 โดยระบุว่า ในช่วงวันที่ 7- 9 ก.พ.นี้ บริเวณประเทศไทยตอ
หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) จำนวน 47 จังหวัด และสมาชิกสภาองค์
วันนี้ (23 พ.ย.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กคุ้มพระลอเรซซิ่งทีม T96 ได้แจ้งข่าว นายชลอ เกิดเทศ อดีตนายตำรวจคนดัง ระบุว่า ขอให้ "ป๋าลอ" ขอให้เดินทางสู่สุขคติ หลับพักผ่อนให้สบาย โดยในเฟซบุ๊กระบุว่า
พฤ โอโดเชา .. กะเหรี่ยง เป็นเพียงสัตว์ประหลาด มีแค่ “ยอมถูกจับ” หรือ “ยอมสูญสิ้นเผ่าพันธุ์” ตั้งแต่ปลายปี 2565 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ (กันยายน 2566) ชาวกะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ในพื้นที่ภาคเหนือและพื้นที่ป่าตะวันตกของประเทศไทย กำลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ เสนอให้ลงชื่อยอมรับการอนุญาตให้ทำกินในที่ดินตามที่กำหนดไว้ให้ครอบครัวละ 1 แปลง เงื่อนไขที่สำคัญ คือ ถ้าไม่ยอมรับ ก็จะถูกจับกุมดำเนินคดีฐานบุกรุกป่า ปรากฏการณ์นี้ เกิดขึ้นจากการออก “พระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การอยู่อาศัยหรือทำกินในโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ” โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ถ้าอ่านทีละคำตามตัวอักษร ก็น่าจะเป็นกฎหมายที่ดี น่าจะเป็นการอนุญาตให้ทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ น่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะมาช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาทที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างรัฐกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่อาศัยและทำกินอยู่ในพื้นที่ป่า แต่ทำไม ในสายตาของชาวกะเหรี่ยงกลับมองว่า ถ้าพวกเขายอมรับตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ เผ่าพันธุ์กะเหรี่ยงก็จะหมดไปในอีกไม่กี่ปี “ชาวกะเหรี่ยงไม่ได้เคยคิดถึงการถือครองที่ดินเป็นของตัวเอง ในความคิดของชาวกะเหรี่ยง เราทำไร่เสร็จแล้ว ที่ดินตรงนั้นเราก็คืนกลับไปให้กลับเจ้าป่าเจ้าเขา คืนกลับไปให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู พวกเราชาวกะเหรี่ยงจึงมีวิถีการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งจะคืนที่ดินที่เก็บเกี่ยวไปแล้วให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูไปอีก 7 ปี ไร่ของพวกเราจึงไม่เคยต้องใช้สารเคมี และป่าที่เราอยู่กันมามากกว่าร้อยปี ก็ยังเป็นป่ามาถึงปัจจุบัน ... แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รัฐอยากเห็นจากเรา” พฤ โอโดเชา ตัวแทนชาวกะเหรี่ยงภาคเหนือ พฤ โอโดเชา ตัวแทนชาวกะเหรี่ยงภาคเหนือ พฤ โอโดเชา หนึ่งในชาวกะเหรี่ยงที่มีบทบาทเป็นนักต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิการอยู่อาศัยในถื่นที่อยู่ดั้งเดิมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง พูดถึงหลักคิดที่เป็นปรัชญาสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติตามวิถีกะเหรี่ยง นั่นคือ “การทำไร่หมุนเวียน” ซึ่งชาวกะเหรี่ยงเชื่อกันว่า เป็นรูปแบบการทำการเกษตรที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ “เราทำไร่หมุนเวียน ช่วยอนุรักษ์ป่ากันมาอย่างยาวนาน ป่าที่เราอาศัยอยู่ตั้งแต่บรรพบุรุษก็ยังอุดมสมบูรณ์จนรัฐสามารถมาประกาศเป็นเขตอุทยาน หรือประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้ด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆก็มาบอกว่า ให้เรายอมรับการรังวัดที่ดินของเจ้าหน้าที่ จะอนุญาตให้ทำกินครอบครัวละ 1 แปลง มีเงื่อนไข 26 ข้อที่เราต้องลงชื่อยอมรับด้วย ถ้าเรายอมรับก็จะทำถนนมาให้ หาแหล่งน้ำมาให้ แต่ถ้าไม่ลงชื่อยอมรับและยังไปทำไร่หมุนเวียนอีก ก็จะถูกจับดำเนินคดี” “มันหมายความว่า เขาห้ามเราทำไร่หมุนเวียนอีก ต้องทำในแปลงเดิมทุกปี ต้องไถให้เตียนทุกปี ต้องปลูกพืชเป็นแถวเป็นแนวสวยงาม อีกไม่นานเราก็คงต้องเปลี่ยนจากการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวไปใช้ปุ๋ยเคมีแทน มันก็น่าคิดนะครับว่า แล้วแบบไหนมันดีกว่ากัน” พฤ เป็นนักต่อสู้ที่เดินตามรอยพ่อซึ่งเป็นปราชญ์ของชาวกะเหรี่ยง “จอนิ โอโดเชา” มาตลอด จึงกลายเป็นหนึ่งในบุคคลสาธารณะ คล้ายเป็นผู้มีปากเสียงแทนชาวกะเหรี่ยงที่ต้องเข้าไปมีบทบาทกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้ แต่เขายอมรับว่า เขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ถูก เพราะหากต้องชักชวนให้ชาวกะเหรี่ยงขัดขืนด้วยการไม่ลงชื่อยอมรับสิทธิ ก็อาจทำให้พวกเขาถูกจับกุมดำเนินคดี แต่หากจะต้องยอมรับข้อเสนอของกรมอุทยานฯ พฤ ก็เชื่อว่า นี่คือสัญญาณของการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การอยู่อาศัยหรือทำกินในโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ... อ้างอิงมาจาก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2516 ซึ่งระบุไว้ใน 2 มาตรา คือ มาตรา 64 วรรค 2 ที่ระบุไว้ว่า ในกรณีที่รัฐบาลมีแผนงานหรือนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติ ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จัดทำโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ โดย “มิได้สิทธิในที่ดินนั้น” เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ โดยตราเป็นพระราชกฎษฎีกา มาตรา 64 วรรค 3 ระบุว่า ต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในชุมชนภายใต้โครงการที่จะดำเนินการ หน้าที่ของบุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในชุมชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพภายในเขตพื้นที่ดำเนินโครงการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอยู่อาศัยหรือทำกิน และการสิ้นสุดการอยู่อาศัยหรือทำกิน และมาตรการในการกำกับดูแล การติดตาม และการประเมินผลการดำเนินโครงการ จำจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ดังนั้น ในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ มาตรา 4 จึงระบุว่า บุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในชุมชนภายใต้โครงการต้องเป็นผู้ไม่มีที่ดินทำกินตามที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ สำรวจภายใต้กรอบเวลาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 30 มิถุนายน 2541 หรือเป็นไปตามนโยบายทวงคืนผืนป่า ตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 (17 มิ.ย.2557) และเมื่อสำรวจการถือครองที่ดินแล้ว ให้จัดทำรายชื่อบุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในเขตอุทยานฯ พร้อมด้วยจำนวนที่ดินและแผนผังแปลน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา “ไม่เกินครอบครัวละ 20 ไร่” โดย “มิได้มีสิทธิในที่ดินนั้น” และมีระยะเวลาบังคับใช้ “คราวละไม่เกิน 20 ปี” นอกจากการให้สิทธิในรูปแบบการทำเกษตรแปลงเดี่ยว ไม่มีสิทธิถาวร มีกำหนดเวลา 20 ปี ยังมีเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการใน มาตรา 8 นั่นคือ “จะต้องไม่ละทิ้งการทำประโยชน์หรือไม่อยู่อาศัยติดต่อกันเกิน 1 ปี โดยไม่มีเหตุอันควร” ซึ่งเป็นข้อความสำคัญที่ไม่สอดคล้องกับวิถีการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงอย่างสิ้นเชิง ปู่คออี้ ปราชญ์ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย จ.เพชรบุรี ปู่คออี้ ปราชญ์ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย จ.เพชรบุรี เมื่อพิจารณาสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา ที่กำลังอยู่ในกระบวนการสำรวจสิทธิในหลายพื้นที่ขณะนี้ ทำให้คำว่า “กะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย” เป็นคำที่ พฤ โอโดเชา หวาดกลัว .... เป็นความหวาดกลัวเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นกับ “ปู่คออี้” ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงในผืนป่าแก่งกระจานที่บ้านบางกลอย สำหรับ พฤ โอโดเชา คำว่า “กะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย” ไม่ได้หมายความว่า บุคคลที่มีสายเลือดหรือเชื้อชาติกะเหรี่ยงจะสูญสิ้นหมดไปจากโลกใบนี้ แต่เขาเห็นพ้องกับคำว่า กะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย เพราะคำว่า “กะเหรี่ยง” หมายถึงชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับระบบนิเวศในป่า ได้กินจากป่า ได้อาศัยจากป่า ก็ต้องดูแลรักษาป่า ต้องคืนธรรมชาติกลับไปให้ป่า โดยมีรูปแบบทำการเกษตร “ไร่หมุนเวียน” เป็นหัวใจหลักของการทำกินในพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน ดังนั้น หากชาวกะเหรี่ยงต้องถูกบีบให้เปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรไปเป็นเกษตรแปลงเดี่ยว จิตวิญญาณการดูแลรักษาป่าของพวกเขาก็จะสูญสลายไปหมดสิ้น ชาวกะเหรี่ยงรุ่นต่อๆไปก็จะไม่เข้าใจวิถีนี้อีกแล้ว จึงมีค่าเท่ากับการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ “เขาทำเหมือนกะเหรี่ยงเป็นสัตว์ประหลาด” “ทั้งที่เราอยู่อาศัยกันมาก่อนที่จะประกาศเป็นเขตป่าอนุรักษ์ แต่เขากลับทำเหมือนกับเราเป็นคนต่างด้าวที่ต้องไปทำพาสปอร์ตใหม่เพื่อมาทำกินในที่ดินของตัวเอง การสร้างเงื่อนไขทางกฎหมายขึ้นมาใหม่แบบนี้ คือการบอกให้เรายอมรับว่าเป็นผู้บุกรุก และต้องไปขออนุญาตทำกิน และพวกเราก็แทบไม่มีพลังที่จะไปต่อสู้อะไรกับรัฐ” ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงทั่วไป ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงทั่วไป พระราชกฤษฎีกานี้ ทำให้เราแตกแยกกันหมด โดยหลักแล้ว ทุกคนก็คงอยากจะสู้เพื่อรักษาวิถีชีวิต รักษาเผ่าพันธุ์ของเราไว้ แต่เราก็เห็นกันมาแล้ว ว่ามีบางชุมชนอย่างที่ป่าแก่งกระจานก็ถูกจับกุมดำเนินคดี คนที่เขามีภาระต้วิเคราะห์บอลอุรุกวัยพรีเมียร์องดูแลลูกหลานเขาก็ไม่กล้าออกมาต่อสู้ ต้องยอมรับเงื่อนไข ต้องลงชื่อไป และเปลี่ยนวิถีตัวเองกลายไปเป็นผู้ใช้แรงงานในเมือง แม้คนที่อยากจะต่อสู้เขาจะพร้อมเผชิญกับความเสี่ยง แต่จะไปบังคับคนที่เขากลัวถูกจับก็ไม่ได้ พอมีความกลัวเชิงอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เรารวมกลุ่มกันต่อสู้ไม่ได้ การจะไปประท้วงจึงเป็นเรื่องยาก” ปราชญ์ชาวกะเหรี่ยง กล่าวแบบหมดหวัง ปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ ระหว่างชาวกะเหรี่ยงกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพรรณพืช เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมายาวนานแล้ว เนื่อง จากทั้งสองฝ่ายมีแนวคิดต่อคำว่า “อนุรักษ์” ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยทางฝ่ายรัฐ ต้องการสงวนให้พื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เป็นป่าต้นน้ำ เป็นเหมือน “พื้นที่ไข่แดง” ซึ่งไม่สามารถยอมรับให้มีคนเข้าไปอยู่อาศัยทำกินได้ ส่วนชาวกะเหรี่ยงเองก็ยืนยันว่า พวกเขาอยู่ในป่ามาก่อน มีวิถีชีวิตและรูปแบบการทำกินที่เป็นการใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างยั่งยืน จึงควรมีสิทธิอยู่อาศัยต่อไปในฐานะที่เป็นกลไกสำคัญในการดูแลรักษาป่าด้วยซ้ำ วิถีชีวิตและวัฒนธรรมเรียบง่ายของชาวกะเหรี่ยง วิถีชีวิตและวัฒนธรรมเรียบง่ายของชาวกะเหรี่ยง พฤ โอโดเชา บอกด้วยว่า ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไขข้อพิพาทนี้ผ่านกลไกที่เรียกว่า คณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. แต่ก็ยังเป็นกลไกที่ชาวกะเหรี่ยงไม่สามารถยอมรับได้ เพราะรูปแบบที่ คทช.เสนอมา ก็เป็นรูปแบบเดียวกันกับแนวทางของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งแม้ว่าอาจจะมีแนวการทำเกษตรที่ดี ขึ้น ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจไม่ใช่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำโรงเรือนแบบปิด ช่วยสร้างรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งหมดนั้น ก็มีค่าเท่ากับการไม่ยอมรับ “ไร่หมุนเวียน” และจะทำให้วิถีดั้งเดิมสูญสิ้นไปอยู่ดี ความขัดแย้งระหว่างชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในป่ากับหน่วยงานรัฐ มีตัวอย่างสำคัญคือความขัดแย้งที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ซึ่งถูกจัดสรรที่ดินใหม่ให้มาอาศัยอยู่บริเวณลานหิน ไม่สามารถทำกินตามวิถีชีวิตเดิมได้ จนต้องอพยพกลับไปอยู่ในพื้นที่ป่าที่เรียกว่า “บางกลอยบน” จนถูกไล่จับกุมเมื่อปี 2554 กลายเป็นคดีความที่ทำให้ “ปู่คออี้” ผู้นำชาวกะเหรี่ยงอายุมากกว่า 100 ปี ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ฟ้องต่อศาลปกครอง ต่อมาศาลมีคำสั่งให้รัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการขับไล่ด้วยการเผาทำลายทรัพย์สิน แต่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยก็ต้องกลับมาอยู่อาศัยในที่ดินที่จัดไว้ให้เช่นเดิม ซึ่งในระหว่างการต่อสู้อันยาวนานนับ 10 ปี มีผู้ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ถูกยิงเสียชีวิต ยังมีเรื่องของ “บิลลี่” แกนนำชาวกะเหรี่ยงที่หายตัวไปหลายปีก่อนจะกลายมาเป็นคดีฆาตกรรม และยังมีชาวกะเหรี่ยงอีกมากมายที่ถูกดำเนินคดีข้อหาบุกพื้นที่อุทยาน แม้ว่ารัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ “การสูญเสียวิถีดั้งเดิม มีค่าเท่ากับการสูญเสียจิตวิญญาณของกะเหรี่ยงไป หากพระราชกฤษฎีกานี้บังคับใช้ทั่วทุกหย่อมหญ้า พวกเราชาวกะเหรี่ยงทั้งหมดจะสูญพันธุ์อย่างแน่นอน” “ผมหวังว่า เราจะยังไม่ต้องเป็นกะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย เหตุผลที่เราสู้มาตลอดไม่ใช่เพื่อจะขอที่ทำกินเพื่อหวังความร่ำรวย เราแค่อยากให้รัฐลองเปิดใจมาศึกษาวิถีไร่หมุนเวียนของเราอย่างจริงจัง เราอยากให้เห็นว่ามันช่วยดูแลรักษาป่าได้ดี เราทำเกษตรแบบที่ไม่เคยต้องใช้สารเคมี ถ้ารัฐยอมรับวิถีของเรา นำมาปรับข้อกฎหมายให้เราอยู่ร่วมกันได้ เราก็จะสามารถรักษาได้ทั้งวิถีของเราและรักษาป่าได้ต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน” พฤ กล่าวทิ้งท้าย รายงานโดย : สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา ข่าวที่เกี่ยวข้อง : EP.2 The Last Karen : กะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย ยอมเลิกทำไร่หมุนเวียน EP.3 The Last Karen : กะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย สิทธิชอบธรรมของผู้ดูแลป่า EP.4 The Last Karen : กะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย จัดที่ดินทำกินในอุทยานฯ "ล้างเผ่าพันธุ์กะเหรี่ยง" ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จำคุก "ชัยวัฒน์" 3 ปี ผิด ม.157 คดีบิลลี่ เปิดเบื้องหลังคดี "บิลลี่" บันทึกความทรงจำ ทนาย-นักข่าว
พฤ โอโดเชา .. กะเหรี่ยง เป็นเพียงสัตว์ประหลาด มีแค่ “ยอมถูกจับ” หรือ “ยอมสูญสิ้นเผ่าพันธุ์” ตั้งแต่ปลายปี 2565 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ (กันยายน 2566) ชาวกะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในเข
- วิเคราะห์บอลอุรุกวัยพรีเมียร์
- jokerth44100 รับ 100 ถอน ไม่ อั้น ล่าสุด
- ts911 เครดิต ฟรีเครดิต ฟรี 150 ไม่ ต้อง ฝาก ไม่ ต้อง แชร์
- dafabet ดี ไหม pantip
- casino 0 gewinn
- ตรวจ หวย 1 มี นา 64 ใส่ ตัวเลข