รู้จัก 7 ด่านค้าชายแดน จุดเชื่อมการค้าการลงทุน "ไทย-กัมพูชา" ขยับแนวเส้นเขตแดน “ช่องบก” กระทบทรัพยากรทะเล “เกาะกูด” ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามักเผชิญกับความตึงเครียดบริเวณชายแดน โดยเฉพาะใ
วันนี้ (8 มิ.ย.2566) เพจเฟซบุ๊ก “เพื่อนตำรวจ” เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นของนายตำรวจหลายราย ที่เลื่อนขึ้นแบบพุ่งพรวด โดยยกเคสนักร้องลูกทุ่งหญิง อดีตผู้ประกวดนางสาวไทยปี 2566 และออแกไนซ์ ที่เลื
รู้จัก 7 ด่านค้าชายแดน จุดเชื่อมการค้าการลงทุน "ไทย-กัมพูชา" ขยับแนวเส้นเขตแดน “ช่องบก” กระทบทรัพยากรทะเล “เกาะกูด” ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามักเผชิญกับความตึงเครียดบริเวณชายแดน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่ง "ปราสาทพระวิหาร" เป็นกรณีศึกษาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาและความแตกต่างในแนวทางการแก้ไขข้อพิพาทของทั้ง 2 ประเทศ ในขณะที่ไทยมักต้องการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาระดับทวิภาคี กัมพูชากลับเลือกใช้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) หรือ "ศาลโลก" เป็นช่องทางหลักในการผลักดันข้อเรียกร้องของตนเอง ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็น 1 ใน 6 เสาหลักของสหประชาชาติและเป็นศาลระหว่างประเทศเพียงแห่งเดียวที่ทำหน้าที่ระงับข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างรัฐสมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศ หน้าที่หลักคือ สิ่งสำคัญคือ ICJ เป็นอิสระจากสหประชาชาติ คำตัดสินของศาลโลกถือเป็นที่สิ้นสุดและไม่มีช่องทางอุทธรณ์ แม้ศาลจะไม่มีกลไกบังคับใช้คำตัดสินโดยตรง แต่หากรัฐไม่ปฏิบัติตาม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอาจดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว คำตัดสินของศาลโลกได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นที่ชอบธรรมจากประชาคมระหว่างประเทศ ทำให้รัฐต่าง ๆ มักจะปฏิบัติตามเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่พอใจจากพันธมิตรระหว่างประเทศ การใช้ศาลโลกจึงเป็นโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยไม่ต้องหันไปใช้ความขัดแย้งทางทหาร จากประวัติศาสตร์และผลลัพธ์ของคดีปราสาทพระวิหาร สามารถสรุปเหตุผลที่กัมพูชามักนำประเด็นพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกได้ดังนี้ 1.ความสำเร็จและชัยชนะทางประวัติศาสตร์กัมพูชามีประสบการณ์ตรงที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการนำคดีขึ้นศาลโลก ชัยชนะทั้งในปี พ.ศ.2505 และ พ.ศ.2556 ได้ตอกย้ำความชอบธรรมในข้ออ้างสิทธิ์ของตน และสร้างความเชื่อมั่นอย่างสูงในกลไกของศาลโลกในฐานะช่องทางที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมในการยืนยันสิทธิอธิปไตย 2.การแสวงหาความชอบธรรมและการแก้ปัญหาในระดับสากลศาล ICJ เป็นศาลเดียวที่ระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกสหประชาชาติ คำตัดสินของศาลเป็นที่สิ้นสุดและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นคำตัดสินที่ชอบธรรม การใช้เวทีนี้ช่วยยกระดับข้อพิพาทให้เป็นเรื่องระหว่างประเทศ และเรียกร้องความสนใจและการสนับสนุนจากนานาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติที่สนับสนุนการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยสันติวิธีเพื่อรักษาสันติภาพและความยุติธรรม 3.ความชัดเจนของแนวเขตแดนและการตีความทางกฎหมาย แม้ว่าคดีปราสาทพระวิหารจะตัดสินไปแล้ว แต่ไทยยังคงโต้แย้งเรื่องการปักปันเขตแดนโดยรอบ กัมพูชาจึงต้องการความชัดเจนทางกฎหมายที่ได้รับการรับรองจากเวทีสากล ศาล ICJ มีบทบาทสำคัญในการตีความและกำหนดแนวเขตแดนตามหลักฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งการยื่นคำขอตีความในปี พ.ศ.2554 เป็นความพยายามที่จะได้รับคำวินิจฉัยที่ชัดเจนและเป็นที่สุดเกี่ยวกับขอบเขตของพื้นที่พิพาท 4.เครื่องมือทางการทูตและอำนาจต่อรองเมื่อการเจรจาระดับทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศประสบความล้มเหลวหรือไม่คืบหน้า (เช่น การเจรจาในปี พ.ศ.2554 ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ) การนำคดีขึ้นศาลโลกสามารถใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตในการกดดันอีกฝ่าย และเรียกร้องความสนใจจากประชาคมระหว่างประเทศได้ 5.จุดยืนที่แตกต่างจากไทย ประเทศไทยได้ประกาศจุดยืนว่าจะไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกใน "คดีใหม่" มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 (ค.ศ. 1960) อย่างไรก็ตาม เมื่อกัมพูชายื่นคำขอให้ศาล "ตีความ" คำตัดสินเดิมในปี พ.ศ.2554 ไทยไม่สามารถปฏิเสธการเข้าร่วมกระบวนการนี้ได้โดยง่าย เนื่องจากเป็นการขอตีความคำตัดสินที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่คดีใหม่ จุดยืนที่แตกต่างกันนี้อาจทำให้กัมพูชาเห็นว่าศาลโลกเป็นช่องทางที่แข็งแกร่งในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะในกรณีที่มีคำตัดสินเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่ไทยมักจะต้องการแก้ไขข้อพิพาทใหม่ๆ ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีมากกว่า ล่าสุด เหตุการณ์ปะทะบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้จุดชนวนให้กัมพูชาประกาศเตรียมนำข้อพิพาทชายแดน 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ "ศาลโลก" อ.ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ระบุว่า แม้จะมีการกำหนดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.2568 ที่กรุงพนมเปญ แต่กัมพูชายืนยันว่าไม่เจรจาในประเด็นพิพาททั้ง 4 ตามบันทึกความเข้าใจ MOU 2543 เลือกใช้กลไกศาลโลกเพื่อยืนยันอธิปไตยและมรดกวัฒนธรรม กลยุทธ์นี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นจากชัยชนะในคดีปราสาทพระวิหาร และการใช้ชาตินิยมเพื่อรวมใจประชาชนท่ามกลางความท้าทายทางการเมืองภายใน กัมพูชาใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือด้วยเหตุผลหลายประการ ความสำเร็จจากคดีปราสาทพระวิหารพิสูจน์ว่า ICJ สามารถให้คำตัดสินที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐาน เช่น แผนที่สมัยฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน การเจรจาทวิภาคีผ่าน JBC มักไม่คืบหน้า เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายยึดมั่นในจุดยืนของตน รัฐสภากัมพูชาอนุมัติให้ยื่นคดีอย่างเป็นทางการ และสื่อที่ควบคุมโดยกลุ่มภักดีต่อตระกูลฮุนก็ช่วยปลุกกระแสชาตินิยม กล่าวหาไทยรุกล้ำ เพื่อรวมใจประชาชนและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาการเมืองภายใน กลยุทธ์นี้อาจดูแยบยล ด้านไทยยืนยันว่า MOU 2543 ยังมีผล และการยื่นคดีต่อ ICJ ต้องได้รับความยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย แนะนำให้ไทยติดตามสถานการณ์และเก็บหลักฐาน เช่น การรุกล้ำชายแดน เพื่อปกป้องอธิปไตยอย่างรอบคอบ โดยไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ ข้อพิพาทนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเขตแดน แต่เกี่ยวข้องกับมรดกวัฒนธรรมที่อ่อนไหว การค้าชายแดนมูลค่า 174,530 ล้านบาทในปี 2567 ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้กระทบ ทางออกที่ดีคือการเจรจาด้วยสันติวิธีและรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคี ไทยควรเตรียมหลักฐานให้พร้อมหากต้องเผชิญคดีในอนาคต ขณะที่กัมพูชาคงเดินหน้าด้วยความหวังจากศาลโลก แต่ผลลัพธ์ยังไม่แน่นอน สอดคล้องกับ รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กัมพูชาไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย แต่ลัดขั้นตอนไปสู่เรื่องศาลโลก ซึ่งเขาคิดว่า เขาได้เปรียบดังนั้นประเทศไทยควรตอบโต้ให้ถี่ขึ้น ในลักษณะทm.918kiss.com ล งค โหลดเกมสี่เผยหรือเปิดโปงพฤติกรรมของกัมพูชาว่า ไม่จริงใจในการเคารพเขตสันติภาพ และลัดขั้นตอนที่เร็วจนเกินไป ทำให้เกิดความตึงเครียด ระหว่างประเทศ ถ้ารัฐบาลจะใช้ธงสันติภาพ สันติวิธี ในการสู้ก็ต้องเผย พฤติกรรมของ ฮุน เซน หรือ กัมพูชา ให้ได้ว่า เขาไม่ต้องการให้เห็นสันติภาพ หรือ มีการจัดการความขัดแย้งในระดับทวิภาคีด้วยความอดทนอดกลั้นอย่างเพียงพอ แต่เดินเกมสู่ศาลโลกเลย ทั้งที่เหตุการที่วิวัฒนาการไปสู่การนำขึ้นศาลโลกที่เป็นประเด็นร้อนก็เป็นช่วงไม่กี่วันนี้เอง ดังนั้นจึงเป็นการทำที่ลัดขั้นตอนไปมากพอสมควร แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ควรอยู่เฉย ควรที่จะมีปฏิบัติการตอบโต้ให้เท่าทันทางรัฐบาลกัมพูชาบ้าง ความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหารมีจุดเริ่มต้นย้อนไปถึงสมัยอาณานิคม ในปี พ.ศ.2447 สยามทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส โดยใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งจากหลักการนี้ ปราสาทพระวิหารควรอยู่ในดินแดนของไทย อย่างไรก็ตาม ปี พ.ศ. 2450 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) สยามได้ลงนามในสัตยาบันกับ ปธน.ฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนดินแดนเสียมเรียบ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส แลกกับการได้ตราดและดินแดนทางซ้ายของแม่น้ำเลยกลับคืนมา ต่อมาปี พ.ศ.2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นฝ่ายเดียวโดยไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา รัฐบาลสยามในเวลานั้นไม่ได้คัดค้านแผนที่นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและรักษาความสงบเรียบร้อย ปกป้องเอกราชและอธิปไตยของประเทศไว้ให้ได้มากที่สุด ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประเทศไทยได้ทำสงครามอินโดจีนและสามารถยึดดินแดนไทยเดิมกลับคืนมาได้ รวมถึงปราสาทพระวิหารด้วย แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยต้องคืนดินแดนดังกล่าวให้แก่ฝรั่งเศส ตามข้อตกลงกับฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างไรก็ตาม หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.2490 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งทหารเข้าไปยึดปราสาทพระวิหารอีกครั้ง หลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสได้ 6 ปี ในวันที่ 6 ต.ค.2502 พระเจ้านโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้แต่งตั้ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นทนายฝ่ายไทย 15 มิ.ย.2505 ศาลโลกได้มีคำตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ให้ "ตัวปราสาทพระวิหาร" ตกเป็นของกัมพูชา ไทยต้องถอนกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกจากปราสาท เหตุผลสำคัญของศาลคือ ไทยไม่คัดค้านแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2451 จึงถือว่า "การนิ่งคือการยอมรับ" แม้คำตัดสินจะให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ศาลโลกไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับดินแดนโดยรอบปราสาททางทิศเหนืออย่างชัดเจน ทำให้ไทยยังคงอ้างสิทธิ์ในพื้นที่โดยรอบและยืนยันว่าเขตแดนในบริเวณนั้นยังไม่มีการปักปันอย่างเป็นทางการ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความตึงเครียดและข้อพิพาทดำรงอยู่ต่อมา 28 เม.ย.2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอต่อศาลโลกเพื่อ "ตีความ" คำพิพากษาเดิมเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2505 และขอให้ศาลมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก กัมพูชาเรียกร้องให้ถอนทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาท หยุดกิจกรรมทางทหาร และงดการกระทำใด ๆ ที่อาจเพิ่มความขัดแย้ง ฝ่ายไทยได้คัดค้านคำขอของกัมพูชา โดยให้เหตุผล 3 ประเด็นหลัก แม้ไทยจะคัดค้าน แต่ศาลโลกได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2554 สั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายถอนกำลังทหารออกจาก เขตปลอดทหารชั่วคราว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่พิพาทและบริเวณโดยรอบ และศาลยังสั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมมือกันภายใต้กรอบอาเซียนและอนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์เข้าไปในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ยังสั่งให้ไทยไม่ขัดขวางการเข้าถึงปราสาทพระวิหารของกัมพูชา 11 พ.ย.2556 ศาลโลกได้มีคำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า คำพิพากษาปี 2505 ได้มอบอำนาจอธิปไตยเหนือ "ชะง่อนผาพระวิหาร" ทั้งหมดให้แก่กัมพูชา และไทยมีหน้าที่ต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกจากพื้นที่นั้น โดยศาลระบุว่า "ชะง่อนผาพระวิหาร" หมายถึงพื้นที่ที่มีลักษณะทางธรรมชาติเป็นแหลมยื่นออกไป มีหน้าผาชันทางด้านใต้ ซึ่งลาดลงสู่ที่ราบของกัมพูชา และทางด้านเหนือขอบเขตยึดตามเส้นในแผนที่ภาคผนวก 1 ที่ใช้ในการพิจารณาคดีเดิม ศาลยังชี้ชัดว่า บทปฏิบัติการทั้งสามวรรคในคำพิพากษาปี พ.ศ. 2505 ที่กล่าวถึง "อาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา", "บริเวณใกล้เคียง", และ "บริเวณปราสาท" ล้วนหมายถึงพื้นที่เดียวกัน คือ **"ชะง่อนผาพระวิหาร" ดังนั้น ไทยจึงมีพันธะต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่ตัวปราสาทเท่านั้น คำพิพากษานี้ไม่ได้ชี้ชัดว่าเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาอยู่ตรงไหนอย่างเป็นทางการ แต่เน้นย้ำว่าไทยต้องเคารพอธิปไตยของกัมพูชาในพื้นที่ที่ศาลได้วินิจฉัยแล้ว และให้ทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการด้วยความสุจริตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มา : ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ), BBC Thai. "ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา: กรณีปราสาทตาเมือนและสามเหลี่ยมมรกต" อ่านข่าวอื่น : ฝ่ายต่อต้านเล็งโจมตีอีก 3 ค่ายทหารเมียนมา เฝ้าระวังถูกยึดค่ายคืน "อดีตพระพรหมเมธี" ถึงไทย คาดสู้คดีเงินทอนวัด
วันนี้ (27 พ.ค.2568) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่าทางพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปแจ้งข้อกล่าวหานายสิรดนัย พลายด้วง หรือ สจ.กอล์ฟ ฐานความผิด ร่วมจัดให
วันนี้ (1 พ.ย.2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรี อนุมัติหลักกา