Home
|
สล็อตเครดิตฟรี1000

วันนี้ (4 เม.ย.2564) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดี

สล็อตเครดิตฟรี1000

วันนี้ (31 ต.ค.2566) บรรยากาศงานเทศกาลฮาโลวีน 2023 ถนนข้าวสาร คึกคัก โดยมีขบวนพาเหรด ผีแฟนตาซี นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งของปีนี้ ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติให้กลับมาเที่ยวที่ถนนข

วันนี้ (14 ส.ค.2567) เมื่อเวลา 15.00 น.ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยจัดให้มีการถ่ายทอดสดทาง YouTube สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในการออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย

เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2566 หลังราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 อ่านข่าวเพิ่ม : ราชกิจจาฯ เผยประกาศห้ามนักเรียน-นักศึกษาตั้งครรภ์ ออกจากสถานศึกษา โดยให้เหตุผลในการประกาศใจความว่า ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ ถูกสถานศึกษาให้ย้ายสถานศึกษาโดยมิได้สมัครใจ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินการของสถานศึกษา เพื่อเป็นการคุ้มครองวัยรุ่นตั้งครรภ์ ขณะที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาให้มีสิทธิได้รับการศึกษา ในสถานศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่องตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ อนึ่ง กรมอนามัยนิยามคำว่าวัยรุ่น คือ บุคคลที่มีอายุเกิน 10 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี และสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 กลุ่มคือ วัยรุ่นตอนต้น อายุ 10-14 ปี และวัยรุ่นตอนปลาย อายุ 15-19 ปี อันที่จริง อาจจะไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด แต่ยังมีหลายกระแสที่สับสน คิดว่า "เด็กวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน" คือคนๆ เดียวกันกับ "เด็กวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม" แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน พบว่า มีวัยรุ่นหลายคนที่กล้ายอมรับว่า "ตนเองพร้อมที่จะตั้งครรภ์" ในขณะที่มีผู้ใหญ่หรือผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ มีความพร้อมทั้งหน้าที่การงาน การเงิน ความมั่นคง แต่ก็ตอบว่า "ตนเองไม่พร้อมจะตั้งครรภ์" สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ร้อยละ 50 ของวัยรุ่นกลุ่มอายุ 16-17 ปี ที่ตั้งครรภ์นั้น "ตั้งใจให้ตัวเองท้อง" ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งตอบว่า "ไม่ตั้งใจ" ดังนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากว่า ข้อมูลที่น่าสนใจจากสถิติอัตราการคลอดบุตรของวัยรุ่นไทยทั้งตอนต้นและตอนปลาย เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลโดย สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546-2563 พบว่า ตั้งแต่ปี 2546-2555 อัตราคลอดของวัยรุ่นนั้นมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อมีการให้การศึกษา สอนเกี่ยวกับเรื่องเพศให้วัยรุ่นมากขึ้น การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวโน้มการคลอดบุตรก็เริ่มลดลง แต่ก็ยังถือว่าตัวเลขยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่ หลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 เพื่อให้นักเรียน-นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ สามารถกลับมาเรียนต่อได้นั้น เมื่อเปรียบเทียบ ปี 2559 กับ ปี 2564 พบว่าจำนวนวัยรุ่นตั้งครรภ์ ที่ยังคงศึกษาในสถาบันเดิมของปี 2559 มีร้อยละ 13.7 ในขณะที่ปี 2564 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 33.8 ส่วนจำนวนวัยรุ่สล็อตเครดิตฟรี1000นตั้งครรภ์ที่โดนให้ออก หยุดเรียน หรือลาออกเอง ในปี 2559 มีสูงถึงร้อยละ 53.5 และลดลงเหลือร้อยละ 36.1 ในปี 2564 แต่ที่ต้องตั้งข้อสังเกตคือ ในปี 2564 มีจำนวนวัยรุ่นตั้งครรภ์ที่ยอมเลี้ยงลูกอยู่บ้านเองถึงร้อยละ 52.6 ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่จำนวนที่มากเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ามีวัยรุ่นไทยจำนวนมากที่ต้องหลุดจากระบบการศึกษา อาจจะหลุดไปชั่วคราว เมื่อสามารถกลับมาเรียนได้ก็กลับมาเรียนต่อ หรือบางรายอาจจะหลุดถาวร การออกจากระบบการศึกษา ไม่ว่าจะถูกบังคับให้ออก หรือสมัครใจออกเอง แต่ก็ทำให้ตัววัยรุ่นตั้งครรภ์เองนั้น ต้องขาดความพร้อมในการดำเนินชีวิต ด้อยโอกาสเข้าถึงสวัสดิการ บริการ-สิทธิของรัฐต่างๆ ส่งผลให้ขาดโอกาสพัฒนาศักยภาพตนเองและย่อมกระทบไปถึงลูกที่ต้องเลี้ยงเพื่อให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป หากต้องออกจากระบบการศึกษา เติบโตเข้าวัยผู้ใหญ่ ก็จะเป็นภาคแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ ขาดทักษะ ส่งผลต่อสังคมโดยรวม รัฐอาจต้องเพิ่มภาระค่าจัดบริการช่วยเหลือด้านสังคม จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะตั้งครรภ์ด้วยความพร้อมหรือไม่พร้อมก็ตาม แต่หากวัยรุ่นเหล่านี้หลุดจากระบบการศึกษา จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อตัววัยรุ่นเอง ครอบครัว สังคม ประเทศ เมื่อเป้าหมายจากการออก พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 คือ "วัยรุ่นท้องต้องได้เรียน" นอกจากการพยายามให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา ผลเสียที่จะเกิดเมื่อตั้งครรภ์ในวัยเรียน เพื่อป้องกัน-ป้องปราบ แล้วนั้น ในประเทศไทย มีโครงการแก้ไข-ป้องกัน ปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และยาเสพติด มากกว่า 50 โครงการ ที่กระจายทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558-2565 โดยที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนโครงการกระจายตัวมากที่สุดถึง 1,271 โครงการ อ้างอิงจากจำนวนประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีจำนวนประมาณ 23 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ เป้าหมายส่วนใหญ่ของโครงการคือ วัยรุ่นอายุ 10-19 ปี จุดประสงค์คือการให้ความรู้ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียน และหยุดยั้งปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะตามมา เช่นโรคทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นอีก 1 ปัญหาใหญ่ในระบบสาธารณสุขชุมชน และปัญหายาเสพติดก็เช่นกัน แม้การรณรงค์ยุติปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนจะเห็นผล ตามแนวโน้มที่ลดลงมาเรื่อยๆ แล้วนั้น แต่หากครอบครัว โรงเรียน สังคม เจอกับวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์แล้วจริงๆ การยอมรับและเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ ต้องไม่ลืมว่า เด็กที่กำลังจะเกิดมานั้น ไม่ว่าจะเกิดมาด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ต้องนับเป็นประชากรไทยที่เพิ่มขึ้น สิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ต้องได้รับ รวมไปจนถึงการดูแล เอาใจใส่ เพื่อสร้างประชากรที่มีคุณภาพในกับประเทศให้ได้ ซึ่งทุกอย่างต้องมาจาก การที่วัยรุ่นที่เป็นคุณแม่ ควรได้รับการศึกษาไปตลอด เพื่อเป็นบันไดในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่สามารถดูแลบุตรให้ตลอดรอดฝั่ง รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน สังคม ที่ต้องลดการประณาม บูลลี่ ด่าทอ และอีก 1 คนที่ไม่ควรลืม และควรเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกันคือ การให้การศึกษารวมถึงการสอนวุฒิภาวะที่มากขึ้นในการเป็น "พ่อ" ของวัยรุ่นชาย อ่านข่าวเพิ่ม : "ท้องในวัยเรียน" อีกบทพิสูจน์ความเป็นแม่ของวัยรุ่น "ท้องวัยเรียน" ก้าวที่พลั้งพลาดกับสังคมที่พร้อมอุ้ม ที่มา : สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย, เอกสารถอดบทเรียน พชอ. : ลดแม่วัยรุ่น

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2564 เพจเฟซบุ๊ก หมอพร้อม เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ด้วยสถานการณ์แพร่ระบา

วันนี้ (31 ก.ค.2564) นพ.วีระศักดิ์ หล่อทองคำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า

เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2566 หลังราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเน

เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2566 หลังราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 อ่านข่าวเพิ่ม : ราชกิจจาฯ เผยประกาศห้ามนักเรียน-นักศึกษาตั้งครรภ์ ออกจากสถานศึกษา โดยให้เหตุผลในการประกาศใจความว่า ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ ถูกสถานศึกษาให้ย้ายสถานศึกษาโดยมิได้สมัครใจ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินการของสถานศึกษา เพื่อเป็นการคุ้มครองวัยรุ่นตั้งครรภ์ ขณะที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาให้มีสิทธิได้รับการศึกษา ในสถานศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่องตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ อนึ่ง กรมอนามัยนิยามคำว่าวัยรุ่น คือ บุคคลที่มีอายุเกิน 10 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี และสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 กลุ่มคือ วัยรุ่นตอนต้น อายุ 10-14 ปี และวัยรุ่นตอนปลาย อายุ 15-19 ปี อันที่จริง อาจจะไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด แต่ยังมีหลายกระแสที่สับสน คิดว่า "เด็กวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน" คือคนๆ เดียวกันกับ "เด็กวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม" แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน พบว่า มีวัยรุ่นหลายคนที่กล้ายอมรับว่า "ตนเองพร้อมที่จะตั้งครรภ์" ในขณะที่มีผู้ใหญ่หรือผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ มีความพร้อมทั้งหน้าที่การงาน การเงิน ความมั่นคง แต่ก็ตอบว่า "ตนเองไม่พร้อมจะตั้งครรภ์" สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ร้อยละ 50 ของวัยรุ่นกลุ่มอายุ 16-17 ปี ที่ตั้งครรภ์นั้น "ตั้งใจให้ตัวเองท้อง" ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งตอบว่า "ไม่ตั้งใจ" ดังนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากว่า ข้อมูลที่น่าสนใจจากสถิติอัตราการคลอดบุตรของวัยรุ่นไทยทั้งตอนต้นและตอนปลาย เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลโดย สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546-2563 พบว่า ตั้งแต่ปี 2546-2555 อัตราคลอดของวัยรุ่นนั้นมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อมีการให้การศึกษา สอนเกี่ยวกับเรื่องเพศให้วัยรุ่นมากขึ้น การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวโน้มการคลอดบุตรก็เริ่มลดลง แต่ก็ยังถือว่าตัวเลขยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่ หลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 เพื่อให้นักเรียน-นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ สามารถกลับมาเรียนต่อได้นั้น เมื่อเปรียบเทียบ ปี 2559 กับ ปี 2564 พบว่าจำนวนวัยรุ่นตั้งครรภ์ ที่ยังคงศึกษาในสถาบันเดิมของปี 2559 มีร้อยละ 13.7 ในขณะที่ปี 2564 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 33.8 ส่วนจำนวนวัยรุ่สล็อตเครดิตฟรี1000นตั้งครรภ์ที่โดนให้ออก หยุดเรียน หรือลาออกเอง ในปี 2559 มีสูงถึงร้อยละ 53.5 และลดลงเหลือร้อยละ 36.1 ในปี 2564 แต่ที่ต้องตั้งข้อสังเกตคือ ในปี 2564 มีจำนวนวัยรุ่นตั้งครรภ์ที่ยอมเลี้ยงลูกอยู่บ้านเองถึงร้อยละ 52.6 ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่จำนวนที่มากเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ามีวัยรุ่นไทยจำนวนมากที่ต้องหลุดจากระบบการศึกษา อาจจะหลุดไปชั่วคราว เมื่อสามารถกลับมาเรียนได้ก็กลับมาเรียนต่อ หรือบางรายอาจจะหลุดถาวร การออกจากระบบการศึกษา ไม่ว่าจะถูกบังคับให้ออก หรือสมัครใจออกเอง แต่ก็ทำให้ตัววัยรุ่นตั้งครรภ์เองนั้น ต้องขาดความพร้อมในการดำเนินชีวิต ด้อยโอกาสเข้าถึงสวัสดิการ บริการ-สิทธิของรัฐต่างๆ ส่งผลให้ขาดโอกาสพัฒนาศักยภาพตนเองและย่อมกระทบไปถึงลูกที่ต้องเลี้ยงเพื่อให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป หากต้องออกจากระบบการศึกษา เติบโตเข้าวัยผู้ใหญ่ ก็จะเป็นภาคแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ ขาดทักษะ ส่งผลต่อสังคมโดยรวม รัฐอาจต้องเพิ่มภาระค่าจัดบริการช่วยเหลือด้านสังคม จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะตั้งครรภ์ด้วยความพร้อมหรือไม่พร้อมก็ตาม แต่หากวัยรุ่นเหล่านี้หลุดจากระบบการศึกษา จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อตัววัยรุ่นเอง ครอบครัว สังคม ประเทศ เมื่อเป้าหมายจากการออก พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 คือ "วัยรุ่นท้องต้องได้เรียน" นอกจากการพยายามให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา ผลเสียที่จะเกิดเมื่อตั้งครรภ์ในวัยเรียน เพื่อป้องกัน-ป้องปราบ แล้วนั้น ในประเทศไทย มีโครงการแก้ไข-ป้องกัน ปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และยาเสพติด มากกว่า 50 โครงการ ที่กระจายทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558-2565 โดยที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนโครงการกระจายตัวมากที่สุดถึง 1,271 โครงการ อ้างอิงจากจำนวนประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีจำนวนประมาณ 23 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ เป้าหมายส่วนใหญ่ของโครงการคือ วัยรุ่นอายุ 10-19 ปี จุดประสงค์คือการให้ความรู้ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียน และหยุดยั้งปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะตามมา เช่นโรคทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นอีก 1 ปัญหาใหญ่ในระบบสาธารณสุขชุมชน และปัญหายาเสพติดก็เช่นกัน แม้การรณรงค์ยุติปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนจะเห็นผล ตามแนวโน้มที่ลดลงมาเรื่อยๆ แล้วนั้น แต่หากครอบครัว โรงเรียน สังคม เจอกับวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์แล้วจริงๆ การยอมรับและเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ ต้องไม่ลืมว่า เด็กที่กำลังจะเกิดมานั้น ไม่ว่าจะเกิดมาด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ต้องนับเป็นประชากรไทยที่เพิ่มขึ้น สิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ต้องได้รับ รวมไปจนถึงการดูแล เอาใจใส่ เพื่อสร้างประชากรที่มีคุณภาพในกับประเทศให้ได้ ซึ่งทุกอย่างต้องมาจาก การที่วัยรุ่นที่เป็นคุณแม่ ควรได้รับการศึกษาไปตลอด เพื่อเป็นบันไดในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่สามารถดูแลบุตรให้ตลอดรอดฝั่ง รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน สังคม ที่ต้องลดการประณาม บูลลี่ ด่าทอ และอีก 1 คนที่ไม่ควรลืม และควรเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกันคือ การให้การศึกษารวมถึงการสอนวุฒิภาวะที่มากขึ้นในการเป็น "พ่อ" ของวัยรุ่นชาย อ่านข่าวเพิ่ม : "ท้องในวัยเรียน" อีกบทพิสูจน์ความเป็นแม่ของวัยรุ่น "ท้องวัยเรียน" ก้าวที่พลั้งพลาดกับสังคมที่พร้อมอุ้ม ที่มา : สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย, เอกสารถอดบทเรียน พชอ. : ลดแม่วัยรุ่น

เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2567 นักวิทยาศาสตร์เตือนเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ในทวีปแ