Home
|
วิเคราะห์บอล ฟันธง

วันนี้ (5 ม.ค.67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง

วิเคราะห์บอล ฟันธง

ไฟไหม้โรงงานไม้อัด จ.เพชรบุรี คาดไฟลัดวงจร เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตไม้อัดเก่า อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เมื่อเวลา 04.00 น.ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้โรงงานไม้อั

วันนี้ (13 มิ.ย.2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ มีการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักเทศกิจ และหัวหน้าฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขต ครั้งที่ 6/2565 มีนายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯ กทม.เป็นป

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2024 รัฐบาลซีเรียล่ม ปิดฉากการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ที่ยาวนานถึง 50 ปี การล่มสลายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการโจมตีของกลุ่มกบฏ ซึ่งเคลื่อนตัวข้ามพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและบุกเข้าสู่กรุงดามัสกัสภายในเวลาเพียง 10 วัน กลุ่มกบฏจากกลุ่ม Hayat Tahrir al-Sham (HTS) ประกาศว่า ปธน.บาชาร์ อัล-อัสซาด ถูกโค่นล้มแล้วและนักโทษทุกคนในเรือนจำถูกปล่อยตัว การรุกของกลุ่มกบฏเริ่มจากการยึดเมืองใหญ่ ๆ เช่น อเลปโป และ ฮามา ก่อนที่การโจมตีจะขยายไปถึงกรุงดามัสกัส ซึ่งรัฐบาลซีเรียเริ่มแสดงอาการอ่อนแอลง โดยพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศหลายแห่งตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกบฏ นายกฯ โมฮัมเหม็ด กาซี จาลาลี ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะยอมส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลชั่วคราว เมื่อข่าวแพร่สะพัด ผู้คนในดามัสกัสต่างออกมาฉลองการล่มสลายของระบอบอัสซาด โดยตะโกนประณาม บาชาร์ และแสดงออกถึงความโล่งใจหลังถูกปลดปล่อยจากการปกครองที่เต็มไปด้วยการกดขี่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถอยทัพและอาคารรัฐบาล รวมทั้งกระทรวงกลาโหมถูกทิ้งร้างและปล้น การล่มสลายของรัฐบาลนี้เกิดขึ้นหลังจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่การประท้วงในปี 2011 ซึ่งนำไปสู่สงครามที่มีผู้เสวิเคราะห์บอล ฟันธงียชีวิตหลายแสนคน การล่มสลายของรัฐบาลอัสซาด เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในประวัติศาสตร์ของซีเรีย และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการทูตอย่างเร่งด่วนจากสหประชาชาติและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการนำไปสู่สันติภาพในซีเรีย ครอบครัวอัล-อัสซาดมาจากหมู่บ้านคาร์ดาฮาในภูเขาชายฝั่งของซีเรียและสังกัดเผ่ากัลบียะ บิดาของ ฮาเฟซ อัล-อัสซาดเปลี่ยนนามสกุลจาก "อัล-วาฮ์ช" (หมายถึงสัตว์ป่า) เป็น "อัล-อัสซาด" (สิงโต) ในช่วงปี 1920 เพื่อสะท้อนสถานะครอบครัวในท้องถิ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ได้รับการยกย่องจากชุมชนในฐานะผู้นำท้องถิ่นและนักเจรจาประนีประนอม ในการปฏิรูปหลังจากสงคราม ถือเป็น 1 ในผู้นำที่มีอิทธิพลในภูมิภาค ต่อมาในยุคของ "ฮาเฟซ อัล-อัสซาด" ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างซีเรียยุคใหม่ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงจากการรัฐประหารและตอบโต้รัฐประหารหลายครั้งในซีเรีย ฮาเฟซใช้เครือข่ายอำนาจที่เขาสร้างขึ้นในตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอากาศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก้าวขึ้นสู่อำนาจประธานาธิบดีในปี 1970 เขาสร้างรัฐที่มีอำนาจสูงสุด สร้างระบบ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" (Divide and rule) โดยเน้นการรวมอำนาจเข้าสู่ตัวเขาเองเป็นศูนย์กลางหรือเรียกว่า "ลัทธิบูชาบุคคล (Cult of personality)" โดยใช้ภาพของตัวเขาเองในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด รูปปั้น หรือคำขวัญที่บอกถึงความยิ่งใหญ่ของเขาในสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น โรงเรียน ตลาด และสำนักงานรัฐบาล เขาได้ส่งเสริมตัวเองในฐานะ "ผู้นำอมตะ" และ "ผู้ที่ถูกศักดิ์สิทธิ์" ภายใต้การบูชาอย่างหนักหน่วง ภายใต้ลัทธิบูชาบุคคลที่ถูกส่งต่อกันมาในตระกูลอัล-อัสซาด ทำให้ประชาชนในซีเรียเชื่อมโยงอัตลักษณ์ของชาติและการปกครองเข้ากับลัทธิอัสซาด ผ่านการใช้สัญลักษณ์ทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับครอบครัวอัล-อัสซาด เช่น ป้ายโฆษณาและคำขวัญที่ระบุถึงการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากประชาชน นอกจากนี้ การต่อต้านการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลถือเป็นอาชญากรรมในซีเรีย ซึ่งทำให้การแสดงออกทางการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์กลายเป็นสิ่งต้องห้าม อย่างไรก็ตาม ระบบที่ฮาเฟซสร้างขึ้น ทำให้รัฐบาลและสถาบันรัฐอ่อนแอในระยะยาว ส่งผลให้ผู้สืบทอดของเขาต้องรับช่วงต่อองค์กรของรัฐที่ขาดความเข้มแข็ง ฮาเฟซเป็นผู้นำที่นำพรรคบาธขึ้นสู่อำนาจและสร้างระบอบเผด็จการ ยึดมั่นในอุดมการณ์แบบสังคมนิยมอาหรับ บาชาร์ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 2 ไม่ได้ถูกคาดหวังให้สืบทอดตำแหน่งตั้งแต่ต้น เขาศึกษาด้านจักษุวิทยาในลอนดอน และดูเหมือนจะใช้ชีวิตในเส้นทางอาชีพธรรมดา อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อพี่ชายของเขา "บาสเซล อัล-อัสซาด" ซึ่งถูกเตรียมตัวให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1994 หลังจากนั้น บาชาร์จึงถูกดึงตัวกลับประเทศเพื่อเข้ารับการฝึกทางทหารและการเมืองอย่างเข้มข้น ในปี 2000 หลังการเสียชีวิตของบิดา รัฐสภาซีเรียรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีให้ต่ำลงจาก 40 ปี เหลือ 34 ปี เพื่อให้บาชาร์สามารถขึ้นสืบทอดตำแหน่งได้ทันที ในช่วงเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่ง ผู้นำประเทศตะวันตกและนักวิเคราะห์หลายคนมองบาชาร์ว่า เป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่อาจนำพาซีเรียไปสู่ยุคที่มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการเมือง ภาพลักษณ์ของเขาและภรรยา "อัสมา อัล-อัสซาด" ผู้มีพื้นเพเป็นชาวซีเรียแต่เติบโตในลอนดอน ช่วยเสริมสร้างความคาดหวังเหล่านี้ แต่บาชาร์กลับเลือกที่จะยึดมั่นในแนวทางแบบเผด็จการเช่นเดียวกับบิดา เสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มติดอาวุธ เช่น เฮซบอลเลาะห์ และ ฮามาส ซึ่งทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มมองเขาในแง่ลบ วิกฤตการณ์ใหญ่ในยุคของบาชาร์เกิดขึ้นในปี 2011 การลุกฮือของประชาชนในช่วง Arab Spring ประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและการปฏิรูป แต่รัฐบาลของบาชาร์กลับเลือกตอบโต้ด้วยกำลังและการปราบปรามที่รุนแรง การกระทำของเขาทำให้ซีเรียเข้าสู่สงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ฝ่ายต่อต้านรวมตัวเป็นกองกำลังติดอาวุธ ขณะที่รัฐบาลใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างไม่ยั้งมือ ทั้งการปิดล้อมเมือง การใช้ระเบิดถัง และการใช้อาวุธเคมีต่อพลเรือน ในปี 2013 องค์การสหประชาชาติรายงานว่ามีการใช้อาวุธเคมีที่มีพิษร้ายแรงในย่านชานเมืองของดามัสกัส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาคมโลกเรียกร้องให้ บาชาร์ อัล-อัสซาด ยุติการใช้อาวุธเคมี แต่รัฐบาลซีเรียปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา สงครามกลางเมืองซีเรียยืดเยื้อเป็นเวลากว่า 13 ปี ทิ้งร่องรอยความเสียหายทั้งในด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ ประเทศสูญเสียประชากรจำนวนมาก UN ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 300,000 คน ประชากรกว่า 7,000,000 คน ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ และอีกกว่า 6,000,000 คน ลี้ภัยในต่างประเทศ สงครามทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลาย เมืองใหญ่ถูกทำลาย และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญพังพินาศ เมื่อถึงปี 2014 บาชาร์จัดการเลือกตั้งที่ถือว่าเป็นการแสดงละครภายในประเทศ เพราะการเลือกตั้ง จัดขึ้นในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และยังได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและอิหร่าน ในการคงอำนาจของรัฐบาล นักวิเคราะห์หลายคนยืนยันว่า บาชาร์ไม่สามารถจะรักษาอำนาจในซีเรียได้โดยลำพัง เขาต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอก โดยเฉพาะจากรัสเซียและอิหร่านในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองยืดเยื้อ ที่มีผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ในช่วงปลายการปกครองของเขา รัสเซียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือรัฐบาลของอัล-อัสซาด ในการต่อสู้กับฝ่ายกบฏ ซีเรียได้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกแบ่งแยก โดยมีเขตอำนาจต่าง ๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของหลายประเทศ รวมทั้งรัสเซียและอิหร่าน ขณะที่กลุ่มกบฏและ ISIS ต่างแย่งชิงพื้นที่ในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ในที่สุด บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้สูญเสียอำนาจจากการที่เขาไม่สามารถรักษาความมั่นคงและการควบคุมภายในประเทศได้ จากผลกระทบจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อเป็นเวลาหลายปี การทหารและการสนับสนุนจากภายนอกที่มีความสำคัญทำให้เขาสามารถอยู่รอดได้จนถึงช่วงปลายของอำนาจ แต่อย่างไรก็ตาม ซีเรียยังคงอยู่ในสภาพของการแตกแยกและเป็นรัฐล้มเหลว ที่มา : CNN, BBC, Indianexpress, Aljazeera, AP อ่านข่าวอื่น : สหรัฐฯ ตรึงค่าหัวผู้นำกลุ่มกบฏซีเรีย 10 ล้านดอลลาร์ "บาชาร์ อัล-อัสซาด" ลาออก ปธน.ซีเรีย ลี้ภัยในรัสเซีย ผู้นำซีเรียหนีออกนอกประเทศ หลังกลุ่มกบฏยึดเมืองหลวง

วันนี้ (12 พ.ค.2564) น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎร โพสต์เฟซบุ๊ก แจ้งว่า ตัวเอง

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2024 รัฐบาลซีเรียล่ม ปิดฉากการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ที่ยาวนานถึง 50 ปี การล่มส

วันนี้ (29 ส.ค. 64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2024 รัฐบาลซีเรียล่ม ปิดฉากการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ที่ยาวนานถึง 50 ปี การล่มสลายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการโจมตีของกลุ่มกบฏ ซึ่งเคลื่อนตัวข้ามพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและบุกเข้าสู่กรุงดามัสกัสภายในเวลาเพียง 10 วัน กลุ่มกบฏจากกลุ่ม Hayat Tahrir al-Sham (HTS) ประกาศว่า ปธน.บาชาร์ อัล-อัสซาด ถูกโค่นล้มแล้วและนักโทษทุกคนในเรือนจำถูกปล่อยตัว การรุกของกลุ่มกบฏเริ่มจากการยึดเมืองใหญ่ ๆ เช่น อเลปโป และ ฮามา ก่อนที่การโจมตีจะขยายไปถึงกรุงดามัสกัส ซึ่งรัฐบาลซีเรียเริ่มแสดงอาการอ่อนแอลง โดยพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศหลายแห่งตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกบฏ นายกฯ โมฮัมเหม็ด กาซี จาลาลี ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะยอมส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลชั่วคราว เมื่อข่าวแพร่สะพัด ผู้คนในดามัสกัสต่างออกมาฉลองการล่มสลายของระบอบอัสซาด โดยตะโกนประณาม บาชาร์ และแสดงออกถึงความโล่งใจหลังถูกปลดปล่อยจากการปกครองที่เต็มไปด้วยการกดขี่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถอยทัพและอาคารรัฐบาล รวมทั้งกระทรวงกลาโหมถูกทิ้งร้างและปล้น การล่มสลายของรัฐบาลนี้เกิดขึ้นหลังจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่การประท้วงในปี 2011 ซึ่งนำไปสู่สงครามที่มีผู้เสวิเคราะห์บอล ฟันธงียชีวิตหลายแสนคน การล่มสลายของรัฐบาลอัสซาด เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในประวัติศาสตร์ของซีเรีย และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการทูตอย่างเร่งด่วนจากสหประชาชาติและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการนำไปสู่สันติภาพในซีเรีย ครอบครัวอัล-อัสซาดมาจากหมู่บ้านคาร์ดาฮาในภูเขาชายฝั่งของซีเรียและสังกัดเผ่ากัลบียะ บิดาของ ฮาเฟซ อัล-อัสซาดเปลี่ยนนามสกุลจาก "อัล-วาฮ์ช" (หมายถึงสัตว์ป่า) เป็น "อัล-อัสซาด" (สิงโต) ในช่วงปี 1920 เพื่อสะท้อนสถานะครอบครัวในท้องถิ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ได้รับการยกย่องจากชุมชนในฐานะผู้นำท้องถิ่นและนักเจรจาประนีประนอม ในการปฏิรูปหลังจากสงคราม ถือเป็น 1 ในผู้นำที่มีอิทธิพลในภูมิภาค ต่อมาในยุคของ "ฮาเฟซ อัล-อัสซาด" ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างซีเรียยุคใหม่ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงจากการรัฐประหารและตอบโต้รัฐประหารหลายครั้งในซีเรีย ฮาเฟซใช้เครือข่ายอำนาจที่เขาสร้างขึ้นในตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอากาศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก้าวขึ้นสู่อำนาจประธานาธิบดีในปี 1970 เขาสร้างรัฐที่มีอำนาจสูงสุด สร้างระบบ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" (Divide and rule) โดยเน้นการรวมอำนาจเข้าสู่ตัวเขาเองเป็นศูนย์กลางหรือเรียกว่า "ลัทธิบูชาบุคคล (Cult of personality)" โดยใช้ภาพของตัวเขาเองในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด รูปปั้น หรือคำขวัญที่บอกถึงความยิ่งใหญ่ของเขาในสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น โรงเรียน ตลาด และสำนักงานรัฐบาล เขาได้ส่งเสริมตัวเองในฐานะ "ผู้นำอมตะ" และ "ผู้ที่ถูกศักดิ์สิทธิ์" ภายใต้การบูชาอย่างหนักหน่วง ภายใต้ลัทธิบูชาบุคคลที่ถูกส่งต่อกันมาในตระกูลอัล-อัสซาด ทำให้ประชาชนในซีเรียเชื่อมโยงอัตลักษณ์ของชาติและการปกครองเข้ากับลัทธิอัสซาด ผ่านการใช้สัญลักษณ์ทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับครอบครัวอัล-อัสซาด เช่น ป้ายโฆษณาและคำขวัญที่ระบุถึงการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากประชาชน นอกจากนี้ การต่อต้านการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลถือเป็นอาชญากรรมในซีเรีย ซึ่งทำให้การแสดงออกทางการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์กลายเป็นสิ่งต้องห้าม อย่างไรก็ตาม ระบบที่ฮาเฟซสร้างขึ้น ทำให้รัฐบาลและสถาบันรัฐอ่อนแอในระยะยาว ส่งผลให้ผู้สืบทอดของเขาต้องรับช่วงต่อองค์กรของรัฐที่ขาดความเข้มแข็ง ฮาเฟซเป็นผู้นำที่นำพรรคบาธขึ้นสู่อำนาจและสร้างระบอบเผด็จการ ยึดมั่นในอุดมการณ์แบบสังคมนิยมอาหรับ บาชาร์ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 2 ไม่ได้ถูกคาดหวังให้สืบทอดตำแหน่งตั้งแต่ต้น เขาศึกษาด้านจักษุวิทยาในลอนดอน และดูเหมือนจะใช้ชีวิตในเส้นทางอาชีพธรรมดา อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อพี่ชายของเขา "บาสเซล อัล-อัสซาด" ซึ่งถูกเตรียมตัวให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1994 หลังจากนั้น บาชาร์จึงถูกดึงตัวกลับประเทศเพื่อเข้ารับการฝึกทางทหารและการเมืองอย่างเข้มข้น ในปี 2000 หลังการเสียชีวิตของบิดา รัฐสภาซีเรียรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีให้ต่ำลงจาก 40 ปี เหลือ 34 ปี เพื่อให้บาชาร์สามารถขึ้นสืบทอดตำแหน่งได้ทันที ในช่วงเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่ง ผู้นำประเทศตะวันตกและนักวิเคราะห์หลายคนมองบาชาร์ว่า เป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่อาจนำพาซีเรียไปสู่ยุคที่มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการเมือง ภาพลักษณ์ของเขาและภรรยา "อัสมา อัล-อัสซาด" ผู้มีพื้นเพเป็นชาวซีเรียแต่เติบโตในลอนดอน ช่วยเสริมสร้างความคาดหวังเหล่านี้ แต่บาชาร์กลับเลือกที่จะยึดมั่นในแนวทางแบบเผด็จการเช่นเดียวกับบิดา เสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มติดอาวุธ เช่น เฮซบอลเลาะห์ และ ฮามาส ซึ่งทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มมองเขาในแง่ลบ วิกฤตการณ์ใหญ่ในยุคของบาชาร์เกิดขึ้นในปี 2011 การลุกฮือของประชาชนในช่วง Arab Spring ประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและการปฏิรูป แต่รัฐบาลของบาชาร์กลับเลือกตอบโต้ด้วยกำลังและการปราบปรามที่รุนแรง การกระทำของเขาทำให้ซีเรียเข้าสู่สงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ฝ่ายต่อต้านรวมตัวเป็นกองกำลังติดอาวุธ ขณะที่รัฐบาลใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างไม่ยั้งมือ ทั้งการปิดล้อมเมือง การใช้ระเบิดถัง และการใช้อาวุธเคมีต่อพลเรือน ในปี 2013 องค์การสหประชาชาติรายงานว่ามีการใช้อาวุธเคมีที่มีพิษร้ายแรงในย่านชานเมืองของดามัสกัส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาคมโลกเรียกร้องให้ บาชาร์ อัล-อัสซาด ยุติการใช้อาวุธเคมี แต่รัฐบาลซีเรียปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา สงครามกลางเมืองซีเรียยืดเยื้อเป็นเวลากว่า 13 ปี ทิ้งร่องรอยความเสียหายทั้งในด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ ประเทศสูญเสียประชากรจำนวนมาก UN ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 300,000 คน ประชากรกว่า 7,000,000 คน ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ และอีกกว่า 6,000,000 คน ลี้ภัยในต่างประเทศ สงครามทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลาย เมืองใหญ่ถูกทำลาย และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญพังพินาศ เมื่อถึงปี 2014 บาชาร์จัดการเลือกตั้งที่ถือว่าเป็นการแสดงละครภายในประเทศ เพราะการเลือกตั้ง จัดขึ้นในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และยังได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและอิหร่าน ในการคงอำนาจของรัฐบาล นักวิเคราะห์หลายคนยืนยันว่า บาชาร์ไม่สามารถจะรักษาอำนาจในซีเรียได้โดยลำพัง เขาต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอก โดยเฉพาะจากรัสเซียและอิหร่านในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองยืดเยื้อ ที่มีผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ในช่วงปลายการปกครองของเขา รัสเซียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือรัฐบาลของอัล-อัสซาด ในการต่อสู้กับฝ่ายกบฏ ซีเรียได้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกแบ่งแยก โดยมีเขตอำนาจต่าง ๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของหลายประเทศ รวมทั้งรัสเซียและอิหร่าน ขณะที่กลุ่มกบฏและ ISIS ต่างแย่งชิงพื้นที่ในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ในที่สุด บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้สูญเสียอำนาจจากการที่เขาไม่สามารถรักษาความมั่นคงและการควบคุมภายในประเทศได้ จากผลกระทบจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อเป็นเวลาหลายปี การทหารและการสนับสนุนจากภายนอกที่มีความสำคัญทำให้เขาสามารถอยู่รอดได้จนถึงช่วงปลายของอำนาจ แต่อย่างไรก็ตาม ซีเรียยังคงอยู่ในสภาพของการแตกแยกและเป็นรัฐล้มเหลว ที่มา : CNN, BBC, Indianexpress, Aljazeera, AP อ่านข่าวอื่น : สหรัฐฯ ตรึงค่าหัวผู้นำกลุ่มกบฏซีเรีย 10 ล้านดอลลาร์ "บาชาร์ อัล-อัสซาด" ลาออก ปธน.ซีเรีย ลี้ภัยในรัสเซีย ผู้นำซีเรียหนีออกนอกประเทศ หลังกลุ่มกบฏยึดเมืองหลวง

วันนี้ (26 มิ.ย.2566) ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดี สำคัญและเป็นที่สนใจ คือกรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเก