ค่า สิ โน ออนไลน์ เสือมังกร-ศึกกาซาขวางทาง "ตะวันตก" กดดันอิหร่าน

วันที่ 28 ก.พ.2568 นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่ความมั่นคงของมนุษย์” พร้อมมอบนโยบาย ในการประชุ
วันนี้ (30 พ.ค.2564) เวลา 13.30 น. สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสระบุรี รายงานผลการตรวจ COVID-19 เชิง
เกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นด้าน"การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน"เป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชียและของโลก จากสถิติของ Corruption Perceptions Index 2023 เกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ทั้ง ๆ เมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้ว ถูกขึ้นชื่อเป็น "สวรรค์คนโกง" นอกจากเกาหลีใต้ยังมีความโหดเรื่อง "จับหมดไม่สนลูกใคร" เห็นได้จาก การไล่จับกุมผู้กระทำการทุจริตโดยไม่ละเว้น จะเป็นคนใหญ่คนโตหรือมีอำนาจมาจากไหน ล่าสุด จากกรณีจับกุม "มุน ดา ฮเย" ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดี "มุน แจ อิน" ในคดีเมาแล้วขับ และการให้เช่า AirBNB โดยไม่ได้แจ้งทางการอย่างถูกต้อง ถือว่าเอาจริงต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างมาก ทำให้เกิดคำถามว่า จากตะกอนเถ้าถ่านสู่ความศิวิไลซ์ เกาหลีใต้ยังทำได้ และประเทศไทย ที่หมายมั่นปั้นมือเรื่องการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันเพื่อความโปร่งใสมายาวนาน จะสามารถเรียนรู้และถอดบทเรียนเพื่อนำมาปรับใช้ได้หรือไม่ อย่างไร ไทยพีบีเอส ออนไลน์ สัมภาษณ์ ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร อานันทศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korean Association of Thai Studies : KATS) ประเด็นดังกล่าว ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร ระบุว่า ภายใต้บริบททางการเมืองและสังคมของเกาหลีใต้เอื้อให้เกิดการสร้างเสริมนิสัยและบุคลิกลักษณะ "ชอบตรวจสอบ" ในผู้คนมาแต่ครั้งอดีต ตั้งแต่สมัยอาณาจักร "โชช็อน" หรืออาณาจักรโบราณในแผ่นดินเกาหลี มีหน่วยงานที่รวบรวมนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาเขียนประวัติศาสตร์ เขียนพงศาวดารของราชวงศ์ กษัตริย์และสมาชิกราชวงศ์ "ไม่อาจแทรกแซง" การทำงานนี้ได้ ประกอบกับโชซ็อนนั้น ให้ความสำคัญต่อแนวคิด "ขงจื่อใหม่ (Neo Confucianism)" ที่มีคุณธรรมนิยมและความรับผิดรับชอบ (Meritocracy and Accountability)เป็นพื้นฐาน ขุนนางมีพันธะหน้าที่ต่อสังคมและประชาชน ถ้าดูซีรีส์ก็จะเห็นว่า แม้แต่ในหมู่ขุนนางเองก็มีการ "ตรวจสอบถ่วงดุล" ทางอำนาจ กลุ่มตระกูลหนึ่งอาจไม่ถูกกับอีกกลุ่มตระกูลหนึ่ง และการไม่ถูกกันจึงกลายเป็นที่มาของการจับตาสอดส่องกำกับดูแลกันเอง ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร ชี้ว่า สังคมเกาหลีออกแบบมาให้เกิดการ "ชอบตรวจสอบ" อย่างสม่ำเสมอ ขุนนางเป็นหนึ่งในดุลอำนาจที่สามารถ "ตรวจสอบราชบัลลังก์" ซึ่งมีนัยของการเป็นข้าของแผ่นดินมากกว่าข้าของราชวงศ์ กษัตริย์ในแผ่นดินเกาหลีมีลักษณะแบบ "อำนาจจำกัด" มาช้านาน แน่นอน เป็นการจำกัดด้วยขุนนางและจำกัดจากความเชื่อมโยงกับประชาชนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งบางครั้งแสดงออกในรูปแบบของกบฏและการก่อความไม่สงบ ด้วยระบอบที่สร้างพื้นฐานของการมีนิสัยรักการตรวจสอบ เมื่อแผ่นดินเกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิญี่ปุ่นในปี 1910 ซึ่งเป็นการเผชิญการกดขี่ข่มเหงอย่างเต็มรูปแบบ ข้าราชการ หรือผู้ปกครอง ล้วนแต่มีสัญชาติอาทิตย์อุทัย หรือไม่ก็เป็นเกาหลีที่แปรพักตร์ เมื่อขาดซึ่งมูลนายที่พึ่ง สามัญชนจึงเริ่มมีกระดูกสันหลังยืนหยัดต่อสู้ขึ้นมาเป็นผู้เล่นในการ "ตรวจสอบถ่วงดุล" ญี่ปุ่นด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้รับเอกราชมาในปี 1945 ทำให้เกิดการแบ่งแยกประเทศโดยสองมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา-สหภาพโซเวียต และสงครามเกาหลี และได้ "การปกครองรูปแบบประธานาธิบดี" ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือที่เรียกว่า "Executive Order" เพื่อง่ายต่อการจัดการบริหารประเทศให้เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ต้องอ่อนแอไปอย่างที่เป็นมา เพราะ อี ซึง-มัน ประธานาธิบดีคนแรก เป็นอำนาจนิยมพลเรือน ต่อมา พัค ช็อง-ฮี, ช็อน ทู-ฮวัน เป็นอำนาจนิยมทหารโดยการรัฐประหาร เรียกได้ว่าอำนาจล้นฟ้า อาจจะมากกว่ากษัตริย์ในยุคโชซ็อนเสียด้วยซ้ำ ต่อมา ภายหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลทหาร เกาหลีใต้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 1987 ปูทางสู่การปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย ถือเป็นฟ้าใหม่ของประชาชนในเรื่องการปราบปรามทุจริตอย่างมาก โดยเฉพาะ การออกแบบ "อำนาจตุลาการ (Judiciary)" เพื่อการตรวจสอบทุจริตอย่างแข็งขันทั้งองคาพยพ ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริงในการเอาคืนฝ่ายบริหาร นอกเหนือจากฝ่ายนิติบัญญัติ คิม พย็อง โน ประธานศาลฎีกาคนแรกของเกาหลีใต้ เคยกล่าวว่า ผู้พิพากษาพึงพิจารณาคดีอย่างเป็นอิสระ แม้แต่ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาก็มิอาจเข้าแทรกแซงหรือสั่งการให้ผู้พิพากษาพิจารณาคดีตามใจตนได้ และไม่สมควรอย่างยิ่งที่ศาลฎีกาจะต้องทำตามใจฝ่ายบริหารในการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ การออกกฎหมายพิเศษไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่ากรณีใดก็ตาม แม้องค์ประกอบสำคัญของการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน ต้องมาจากการสร้างนิสัยชอบตรวจสอบของประชาชนอย่างถ้วนหน้า ซึ่งเกาหลีใต้ได้เปรียบจากการที่ระบอบและวิธีคิดนั้นเอื้อให้เกิดลักษณะดังกล่าว แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ นอกเหนือจากรากฐานที่มีเป็นทุนแล้ว เกาหลีใต้ยัง "ยกระดับ (Enhancement)" การต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันอีกขั้น โดยใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วม Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ "OECD" ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร วิเคราะห์ว่า หลายคนอาจคิดว่า การเข้าร่วม OECD เป็นไปเพื่อประกาศตนเองว่าประเทศนั้น "เจริญแล้ว" หรือเพื่อเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่การจะผ่านการคัดเลือกหรือ "ออดิชัน" เป็นสมาชิกของ OECD หนึ่งในคุณสมบัติที่จำเป็นที่สุด คือ ประเทศนั้น ๆ ต้องมีมาตรฐาน "ความโปร่งใส (Transparency)" ในระดับสูงมาก เกาหลีใต้ใช้ประโยชน์ตรงนี้เพื่อปรับโครงสร้างภายในว่าด้วยเรื่อง "สถาบันการเมือง (Political Institutions)" เพื่อการตรวจสอบทุจริต โดย ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ องค์กรอิสระ ภาคประชาสังคม และการสร้างความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น กล่าวคือ องค์กรอิสระของเกาหลีใต้ มีความเป็นอิสระจริง ๆ ตามชื่อที่ตั้ง และมีหลายหน่วยงาน แต่โจทย์หลักของเกาหลีใต้ ในการสร้างองค์การอิสระขึ้นมาเพื่อต่อต้านการทุจริตนั้น เป้าหมายสำคัญ คือ การเพิ่มอำนาจโดย "การควบคุมจากประชาชน (Civilian Control)" ด้วยความที่เกาหลีใต้มี "บาดแผลทางใจ (Trauma)" จากการที่ประเทศมีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็งเกินไป ประชาชนไม่มีอำนาจ ทำอย่างไรให้เพิ่มอำนาจประชาชนมากที่สุดจึงเป็นเป้าหมายตั้งต้น Defense Acquisition Program Administration (DAPA) จึงเกิดขึ้น โดยวางอำนาจหน้าที่ไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่กองทัพจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์ ต้องทำหนังสือของบประมาณจากฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องผ่านการอภิปรายในสมัชชาแห่งชาติ (รัฐสภา) และจัดทำแผนจัดซื้อจัดจ้างร่วมกับคณะทำงานของสมัชชาแห่งชาติ หมายความว่า กองทัพไม่สามารถซื้ออาวุธได้ตามอำเภอใจ ผู้แทนจากประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบ ยับยั้ง หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพได้ อีกหนึ่งองค์กรอิสระที่ขาดไปไม่ได้ คือ Korea Independent Commission Against Corruption (KICAC) โดย ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร กล่าวว่า หน่วยงานนี้เป็น "สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติของเกาหลีใต้ (ป.ป.ช. เกาหลีใต้)" ที่ทำงานเชิงรุกอย่างมาก เช่นเดียวกับระบบผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมถึง การปฏิรูปอัยการที่มีอำนาจมากเกิน ในสมัยประธานาธิบดี มุน แจ อิน ได้มีการแก้กฎหมาย Criminal Procedure Code และ Prosecutor’s Office Act ที่มีสาระสำคัญ คือ จำกัดขอบเขตการสืบสวนสอบสวนที่อัยการสามารถดำเนินการได้ ให้เหลือเพียงเรื่องการทำทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐเท่านั้น เรื่องอื่น ๆ เช่น อาชญากรรมหรือความมั่นคงของประเทศให้เป็นหน้าที่ของตำรวจแทน และจำกัดขอบเขตการสืบสวนเพิ่มเติมโดยอัยการ ส่วนภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นกลไกที่พ้นจากอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ เพราะการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ ปล่อยให้ประชาชนตรวจสอบด้วยตัวของเขาเอง องค์กรอิสระอย่างไรก็ต้องดำเนินการแบบราชการ แต่ภาคประชาสังคมนั้น เป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยภาคประชาสังคม จะดำเนินการในรูปแบบ NGOs หรือการรวมกลุ่มเฉพาะกิจก็ได้ แต่การรวมกลุ่มเฉพาะกิจในเกาหลีใต้ กระทำแล้วได้ผลกว่า NGOs มาก โดยประธานาธิบดีพัคนั้น ไม่ได้กระทำการทุจริตด้วยตนเอง แต่มีการปล่อยปละละเลยให้พวกพ้องเข้ามามีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร กินรวบอำนาจ มีการคอร์รัปชันอย่างโจ่งครึ่ม บ้านเมืองทุรยศเสื่อมทราม ถือว่าตัวประธานาธิบดีเองก็มีความผิดฐานคอร์รัปชันไปด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้คนทนไม่ไหว ออกมาชุมนุมประท้วงกันโดยมิได้นัดหมาย จนในที่สุดต้องก้าวลงจากตำแหน่งไปแบบเสื่อมเกียรติยศ และสุดท้าย การสร้างความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร กล่าวถึง "กระบวนการกระจายสู่ท้องถิ่น (Localiseค่า สิ โน ออนไลน์ เสือมังกรd)" เพราะท้องถิ่นคือพื้นฐานของการพัฒนาคน พัฒนาชาติ พัฒนาทุกสิ่งทุกอย่าง และสิ่งแรกที่รัฐบาลส่งเสริม คือ ห้ามรับเลี้ยงอาหารที่มีมูลค่าเกินกว่า 30,000 วอน หรือรับเงินใส่ซองเกิน 100,000 วอนในงานแต่งและงานศพ ดังจะเห็นว่า เกาหลีใต้มีการใช้ประโยชน์หลายทาง ทั้งต่อยอดนิสัยชอบตรวจสอบของประชาชน เข้ากับทางเลือกในการเข้าร่วม OECD เพื่อทำให้ประเทศสามารถปราบปรามปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งในลักษณะทางการ คือการออกแบบเชิงสถาบันการเมือง และไม่เป็นทางการ คือภาคประชาสังคมและท้องถิ่น คำถาม คือ ไทย ในฐานะที่มีความต้องการอยากเข้าร่วม OECD เหมือนกัน จะสามารถสร้างนิสัยชอบตรวจสอบในประชาชน หรือออกแบบกลไกเชิงสถาบัน จากการถอดบทเรียนเกาหลีใต้อย่างไร ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร เสนอว่า ไทยต้องสร้าง "พลเมืองที่แข็งขันและลงมือทำในเชิงรุก (Active Citizens)" ต้องกัดไม่ปล่อย เมื่อเห็นการกระทำทุจริตคอร์รัปชันให้ได้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องยากที่จะออกแบบสถาบัน เพราะจะไม่สอดรับกับสิ่งที่เป็นอุปนิสัยของประชาชนในประเทศ ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร ให้ข้อคิด คือ ไทยมีกระแสความไม่พอใจเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันมานาน และต่างจากเกาหลีตรงที่ คนไทยส่วนมากจะพูดมากกว่าทำ หรือ "เว้าสิบ่เฮ็ด" เน้นระบายลงสื่อสังคมออนไลน์ หายอดไลก์และยอดการมองเห็นอย่างเดียว ไม่ได้เป็นพลเมืองที่แข็งขันและลงมือทำในเชิงรุก "จะยืนหยัด ยืนยันความถูกต้องได้ สิ่งสำคัญ คือ เราต้องมีกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังนั้น ขยับขึ้นลงได้ แต่การจะขยับขึ้นลง ต้องมีแกนที่แข็งแรง แกนที่แข็งแรงนั้น หมายถึงหลักการ และความปรารถนาแน่วแน่ที่จะเป็นสังคมโปร่งใสโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะพวกพ้อง เกาหลีใต้ทำให้เห็นว่า แค่มีสถาบันหรือกลไกทางการเมืองที่กำกับ The One และ The Few อาจจะยังไม่พอ ต้องมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ The Many จริงจังกับการเปลี่ยนแปลงด้วย" ว่าที่ร้อยตรี เสกสรร กล่าวปิดท้าย
เกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นด้าน"การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน"เป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชียและของโลก จากสถิติของ Corruption Perceptions Index 2023 เกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 180 ประเทศทั่วโลก