วันนี้ (29 ธ.ค.2566) เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก "น้องเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น" ของ "เจนนี่ รัชนก"

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ CNN รายงาน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเปลี่ยนนโยบายสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ โดยละทิ้งแนวคิดความหลากหลายและความเท่าเทียม (Diversity, E

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ CNN รายงาน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเปลี่ยนนโยบายสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ โดยละทิ้งแนวคิดความหลากหลายและความเท่าเทียม (Diversity, Equity, Inclusion หรือ DEI) ที่เป็นหัวใจของกฎหมายสิทธิมนุษยชนมากว่า 60 ปี แทนที่ด้วยการเน้นปกป้องศาสนาคริสต์และต่อต้าน "อุดมการณ์ตื่นรู้" (Wokvip666 gameเกม สล็อต ฝาก 1 บาทe ideology) ซึ่งหมายถึงแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศ การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกนักประวัติศาสตร์มองว่าเป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคฟื้นฟู (Reconstruction) หลังสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ หน่วยงานสิทธิมนุษยชนของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งก่อตั้งจากกฎหมายสิทธิมนุษยชนปี 2500 เดิมมีหน้าที่ปกป้องสิทธิเลือกตั้งและความเท่าเทียมของทุกคน แต่ภายใต้การนำของ ฮาร์มีต ดิลลอน หัวหน้าคนใหม่ ภารกิจเปลี่ยนไป โดยมุ่งกำจัด "อคติต่อคริสเตียน การต่อต้านชาวยิว และอุดมการณ์ตื่นรู้" ดิลลอนเผยในรายการของ เกล็นน์ เบ็ก พิธีกรฝ่ายอนุรักษนิยมว่า ทนายความส่วนใหญ่ในหน่วยงาน ซึ่งเคยทำงานเพื่อความเท่าเทียม อาจลาออกพร้อมเงินชดเชยภายใน เดือน ก.ย.นี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีหลายคนรายงานผลการยกเลิกนโยบาย DEI ดังนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังกดดันมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น ฮาร์วาร์ด ให้ยกเลิก DEI โดยขู่ตัดงบวิจัยวิทยาศาสตร์ ฮาร์วาร์ดเลือกต่อสู้ แต่สถาบันอื่นอาจยอมตาม ด้านนโยบายผู้อพยพ รัฐบาลทรัมป์เกือบหยุดรับผู้ลี้ภัยทั้งหมด แต่กลับเปิดรับชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวที่อ้างว่าถูกเลือกปฏิบัติในประเทศของตน นโยบายนี้ถูกวิจารณ์ว่าแสดงถึงการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติอย่างชัดเจน มาร์ค อัปเดกโกรฟ นักประวัติศาสตร์และ CEO ของมูลนิธิ LBJ เปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับยุคหลังสงครามกลางเมือง ที่ความก้าวหน้าจากการเลิกทาสถูกทำลายโดยลัทธิเหยียดผิวและกฎหมายจิม โครว์ อัปเดกโกรฟชี้ว่า การต้าน "ความตื่นรู้" ของทรัมป์เหมือนเป็นการอนุญาตให้ยอมรับการเหยียดเชื้อชาติ นอกจากนี้ การตัดงบโครงการสวัสดิการ เช่น เมดิเคด เงินช่วยเหลือการศึกษา (Pell Grants) และโครงการเฮดสตาร์ท จะยิ่งทำให้ความเท่าเทียมในสังคมสหรัฐฯ ลดลง ขณะที่รัฐบาลหยุดแก้ไขความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ ทรัมป์กลับเน้นปกป้องศาสนาคริสต์อย่างมาก โดยตั้งคณะทำงานนำโดย แพม บอนดี อัยการสูงสุด เพื่อกำจัด "อคติต่อคริสเตียนไ ในหน่วยงานรัฐ คณะทำงานนี้เริ่มประชุมเมื่อสัปดาห์นี้ ที่ศาลสูงสุด ซึ่งมีผู้พิพากษาคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่ กำลังพิจารณาคดีเกี่ยวกับการแยกศาสนาจากรัฐ โดยถกว่างบภาษีควรใช้สนับสนุนโรงเรียนคาทอลิกในโอกลาโฮมาได้หรือไม่ ผู้พิพากษาอนุรักษนิยมดูเหมือนสนับสนุนแนวคิดนี้ ซึ่งอาจเปลี่ยนหลักการแยกศาสนาจากรัฐที่ยึดถือมานาน ในงานเลี้ยงอาหารเช้าเพื่อการอธิษฐานเมื่อวันที่ 1 พ.ค.2568 ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะนำศาสนากลับมาสู่ประเทศ และจะตั้งคณะกรรมการด้านเสรีภาพทางศาสนา เขากล่าวว่ามี "อคติต่อคริสเตียน" ในสหรัฐฯ แม้ประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้หลายคน นักบวชพอล แบรนดีส เราช์เนนบุช จากสมาคมศาสนสัมพันธ์ กล่าวในรายการ CNN ว่า "อคติต่อคริสเตียน" ที่ทรัมป์พูดถึงไม่ได้หมายถึงคริสเตียนทั่วไป เช่น คาทอลิกหรือลูเธอแรน แต่เป็นกลุ่มคริสเตียนอนุรักษนิยมบางกลุ่ม เขากังวลว่ารัฐบาลใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และอาจนำสหรัฐฯ สู่ชาตินิยมคริสเตียน ซึ่งขัดกับหลักเสรีภาพทางศาสนาที่ผู้ก่อตั้งประเทศกำหนดไว้ อ่านข่าวอื่น : รวบขโมยอ้างเป็นไรเดอร์ ลักทรัพย์บ้านหมอ-ตำรวจ สูญกว่า 3 แสน ภรรยาเล็งเอาผิด รพ. หากเลือดผิดกรุ๊ปทำสามีดับหลังก้อนปูนตกทับ

วันนี้ (9 ต.ค.2565) ตำรวจนครบาลลุมพินีควบคุมตัว นายวิโรจน์, นายณัฐวุฒิ, นายชูเดช และนายสุรัตน์ชัย ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญากรุงเทพฯ ใต้ คดีที่ปรากฏหลักฐานร่วมกันใช้ปืนยิงข่มขู่และทำร้ายร่างกาย นายวิ