วันที่ (19 เม.ย.2568) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงกรณีการเก็บหลักฐานใ

พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากผลสำรวจเด็กถูกรังแกในโรงเรียนช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 พบว่า เด็กถูกรังแกทางร่างกายและจิตใจ ร้อยละ 20-30 และร

พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากผลสำรวจเด็กถูกรังแกในโรงเรียนช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 พบว่า เด็กถูกรังแกทางร่างกายและจิตใจ ร้อยละ 20-30 และรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่ในโรงเรียน หากพิจารณาช่วงหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะเมื่อเด็กกลับเข้าสู่การเรียนปกติ ทางโรงเรียนให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพจิตของเด็กน้อยมาก หากแบ่งประเภทเด็กและเยาวชนถูกกลั่นแกล้งรังแกจะแบ่งเป็น 4 ด้าน คือ 1.การใช้กำลังหรือการทำร้ายร่างกาย เช่น ตบ ตี ชก ต่อย การข่มขู่, 2.การใช้คำพูด ทำร้ายความรู้สึก เช่น วิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียน, 3.การรังแกทางสังคม เช่น กดดันให้ออกจากกลุ่ม กีดกันเดิมพันฟรี การพนันบอลออนไลน์ไม่ให้เข้ากลุ่ม และ 4.การรังแกทางโลกออนไลน์ ผ่านการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ เป็นการกลั่นแกล้งในวงกว้างที่รุนแรงมากกว่าในรั้วโรงเรียน ขณะที่การกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียนเกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุต่ำลงเรื่อยๆ ล่าสุดพบการกลั่นแกล้งตั้งแต่เด็กระดับชั้นอนุบาล สำหรับช่วงอายุที่มีการรังแกกันมากที่สุดจะอยู่ในช่วงประถมศึกษาตอนปลาย หรือมัธยมศึกษาตอนต้น เพราะช่วงวัยก่อนเข้าสู่วัยรุ่น เด็กต้องการสังคมเพื่อน หากไม่ได้รับการยอมรับหรือรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง จะทำให้ส่งผลกระทบด้านจิตใจรุนแรง พญ.โชษิตา ระบุว่า เด็กที่เผชิญกับเหตุการณ์ถูกกลั่นแกล้งต้องรู้จักอารมณ์ของตัวเองและจัดการอารมณ์ที่ไม่ดีของตัวเอง ขณะเดียวกันต้องทำให้เพื่อนรับรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง เช่น ต้องบอกเพื่อนว่าไม่ชอบที่เพื่อนทำแบบนี้ นอกจากแนวทางแก้ปัญหาในเด็กแล้ว ผู้ปกครองต้องเรียนรู้เด็กว่ามีทักษะด้านสังคมหรือการแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ เพราะการแก้ปัญหาของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน การเพิ่มทักษะชีวิตให้กับเด็กเพื่อการเอาตัวรอด รู้จักวิธีการแก้ปัญหาและรู้ว่าตัวเองได้รับการยอมรับจะช่วยส่งเสริมคุณค่าของตัวเองได้ พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น พญ.โชษิตา ระบุอีกว่า บางสถานการณ์ เด็กแก้ปัญหาเองไม่ได้ จึงต้องมีผู้ใหญ่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ซึ่งการจัดการในโรงเรียนเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องประกาศว่าไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงในโรงเรียนหรือในสังคม และต้องมีกระบวนการจัดการ เช่น ช่องทางการขอความช่วยเหลือเมื่อเด็กเกิดปัญหา หรือเมื่อเด็กบอกว่าถูกกลั่นแกล้ง ครูหรือผู้ปกครองต้องให้ความสำคัญก่อน โดยวิธีการจัดการนั้นไม่ใช่การตำหนิหรือลงโทษ แต่เป็นการช่วยกันดูแลกัน เพื่อนช่วยเพื่อน มีระบบครูช่วยเด็ก เป็นสิ่งที่ต้องทำงานไปพร้อมกัน ทั้งนี้ จากปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่ปัจจุบันพบบ่อยครั้ง จึงเสนอภาครัฐให้ความสำคัญทั้งระบบนโยบาย ระดับโรงเรียน ระดับสังคม ต้องทำความเข้าใจเรื่องการรังแกกัน เพราะการรังแกกันเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ความรุนแรงเมื่อเด็กเติบโตขึ้น ข่าวที่เกี่ยวข้อง จิตแพทย์ห่วงสภาพจิต "เด็ก" เครียดยาว แนะหยุดบูลลีในโรงเรียน “เรื่องของผัว-เมีย คนอื่นอย่ามายุ่ง” วาทกรรมรุนแรงในครอบครัว

ค่าผ่านทาง หรือ "ส่วยรถบรรทุก" ในรูปแบบสติกเกอร์ ที่กำลังเป็นกระแส ณ ขณะนี้ จากจุดเริ่มต้นจาก "วิโรจน์ ลักขณาอดิศร" ฉายาอุกกาบาต ที่ออกมาเปิดเผย จนมาถึงคำสั่งเด้งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง พร้อมหัวหน้าค