กรณีช้างป่าตัวผู้อายุ 8 ปีชื่อ "พลายยันหว่าง" ตายระหว่างเคลื่อนย้ายจากอ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ไปไปยังพื้นที่โครงการจัดการช้างป่าเขาตะกรุบ จ.สระแก้ว ซึ่งมีการวิจารณ์ว่าเกิดจากความผิดพลาดในการให้ยาซึม กับช้
กลายเป็นประเด็นร้อนในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อสาว "ซงจีอา" บิวตี้ยูทูปเบอร์ที่ดังเป็นพลุแตกจากรายการเรี
วันนี้ (13 ก.พ.2568) ที่กองบัญชาการทหารกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย หรือ DKBA ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก พ.อ.ซาน เอ่า ผู้บัญชาการทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ (DKBA) กล่าวถึง การส่งเหยื่อแก๊งคอลเซนเตอร์ให้กับเจ้า
“ไร่หมุนเวียน” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาการทำเกษตรของชาวกะเหรี่ยง คือสิ่งที่ถูกมองว่ากำลังจะสูญหายไป หลังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศใช้ “พระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การอยู่อาศัยหรือทำกินในโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ” มาตั้งแต่ปลายปี 2565 แม้ว่าในชื่อของพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ จะดูเหมือนเป็นการช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านมีที่ทำกินในกรณีมีที่อยู่อาศัยในเขตอุทยานแห่งชาติ แต่จริงๆ แล้วมีเงื่อนไขสำคัญๆ ระบุอยู่ในเนื้อหาอย่างชัดเจนว่า การทำไร่หมุนเวียน จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก คือ ชาวกะเหรี่ยงที่บริเวณห้วยกระซู่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี คส โบ เบ็ ต 888blackjack rsือกลุ่มที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า จะขอต่อสู้เพื่อยืนหยัดสิทธิ ที่จะทำไร่หมุนเวียนของพวกเขาต่อไป แม้ว่าจะมี 2 คน คือ ประไพ บุญเชิด และวันเสาร์ กุงาม ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี จับกุมดำเนินคดีไปแล้วด้วยข้อหา บุกรุกป่าและทำให้โลกร้อน เพียงเพราะพวกเขาทำไร่หมุนเวียน โดยหนึ่งในวิธีการต่อสู้ของพวกเขา คือ การร่วมมือกับหน่วยงานทางวิชาการ ทำการศึกษาเพื่อพิสูจน์ว่า “ไร่หมุนเวียน” ไม่ใช่วิธีการทำการเกษตรที่ทำลายป่า แต่กลับได้ผลในทิศทางที่ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยอนุรักษ์ป่าได้ดีกว่า “ไร่หมุนเวียน” ตามวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง คือ การทำ “ข้าวไร่” โดยใช้พื้นที่เวียนกันไปทั้งหมด 7 แปลง แต่จะทำเพียงปีละ 1 แปลงเท่านั้น เช่น หากในปี 2561 ทำไร่ในแปลงที่ 1 เมื่อถึงปี 2562 ก็จะทำในแปลงที่ 2 ถัดไปทีละแปลงในแต่ละปี โดยแปลงที่ทำไปแล้วจะถูกทิ้งไว้เพื่อให้ฟื้นคืนสภาพความเป็นป่า ดังนั้น เมื่อถึงปี 2567 ชาวกะเหรี่ยงก็จะทำข้าวไร่ในแปลงที่ 7 ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น พื้นที่ในแปลงที่ 1 ก็จะฟื้นคืนสภาพความอุดมสมบูรณ์แล้ว และจะถูกใช้เวียนกลับมาทำไร่อีกครั้งในปี 2568 ดร.นรชาติ วงศ์วันดี นักวิจัยศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนมูลนิธิโครงการหลวงและโครงการตามพระราชดำริ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดร.นรชาติ วงศ์วันดี นักวิจัยศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนมูลนิธิโครงการหลวงและโครงการตามพระราชดำริ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดร.นรชาติ วงศ์วันดี นักวิจัยศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนมูลนิธิโครงการหลวงและโครงการตามพระราชดำริ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อธิบายถึงที่มาของการลงพื้นที่ไปทำการศึกษาร่วมกับชาวกะเหรี่ยงที่ อ.หนองหญ้าปล้อง โดยเรียกโครงการนี้ว่า “การศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศจากการทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงโผล่ว ห้วยกระซู่ จ.เพชรบุรี” และเมื่อใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 1 ปี ด้วยการเก็บตัวอย่างดินจากไร่หมุนเวียนที่ชาวบ้านในพื้นที่ทำไว้ ทีมนักวิจัย ก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากๆ ผลการศึกษาเพื่อหาคำตอบจากสมมติฐานข้อที่ 1 การทำไร่หมุนเวียนทำให้ดินดีขึ้นหรือทำให้ดินเสียอย่างไร ดร.นรชาติ ใช้วิธีเก็บตัวอย่างดินจากแปลงทำไร่หมุนเวียนที่ถูกทำไว้แล้วครบทั้ง 7 แปลง คือ แปลงที่เพิ่งทำในปีที่เก็บ ,แปลงที่ทำไปแล้วและถูก “พักไว้” เป็น “ไร่ซาก” ตั้งแต่ 2-7 ปี และเมื่อนำดินจากไร่หมุนเวียนไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จะพบการสะสมแร่ธาตุและอินทรีย์วัตถุในปริมาณที่สัมพันธ์กับจำนวนปีของแปลงไร่หมุนเวียนที่ถูกพักไว้ โดยพบการสะสมอินทรีย์วัตถุที่มีสารอาหารในระดับสูงจนไม่มีความสำเป็นต้องเติมสารบำรุงดินใดๆเข้าไปเพิ่มอีกเลย เมื่อไร่ถูกพักไปครบปีที่ 7 ตรงกับภูมิปัญญาของชาวกะเหรี่ยงพอดี แต่ถ้าเราดูข้อมูลการสะสมอินทรีย์วัตถุในแปลงที่ถูกพักไว้ 5 หรือ 6 ปี ก็เป็นแปลงที่สามารถทำไร่ได้โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเช่นกัน แต่จะได้ผลผลิตไม่ดีเท่ากับแปลงที่พักไว้ครบ 7 ปี จึงเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก เพราะช่วงเวลา 7 ปี ของการพักพื้นที่ทำไร่ เป็นถูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาวกะเหรี่ยง ผลการศึกษาเพื่อหาคำตอบจากสมมติฐานข้อที่ 2 การเผาจากการทำไร่หมุนเวียน สร้างมลพิษจริงหรือไม่ ดร.นรชาติ ใช้วิธีทำการศึกษาโดยหาผลการดูดซับคาร์บอนที่เกิดจากการเผาจากพื้นที่ทำไร่หมุนเวียน ดร.นรชาติ นำเสนอให้เห็นปัจจัยสำคัญที่ต่างออกไป คือ การทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงจะไม่ตัดไม้ในไร่แบบถอนรากถอนโคน ไม่เปิดหน้าดินทั้งหมด ดังนั้นต้นไม้ที่เหลืออยู่ในไร่ที่เพิ่งทำเสร็จไปจะมีลักษณะเหลือเป็นตอไม้ เป็นซากไม้ที่ยังมีรากฝังอยู่ในดิน เมื่อเผาก็จะปล่อยคาร์บอนเพียงแค่ 35% เมื่อเทียบกับการเผาไร่ในการทำเกษตรแบบทั่วไป และจะถูกดูดซับโดยไร่แปลงอื่นๆที่ถูกพักไว้ “ถ้าเราปล่อยให้ชาวกะเหรี่ยงทำไร่หมุนเวียนแบบ Full Scale คือ มีพื้นที่พอให้เขาหมุนเวียนได้ครบ 7 ปี เมื่อเขาทำไร่ในแปลงที่ 1 และต้องเผาในขั้นตอนเก็บเกี่ยว เราจะพบว่า แปลงที่พักไป 2-3 ปี ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้พอที่จะช่วยดูดซับคาร์บอนได้ แต่พื้นที่ทำไร่ที่พักไปแล้วอีก 4 แปลง คือแปลงที่พักไป 4-7 ปี จะกลายสภาพกลับคืนเป็นป่าแล้ว จึงมีศักยภาพในการช่วยดูดซับคาร์บอนจากแปลงที่ 1 ได้จนหมด เพราะเป็นการเผาที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าการเผาในรูปแบบอื่นอยู่แล้วด้วย" ผลการศึกษาเพื่อหาคำตอบจากสมมติฐานข้อที่ 3 การทำไร่หมุนเวียน ถือเป็นความมั่นคงทางอาหารจริงหรือไม่ “ชาวกะเหรี่ยงไม่ได้เคยคิดถึงการถือครองที่ดินเป็นของตัวเอง ในความคิดของชาวกะเหรี่ยง เราทำไร่เสร็จแล้ว ที่ดินตรงนั้นเราก็คืนกลับไปให้กลับเจ้าป่าเจ้าเขา คืนกลับไปให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู พวกเราชาวกะเหรี่ยงจึงมีวิถีการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งจะคืนที่ดินที่เก็บเกี่ยวไปแล้ว ให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูไปอีก 7 ปี ไร่ของพวกเราจึงไม่เคยต้องใช้สารเคมี และป่าที่เราอยู่กันมามากกว่าร้อยปี ก็ยังเป็นป่ามาถึงปัจจุบัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รัฐอยากเห็นจากเรา” พฤ โอโดเชา คำกล่าวของ พฤ โอโดเชา ปราชญ์ชาวกะเหรี่ยงจาก อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ที่พยายามอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างลมหายใจของผืนป่าวิถีการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังคงไม่ได้การยอมรับจากหน่วยงานของรัฐ แต่นี่เป็นประเด็นเดียวกันกับคำอธิบายของ ดร.นรชาติ เกี่ยวกับสมมติฐานข้อนี้ ดร.นรชาติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมี กบ เขียด อึ่ง ปู ปลา จิ้งหรีด ตั๊กแตน ตัวตุ่น หรือสัตว์ตัวเล็กๆอีกจำนวนมากที่ใช้เป็นอาหารเพื่อเลี้ยงชีพอยู่ในแปลงไร่หมุนเวียนด้วย เพราะในแปลงไร่หมุนเวียนไม่มีสารเคมีเลย ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ได้ตามระบบนิเวศดั้งเดิมของมัน เมื่อแปลงไร่ถูกพักให้ป่าฟื้นตัว เมื่อได้ผลการศึกษาออกมาเช่นนี้ ดร.นรชาติ วงศ์วันดี และ จตุภูมิ มีเสนา นักวิจัยอีกหนึ่งคนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ร่วมทำการศึกษานี้เช่นกัน จึงมีข้อสรุปที่น่าสนใจว่า จะตีพิมพ์ผลการศึกษาโครงการนี้ให้ถูกบันทึกเป็นหลักฐานทางวิชาการอย่างเป็นทางการ พวกเขาเชื่อว่า การมี “หลักฐานทางวิชาการ” จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยทำให้หน่วยงานของรัฐยอมเปิดพื้นที่สำหรับการสร้างกติกาใหม่ในการอยู่ร่วมกับชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมในเขตป่าอนุรักษ์ได้ มากกว่าการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวแบบที่ทำมาตลอด “เราต้องไม่ตัด “คน” ออกจากสมการของการอนุรักษ์ธรรมชาติครับ ยิ่งถ้าเราพยายามทำความเข้าใจชาวกะเหรี่ยง เราก็จะรู้ว่า เขาอยู่กับป่าด้วยความเคารพ เขาทำไร่แล้วคืนพื้นที่ป่าให้กลับมาสมบูรณ์ก่อนจะกลับไปทำใหม่ ซึ่งในหลายประเทศที่มีพื้นที่ป่าสมบูรณ์มากๆ เขาก็ใช้หลักการนี้ คือ การทำ ความเข้าใจชุมชนที่อยู่อาศัยในป่าผ่านภูมิปัญญาการรักษาป่าของพวกเขาเอง และนำมาออกแบบเป็นกติกาการอยู่ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ” จตุภูมิ อีกหนึ่งนักวิชาการในทีมวิจัย กล่าว นำหลักฐานทางวิชาการ มาวิเคราะห์ เปิดวงพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน และสร้างกติกาที่ดีในการอยู่ร่วมกันไปพร้อมกับการดูแลรักษาป่า” จึงเป็นข้อเสนอจากทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หลังจากที่ได้ผลการศึกษาในโครงการนี้ออกมา “ผมเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่าวิถีการทำไร่หมุนเวียนเป็นสิ่งที่ดี เรายังต้องยอมรับด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯส่วนหนึ่งก็เป็นคนในพื้นที่ด้วยซ้ำไป แต่พอต้องมาคุยในระดับนโยบายหรือการบังคับใช้กฎหมาย ชาวบ้านก็พูดคุยในระบบคุณค่าของภูมิปัญญาที่พวกเขามี อธิบายได้ในเชิงปรัชญาที่สืบทอดต่อกันมา แต่ฝ่ายรัฐต้องการได้หลักฐานที่จะนำไปใช้อธิบายต่อได้ว่า คุณค่าที่ชาวบ้านพูดถึง มันมีอยู่จริงๆ” ดร.นรชาติ อธิบายสภาพปัญหา ดร.นรชาติ และ จตุภูมิ ยังมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมในเชิงการจัดการพื้นที่ไร่หมุนเวียนในเขตป่าอนุรักษ์จากผลการศึกษาโครงการนี้ด้วย ผลการศึกษาระบุว่า ชาวกะเหรี่ยงสามารถทำไร่หมุนเวียนในรูปแบบ “เกษตรแปลงรวม” คือ ทั้งชุมชน ทำไร่ในพื้นที่แปลงเดียวกันได้ และเมื่อนำมาคำนวนว่า ชาวบ้าน 1 คน บริโภคข้าวประมาณคนละ 3 ขีดต่อวัน จะได้พื้นที่ทำไร่หมุนเวียนที่เหมาะสม คือ ชุมชนละประมาณ 80-100 ไร่ ต่อปี รวม 7 แปลง เป็นพื้นที่ประมาณ 700 ไร่ ดังนั้น ใน 1 ปี จะมีพื้นที่กำลังทำไร่หมุนเวียน ประมาณ 100 ไร่ ,มีพื้นที่ทำไร่ซึ่งเพิ่งพักฟื้น (แปลงที่ 2-3) อีก 200 ไร่ และมีพื้นที่ทำไร่ที่ฟื้นตัวเป็นป่าแล้ว (แปลงที่ 4-7) อีก 400 ไร่ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็ยังมีสภาพเป็นป่าทั้งหมด จึงจะมีทั้งข้าวอินทรีย์คุณภาพดี มีความมั่นคงทางอาหารจากพืช ผัก และสัตว์เล็กๆ ละยังมีความสามารถดูดซับคาร์บอนจากการเผาได้อย่างแน่นอน การศึกษาฉบับนี้ ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมด้วยว่า หน่วยงานของรัฐ ควรมอบหมายให้ชุมชนชาวกะเหรี่ยงมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการดูแลรักษาพื้นที่ป่า ในฐานะที่เป็นผู้อาศัยที่มีป่าเป็น “บ้าน” และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภูมิปัญญาการดูแลรักษาป่าที่เข้มแข็ง ไร่หมุนเวียน เป็นรูปแบบการทำเกษตรที่เหนื่อยมาก เพราะต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรม ชาติวิทยาสูงมาก มีแต่ชาวกะเหรี่ยงที่มีองค์ความรู้เช่นนี้ จึงไม่ใช่ว่าจะไปถ่ายทอดให้คนกลุ่มอื่นมาทำตามได้ง่ายๆ แต่รัฐต้องเปิดช่องทางการพูดคุยให้ด้วย ต้องลืมการบังคับใช้กฎหมายแบบเดิมๆไปก่อน ฝั่งชาวบ้านเองก็ต้องนำหลักฐานทางวิชาการมาคุยโดยละทิ้งวิธีการอธิบายแบบเดิมไปก่อนเช่นกัน ซึ่งผมเชื่อว่า ผลการศึกษานี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทั้ง 2 ฝ่ายจะคุยกันด้วยเหตุผลได้ คนอยู่ได้ ป่าก็กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้” ดร.นรชาติ กล่าวทิ้งท้าย รายงาน : สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา
“ไร่หมุนเวียน” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาการทำเกษตรของชาวกะเหรี่ยง คือสิ่งที่ถูกมองว่ากำลังจะสูญหายไป หลังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศใช้ “พระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การอยู่อาศัยหรือทำกินในโค
- ส โบ เบ็ ต 888blackjack rs
- วิธี ล่าง ลูกไฮโล
- สมัคร joker123 ฟรี เครดิต 20 ทํา ถึง 200 ถอน ได้ ทันที
- สูตรบาคาร่า pantip 2563วิธีสมัคร สล็อตxo
- หนังดราก้อนไทเกอร์
- 918kiss เล นทางเว บ