วันนี้ (5 ต.ค.2567) นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ออกประกาศแจ้งเตือนส1️777 ผล บอล
วันนี้ (18 เม.ย.2566) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นค่ากระแสไฟฟ้าของหลายๆ บ้านที่แพงขึ้นในช่วงนี้ว่า ทางพรรคมีแผนบันได 5 ข
อาวุธสังหารไฮเทคในโลกสมัยใหม่ ปัจจุบันไม่ได้มีแค่เครื่องยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคที่ใช้ยิงระยะไกล หรือระยะไกล้อีกต่อไปแล้ว ก่อนจะล้ำยุคก้าวเข้าสู่สงครามอวกาศ และความมั่นคงทางอวกาศ ยังมีการใช้ โดรน (DRONE) หรืออากาศยานไร้คนขับ รูปร่างคล้ายกับเครื่องบินขนาดเล็ก สามารถขึ้น-ลงในแนวตั้งได้ จากเดิมใช้งานทางด้านการทหาร ต่อมาได้กพัฒนามาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น การนำโดรนมาติดกล้องเพื่อถ่ายภาพมุมสูง ตรวจสภาพจราจร เก็บข้อมูลภูมิศาสตร์ และอื่น ๆ "โดรน" หรือ Unmanned Aerial Vehicle: UAV กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการอากาศยาน มีการคาดการณ์ว่า โดรนอาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรบพุ่งทางอากาศ เนื่องจากสามารถลดความสูญเสียของกำลังพล ควบคุมระยะไกล และตั้งค่าระบบให้ขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ (Auto Pilot) ขณะที่ ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) นักรัฐศาสตร์อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ระบุว่า "การใช้โดรนกำลังปรับแปรธรรมชาติของอำนาจภาคพื้นดิน ดังนั้น จึงเป็นการบ่อนเซาะพลังอำนาจเชิงโครงสร้างไปในตัว" แม้การใช้โดรนจะมีข้อได้เปรียบ แต่ข้อเท็จจริง ทุกครั้งที่เกิดภาวะสงครามกลับถูกใช้งานน้อยมาก หากเปรียบกับการใช้ยุทธวิธีทางการรบด้วยการส่งทหารราบหรือ1️777 ผล บอลพลเดินเท้าเข้าประจำการในพื้นที่พร้อมฐานที่ตั้งอาวุธสงครามนานาชนิด หากย้อนรอยการสงครามตั้งแต่ปี 1849 พบว่า เมื่อครั้งจักรวรรดิออสเตรีย ทำสงครามกับสาธารณรัฐเวนิส ในขณะนั้นไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมไปได้ กองทัพเรือจึงได้ส่งบอลลูนผูกติดไว้กับระเบิด ปล่อยออกมาจากเรือบรรทุกเครื่องบิน เพื่อโจมตีทางอากาศ เนื่องจากบอลลูนทิ้งระเบิดมีอัตราแม่นยำและความสำเร็จต่ำ ดังนั้นได้เริ่มนำ "คลื่นวิทยุ" เข้ามาสั่งการการเคลื่อนไหวเพื่อกำหนดยุทธวิธีให้เป็นเนื้อเดียวกัน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ เมื่อปี 1917ของสหราชอาณาจักร ในปี 1936-1937 ราชนาวีสหรัฐฯ ได้พัฒนา "DH.82B Queen Bee" อากาศยานไร้คนขับที่สามารถคุมต้นทุนให้ราคาถูก และใช้งานเพื่อการต่อต้านอากาศยานเป็นครั้งแรก ด้วยชื่อเรียกที่ยาวเกินไป ทหารเรือจึงตั้งชื่อเล่นให้ว่า "โดรน" ซึ่งหมายถึง "ผึ้งตัวผู้" และใช้มาจนถึงปัจจุบัน การพัฒนาโดรนเพื่อนำมาใช้งานด้านต่าง ๆ จะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทำให้มีการจำกัดวงแคบ คือ ใช้เพื่อการฝึกทหารเท่านั้น โดยโดรนจะผลิตออกมาในรูปแบบเครื่องบินจำลอง ย่อขนาดลงมา แต่เครื่องยนต์ อากาศพลศาสตร์ หรือยุทธวิธี ยังคงเดิม เพื่อให้กำลังพลสามารถรับมือกับเหตุการณ์จริงได้ ช่วงสงครามยมกิปูร์ ที่อียิปต์และอิสราเอลรบกัน ในปี 1973 สหรัฐฯ ใช้งาน Ryan Firebee เพื่อรบกวนขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานของอียิปต์และซีเรีย กว่าจะใช้งานเป็นยุทธภัณฑ์อย่างจริงจัง ก็ล่วงมาถึงสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในช่วงปี 1990 ที่รัฐอิสลาม เห็นประโยชน์ฝในการใช้โดรนโจมตีมากกว่าการทำ "ญิฮาด" ผูกระเบิดแสวงเครื่องติดตัวและพาศัตรูตายไปพร้อมกัน จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องใช้ยุทธวิธีเดียวกันเพื่อตอบโต้ แม้โดรนจะมีข้อได้เปรียบ ในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของกำลังพลให้ไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายหรือตายฟรี รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทุ่นแรงการโจมตีทางอากาศ แต่การใช้งานโดรนก็ยังจำเป็นต้องประสานงานร่วมกับ "อัตรากำลัง" ทางทหารอยู่เสมอ งานวิจัย Why Drones Have Not Revolutionized War: The Enduring Hider-Finder Competition in Air Warfare ชี้ว่า ในสงคราม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ยุทธวิธี "Hider-Finder" หรือกลยุทธ์สงครามต้องมีทั้ง "บู๊" และ "บุ๋น" การบู๊ คือ ตรวจจับได้ว่า เป้าหมายหรือศัตรูจะตั้งรับหรือรุกคืบฝ่ายเรา จะใช้สรรพาวุธแบบใด หรือจะใช้กลศึกแบบใด ด้วยว่า เทคโนโลยีของโดรนในตอนนี้ ยังไม่สามารถที่จะตรวจจับและหลบหนีกได้ด้วยตนเอง ผลกระทบที่ตามมา คือ การระบุหรือประเมินกำลังศัตรูอย่างผิดพลาด ส่งผลให้โดรนตกเป็นเป้าหมายเสียเอง หรือไม่ก็ดำเนินการแบบ "โจ่งครึ่ม" ถูกสอยร่วงได้โดยง่าย และในทางกลับกัน ศัตรูจะสามารถแกะรอย ตามสืบ หรือดูดเทคโนโลยีจากการสอยโดรนของเราร่วงได้โดยง่าย เป็นการ "ยื่นดาบให้ศัตรู" อีกทอดหนึ่ง โดยงานวิจัยนี้ ยกตัวอย่าง 3 สงครามที่มีการนำโดรนมาใช้ในการรบพุ่ง คือ สงครามกลางเมืองลิเบีย, สงครามกลางเมืองซีเรียม, และสงครามนากอร์โน-การาบัค หรือสงครามอาร์เมเนีย-อาเซอร์ไบจาน ในสงครามกลางเมืองลิเบียและซีเรีย โดรนสามารถทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ เพราะใช้งานโดย "ฝ่ายรัฐบาล" ซึ่งมีสรรพกำลัง องค์ความรู้ หรือการวิจัยและพัฒนาโดรนที่มากกว่าฝ่ายต่อต้านอยู่เป็นทุนเดิม ในฐานะยุทธภัณฑ์สงครามแล้ว ถือว่าสอบตกอย่างมาก เพราะพันธกิจของการเป็นอาวุธ คือ การ "ทำให้เท่ากัน (Balancing)" ของทั้งสองฝ่าย เช่น การครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ ทำให้ต่างฝ่ายต่างยำเกรงกันและกัน แม้อีกฝ่ายจะมีกำลังเหนือกว่ามาก ส่วนสงครามนากอร์โน-การาบัคนั้น ฝ่ายอาเซอร์ไบจานไม่ได้มุ่งเน้นการป้องกันการโจมตีทางอากาศยาน แต่มีการใช้โดรนเพื่อต้องการสืบข่าวหรือล้วงความลับจากฝ่ายอาร์เมเนียเท่านั้น หรือก็คือ อาเซอร์ไบจานใช้โดรนเป็น "นกต่อ" เพื่อยั่วยุอาร์เมเนียให้งัดยุทโธปกรณ์ตอบโต้ระดับสูงมาใช้งาน ซึ่งวิธีการนี้เป็นเพียงการใช้โดรนในฐานะ "เครื่องมือเชิงกลยุทธ์" มากกว่าเป็นยุทธภัณฑ์ จากทั้งหมดทำให้เห็นได้ว่า ไม่มีสงครามใดเลยที่จะอาจหาญให้โดรนเป็นยุทธภัณฑ์ "หน้าด่าน" ในการรบพุ่งเพื่อเอาชนะ กลับกัน วิธีการทำสงครามแบบดั้งเดิม กลับเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น เพราะการเกณฑ์ทหารนั้น "ราคาถูก" กว่าการวิจัยและพัฒนาโดรนเป็นอย่างมาก เห็นได้จากอาเซอร์ไบจาน ที่ทุ่มงบประมาณด้านยุทธภัณฑ์ไปถึงหลัก 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับขอรับความช่วยเหลือด้านโดรนมาจากตุรกี ไม่มีการลงทุนเองแต่อย่างใดในการใช้ทำสงครามกับอาร์เมเนีย แม้ว่าคุณภาพของผู้ใช้ยุทโธปกรณ์จะเป็นตัวแปรสำคัญในการทำสงคราม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงไม่แพ้กัน คือ "การสร้างพันธมิตร" เพื่อเข้ามาช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ในสนามสัประยุทธ์ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีพละกำลังหรือศักยภาพในการเอาชนะน้อยกว่าอีกประเทศหนึ่ง แต่หากประเทศเหล่านี้รวมตัวกันมาก ๆ อาจเป็นที่ยำเกรงของฝ่ายที่เหนือกว่าได้ เช่น การรวมกลุ่ม NATO ที่ทำให้มหาอำนาจรัสเซียนั้นถึงกับไม่มั่นคงทางทหาร และต้องเตรียมงบประมาณ เพื่อการป้องกันประเทศในระดับสูงแทนที่จะนำไปพัฒนาด้านอื่น ๆ ที่ได้เปรียบกว่า เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีหรือเซมิคอนดักเตอร์ ประเด็นการใช้โดรนก็ไม่แตกต่างกัน ดังที่กล่าวถึงการรับความช่วยเหลือด้านอากาศยานไร้คนขับเพื่อการสงครามของอาเซอร์ไบจานมาจากตุรกี โดยที่ไม่ควักกระเป๋าวิจัยและพัฒนาด้วยตนเอง หรือกระทั่งสงครามกลางเมืองในตะวันออกกลางที่มีการใช้โดรน ส่วนมากแล้ว ก็เป็นสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทั้งสิ้น จากสถิติของ Vision of Humanity ระบุว่า โดรนสำหรับการโจมตีทางอากาศมีการกระจายสู่กลุ่มต้อต้าน โดยเพิ่มขึ้นในอัตรามากกว่า 2 เท่าในปี 2023 จากแต่เดิมที่อยู่ในมือรัฐ ซึ่งสหรัฐฯ ครอบครองมากที่สุดด้วยอัตราการจัดซื้อจำนวน 1,000 ในแต่ละปี (คาดการณ์จนถึงปี 2028) เหนือกว่า รัสเซีย หรือจีน ที่เป็นมหาอำนาจกว่า 15-20 เท่า หมายความว่า ประเทศที่ครอบครองโดรนจำนวนมาก ยังมีการผ่องถ่ายโดรนในฐานะ "ความช่วยเหลือทางทหาร" สร้างพันธมิตรและแนวร่วมในการสงคราม ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ถือเป็น "ของรางวัล" มากกว่าที่จะเป็นอาวุธเสียอีก ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ขนาดผู้ถือครองยังไม่ใช้ นำไปให้ประเทศอื่น ๆ ใช้ ต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อย ข้อมูลจาก MarketsAndMarkets พบว่า ปี 2024 มีอัตราการจัดซื้อโดรนทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 จากปี 2023 สอดคล้องกับ Statista ที่เสนอว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ในอัตราร้อยละ 13.5 ด้วยจำนวนเม็ดเงินสะพัดกว่า 540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทย มีการนำโดรนมาใช้ในการทหารครั้งแรกในปี 1988 โดยนำเข้า R4D SkyEye จำนวน 7 ลำที่กองบิน 4 ตาคลี เพื่อใช้ในสงครามร่มเกล้า แต่โดรนรุ่นนี้ประสิทธิภาพต่ำ ไม่เหมาะกับการสงคราม กองทัพไทยจึงไม่ได้ให้ความสำคัญอีกเลย นานกว่า 20 ปี ต่อมาในปี 2004 ที่กองทัพไทยเล็งเห็นความสำคัญของโดรน จากสงครามการสู้รบในต่างประเทศ จึงทำให้เกิดโครงการ วิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) ของกองทัพบก ตั้งแต่ ปี 2005 -2007 โดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม (สวพ.กห.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นผู้สนับสนุนโครงการด้วยงบประมาณกว่า 90 ล้านบาท ที่มา: Royal Thai Air Force ที่มา: Royal Thai Air Force ส่วนกองทัพเรือ มีโครงการวิจัยอากาศยานไร้นักบิน ขึ้นลงทางดิ่ง ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วม 4 ฝ่าย ระหว่าง กองทัพเรือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) บริษัทเสรีสรรพกิจ จำกัด และ บริษัทกษมาเฮลิคอปเตอร์ จำกัด เพื่อนำไปใช้กับเรือรบ เพิ่มขีดความสามารถในการตรวจการณ์ทางทะเล ข้อมูลจากสมุดปกขาวของกองทัพไทย ปี 2567 เปิดเผยยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน โดยให้ความสำคัญกับเรื่องโดรนเป็นลำดับต้น ๆ โดยมีทั้งหมด 9 โครงการสำคัญ ๆ เช่น ที่มา: Royal Thai Air Force ที่มา: Royal Thai Air Force สำหรับกองทัพอากาศไทย ที่เตรียมปรับเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพอากาศและอวกาศ รวมทั้งมีการเตรียมยกร่างแผนพ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางอากาศและอวกาศ...ก่อนหน้านี้ เคยมีการปล่อยดาวเทียมนภา 1 และนภา 2 พร้อมทั้งเตรียมปล่อย นภา 3 และ 4 ภายในปี 2568 นี้ ขณะที่ข้อมูลสมุดปกขาวกองทัพบก ปี 2567 ให้ความสำคัญในลักษณะ "เชิงรับ" โดยระบุไว้ในแนวทางเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพบก ข้อย่อย 4.2 ว่า "การเสริมสร้างขีดความสามารถในระบบการป้องกันภัยทางอากาศ : ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (อาวุธนำวิถี) ระบบป้องกันและต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti - Drone) ระบบควบคุมสั่งการอาวุธป้องกันภัยทางอากาศ ระบบเรดาร์แจ้งเตือน และอื่น ๆ ที่มา: Royal Thai Air Force ที่มา: Royal Thai Air Force หากมองด้านภารกิจและความมั่นคงของแต่ละกองทัพ แม้ใช้ปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เนื้อหาจากสมุดปกขาวกองทัพอากาศระบุชัดเพื่อให้มีความได้เปรียบในเชิงยุทธภัณฑ์ ขณะกองทัพบกเน้นใช้ในเชิงกลยุทธ์เพื่อการตั้งรับ จึงต้องจับตาว่า ท่ามกลางวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ไทยในฐานะประเทศเล็ก ๆ จะตั้งรับอย่างไร Why Drones Have Not Revolutionized War: The Enduring Hider-Finder Competition in Air Warfare, สมุดปกขาวกองทัพบก พ.ศ. ๒๕๖๗, สมุดปกขาว กองทัพอากาศ พ.ศ. ๒๕๖๗, ส.ท.ป., Vision of Humanity, MarketsAndMarkets, Statista อ่านข่าว กองทัพ ความมั่นคงอวกาศ-เศรษฐกิจอวกาศ ไทยไม่ตกเทรนด์โลก "จิตวิทยา AI" อัจฉริยะเทคโนโลยี จำลองตัวเอง "ที่ปรึกษา" วัยชรา “นิวเคลียร์” ขับเคลื่อน AI พัฒนาเทคโนโลยียั่งยืน "บนทางคู่ขนาน"
วันนี้ (11 ก.ค.2567) นายประกาศิต ระวิวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติผาแดง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2567
1️777 ผล บอล -Simak Jadwal Tayang dan Link Nonton di Vision+
วันนี้ (5 ต.ค.2567) นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ออกประกาศแจ้งเตือนส1️777 ผล บอล
วันนี้ (18 เม.ย.2566) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นค่ากระแสไฟฟ้าของหลายๆ บ้านที่แพงขึ้นในช่วงนี้ว่า ทางพรรคมีแผนบันได 5 ข
อาวุธสังหารไฮเทคในโลกสมัยใหม่ ปัจจุบันไม่ได้มีแค่เครื่องยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคที่ใช้ยิงระยะไกล หรือระยะไกล้อีกต่อไปแล้ว ก่อนจะล้ำยุคก้าวเข้าสู่สงครามอวกาศ และความมั่นคงทางอวกาศ ยังมีการใช้ โดรน (DRONE) หรืออากาศยานไร้คนขับ รูปร่างคล้ายกับเครื่องบินขนาดเล็ก สามารถขึ้น-ลงในแนวตั้งได้ จากเดิมใช้งานทางด้านการทหาร ต่อมาได้กพัฒนามาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น การนำโดรนมาติดกล้องเพื่อถ่ายภาพมุมสูง ตรวจสภาพจราจร เก็บข้อมูลภูมิศาสตร์ และอื่น ๆ "โดรน" หรือ Unmanned Aerial Vehicle: UAV กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการอากาศยาน มีการคาดการณ์ว่า โดรนอาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรบพุ่งทางอากาศ เนื่องจากสามารถลดความสูญเสียของกำลังพล ควบคุมระยะไกล และตั้งค่าระบบให้ขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ (Auto Pilot) ขณะที่ ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) นักรัฐศาสตร์อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ระบุว่า "การใช้โดรนกำลังปรับแปรธรรมชาติของอำนาจภาคพื้นดิน ดังนั้น จึงเป็นการบ่อนเซาะพลังอำนาจเชิงโครงสร้างไปในตัว" แม้การใช้โดรนจะมีข้อได้เปรียบ แต่ข้อเท็จจริง ทุกครั้งที่เกิดภาวะสงครามกลับถูกใช้งานน้อยมาก หากเปรียบกับการใช้ยุทธวิธีทางการรบด้วยการส่งทหารราบหรือ1️777 ผล บอลพลเดินเท้าเข้าประจำการในพื้นที่พร้อมฐานที่ตั้งอาวุธสงครามนานาชนิด หากย้อนรอยการสงครามตั้งแต่ปี 1849 พบว่า เมื่อครั้งจักรวรรดิออสเตรีย ทำสงครามกับสาธารณรัฐเวนิส ในขณะนั้นไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมไปได้ กองทัพเรือจึงได้ส่งบอลลูนผูกติดไว้กับระเบิด ปล่อยออกมาจากเรือบรรทุกเครื่องบิน เพื่อโจมตีทางอากาศ เนื่องจากบอลลูนทิ้งระเบิดมีอัตราแม่นยำและความสำเร็จต่ำ ดังนั้นได้เริ่มนำ "คลื่นวิทยุ" เข้ามาสั่งการการเคลื่อนไหวเพื่อกำหนดยุทธวิธีให้เป็นเนื้อเดียวกัน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ เมื่อปี 1917ของสหราชอาณาจักร ในปี 1936-1937 ราชนาวีสหรัฐฯ ได้พัฒนา "DH.82B Queen Bee" อากาศยานไร้คนขับที่สามารถคุมต้นทุนให้ราคาถูก และใช้งานเพื่อการต่อต้านอากาศยานเป็นครั้งแรก ด้วยชื่อเรียกที่ยาวเกินไป ทหารเรือจึงตั้งชื่อเล่นให้ว่า "โดรน" ซึ่งหมายถึง "ผึ้งตัวผู้" และใช้มาจนถึงปัจจุบัน การพัฒนาโดรนเพื่อนำมาใช้งานด้านต่าง ๆ จะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทำให้มีการจำกัดวงแคบ คือ ใช้เพื่อการฝึกทหารเท่านั้น โดยโดรนจะผลิตออกมาในรูปแบบเครื่องบินจำลอง ย่อขนาดลงมา แต่เครื่องยนต์ อากาศพลศาสตร์ หรือยุทธวิธี ยังคงเดิม เพื่อให้กำลังพลสามารถรับมือกับเหตุการณ์จริงได้ ช่วงสงครามยมกิปูร์ ที่อียิปต์และอิสราเอลรบกัน ในปี 1973 สหรัฐฯ ใช้งาน Ryan Firebee เพื่อรบกวนขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานของอียิปต์และซีเรีย กว่าจะใช้งานเป็นยุทธภัณฑ์อย่างจริงจัง ก็ล่วงมาถึงสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในช่วงปี 1990 ที่รัฐอิสลาม เห็นประโยชน์ฝในการใช้โดรนโจมตีมากกว่าการทำ "ญิฮาด" ผูกระเบิดแสวงเครื่องติดตัวและพาศัตรูตายไปพร้อมกัน จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องใช้ยุทธวิธีเดียวกันเพื่อตอบโต้ แม้โดรนจะมีข้อได้เปรียบ ในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของกำลังพลให้ไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายหรือตายฟรี รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทุ่นแรงการโจมตีทางอากาศ แต่การใช้งานโดรนก็ยังจำเป็นต้องประสานงานร่วมกับ "อัตรากำลัง" ทางทหารอยู่เสมอ งานวิจัย Why Drones Have Not Revolutionized War: The Enduring Hider-Finder Competition in Air Warfare ชี้ว่า ในสงคราม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ยุทธวิธี "Hider-Finder" หรือกลยุทธ์สงครามต้องมีทั้ง "บู๊" และ "บุ๋น" การบู๊ คือ ตรวจจับได้ว่า เป้าหมายหรือศัตรูจะตั้งรับหรือรุกคืบฝ่ายเรา จะใช้สรรพาวุธแบบใด หรือจะใช้กลศึกแบบใด ด้วยว่า เทคโนโลยีของโดรนในตอนนี้ ยังไม่สามารถที่จะตรวจจับและหลบหนีกได้ด้วยตนเอง ผลกระทบที่ตามมา คือ การระบุหรือประเมินกำลังศัตรูอย่างผิดพลาด ส่งผลให้โดรนตกเป็นเป้าหมายเสียเอง หรือไม่ก็ดำเนินการแบบ "โจ่งครึ่ม" ถูกสอยร่วงได้โดยง่าย และในทางกลับกัน ศัตรูจะสามารถแกะรอย ตามสืบ หรือดูดเทคโนโลยีจากการสอยโดรนของเราร่วงได้โดยง่าย เป็นการ "ยื่นดาบให้ศัตรู" อีกทอดหนึ่ง โดยงานวิจัยนี้ ยกตัวอย่าง 3 สงครามที่มีการนำโดรนมาใช้ในการรบพุ่ง คือ สงครามกลางเมืองลิเบีย, สงครามกลางเมืองซีเรียม, และสงครามนากอร์โน-การาบัค หรือสงครามอาร์เมเนีย-อาเซอร์ไบจาน ในสงครามกลางเมืองลิเบียและซีเรีย โดรนสามารถทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ เพราะใช้งานโดย "ฝ่ายรัฐบาล" ซึ่งมีสรรพกำลัง องค์ความรู้ หรือการวิจัยและพัฒนาโดรนที่มากกว่าฝ่ายต่อต้านอยู่เป็นทุนเดิม ในฐานะยุทธภัณฑ์สงครามแล้ว ถือว่าสอบตกอย่างมาก เพราะพันธกิจของการเป็นอาวุธ คือ การ "ทำให้เท่ากัน (Balancing)" ของทั้งสองฝ่าย เช่น การครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ ทำให้ต่างฝ่ายต่างยำเกรงกันและกัน แม้อีกฝ่ายจะมีกำลังเหนือกว่ามาก ส่วนสงครามนากอร์โน-การาบัคนั้น ฝ่ายอาเซอร์ไบจานไม่ได้มุ่งเน้นการป้องกันการโจมตีทางอากาศยาน แต่มีการใช้โดรนเพื่อต้องการสืบข่าวหรือล้วงความลับจากฝ่ายอาร์เมเนียเท่านั้น หรือก็คือ อาเซอร์ไบจานใช้โดรนเป็น "นกต่อ" เพื่อยั่วยุอาร์เมเนียให้งัดยุทโธปกรณ์ตอบโต้ระดับสูงมาใช้งาน ซึ่งวิธีการนี้เป็นเพียงการใช้โดรนในฐานะ "เครื่องมือเชิงกลยุทธ์" มากกว่าเป็นยุทธภัณฑ์ จากทั้งหมดทำให้เห็นได้ว่า ไม่มีสงครามใดเลยที่จะอาจหาญให้โดรนเป็นยุทธภัณฑ์ "หน้าด่าน" ในการรบพุ่งเพื่อเอาชนะ กลับกัน วิธีการทำสงครามแบบดั้งเดิม กลับเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น เพราะการเกณฑ์ทหารนั้น "ราคาถูก" กว่าการวิจัยและพัฒนาโดรนเป็นอย่างมาก เห็นได้จากอาเซอร์ไบจาน ที่ทุ่มงบประมาณด้านยุทธภัณฑ์ไปถึงหลัก 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับขอรับความช่วยเหลือด้านโดรนมาจากตุรกี ไม่มีการลงทุนเองแต่อย่างใดในการใช้ทำสงครามกับอาร์เมเนีย แม้ว่าคุณภาพของผู้ใช้ยุทโธปกรณ์จะเป็นตัวแปรสำคัญในการทำสงคราม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงไม่แพ้กัน คือ "การสร้างพันธมิตร" เพื่อเข้ามาช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ในสนามสัประยุทธ์ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีพละกำลังหรือศักยภาพในการเอาชนะน้อยกว่าอีกประเทศหนึ่ง แต่หากประเทศเหล่านี้รวมตัวกันมาก ๆ อาจเป็นที่ยำเกรงของฝ่ายที่เหนือกว่าได้ เช่น การรวมกลุ่ม NATO ที่ทำให้มหาอำนาจรัสเซียนั้นถึงกับไม่มั่นคงทางทหาร และต้องเตรียมงบประมาณ เพื่อการป้องกันประเทศในระดับสูงแทนที่จะนำไปพัฒนาด้านอื่น ๆ ที่ได้เปรียบกว่า เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีหรือเซมิคอนดักเตอร์ ประเด็นการใช้โดรนก็ไม่แตกต่างกัน ดังที่กล่าวถึงการรับความช่วยเหลือด้านอากาศยานไร้คนขับเพื่อการสงครามของอาเซอร์ไบจานมาจากตุรกี โดยที่ไม่ควักกระเป๋าวิจัยและพัฒนาด้วยตนเอง หรือกระทั่งสงครามกลางเมืองในตะวันออกกลางที่มีการใช้โดรน ส่วนมากแล้ว ก็เป็นสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทั้งสิ้น จากสถิติของ Vision of Humanity ระบุว่า โดรนสำหรับการโจมตีทางอากาศมีการกระจายสู่กลุ่มต้อต้าน โดยเพิ่มขึ้นในอัตรามากกว่า 2 เท่าในปี 2023 จากแต่เดิมที่อยู่ในมือรัฐ ซึ่งสหรัฐฯ ครอบครองมากที่สุดด้วยอัตราการจัดซื้อจำนวน 1,000 ในแต่ละปี (คาดการณ์จนถึงปี 2028) เหนือกว่า รัสเซีย หรือจีน ที่เป็นมหาอำนาจกว่า 15-20 เท่า หมายความว่า ประเทศที่ครอบครองโดรนจำนวนมาก ยังมีการผ่องถ่ายโดรนในฐานะ "ความช่วยเหลือทางทหาร" สร้างพันธมิตรและแนวร่วมในการสงคราม ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ถือเป็น "ของรางวัล" มากกว่าที่จะเป็นอาวุธเสียอีก ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ขนาดผู้ถือครองยังไม่ใช้ นำไปให้ประเทศอื่น ๆ ใช้ ต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อย ข้อมูลจาก MarketsAndMarkets พบว่า ปี 2024 มีอัตราการจัดซื้อโดรนทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 จากปี 2023 สอดคล้องกับ Statista ที่เสนอว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ในอัตราร้อยละ 13.5 ด้วยจำนวนเม็ดเงินสะพัดกว่า 540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทย มีการนำโดรนมาใช้ในการทหารครั้งแรกในปี 1988 โดยนำเข้า R4D SkyEye จำนวน 7 ลำที่กองบิน 4 ตาคลี เพื่อใช้ในสงครามร่มเกล้า แต่โดรนรุ่นนี้ประสิทธิภาพต่ำ ไม่เหมาะกับการสงคราม กองทัพไทยจึงไม่ได้ให้ความสำคัญอีกเลย นานกว่า 20 ปี ต่อมาในปี 2004 ที่กองทัพไทยเล็งเห็นความสำคัญของโดรน จากสงครามการสู้รบในต่างประเทศ จึงทำให้เกิดโครงการ วิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) ของกองทัพบก ตั้งแต่ ปี 2005 -2007 โดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม (สวพ.กห.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นผู้สนับสนุนโครงการด้วยงบประมาณกว่า 90 ล้านบาท ที่มา: Royal Thai Air Force ที่มา: Royal Thai Air Force ส่วนกองทัพเรือ มีโครงการวิจัยอากาศยานไร้นักบิน ขึ้นลงทางดิ่ง ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วม 4 ฝ่าย ระหว่าง กองทัพเรือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) บริษัทเสรีสรรพกิจ จำกัด และ บริษัทกษมาเฮลิคอปเตอร์ จำกัด เพื่อนำไปใช้กับเรือรบ เพิ่มขีดความสามารถในการตรวจการณ์ทางทะเล ข้อมูลจากสมุดปกขาวของกองทัพไทย ปี 2567 เปิดเผยยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน โดยให้ความสำคัญกับเรื่องโดรนเป็นลำดับต้น ๆ โดยมีทั้งหมด 9 โครงการสำคัญ ๆ เช่น ที่มา: Royal Thai Air Force ที่มา: Royal Thai Air Force สำหรับกองทัพอากาศไทย ที่เตรียมปรับเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพอากาศและอวกาศ รวมทั้งมีการเตรียมยกร่างแผนพ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางอากาศและอวกาศ...ก่อนหน้านี้ เคยมีการปล่อยดาวเทียมนภา 1 และนภา 2 พร้อมทั้งเตรียมปล่อย นภา 3 และ 4 ภายในปี 2568 นี้ ขณะที่ข้อมูลสมุดปกขาวกองทัพบก ปี 2567 ให้ความสำคัญในลักษณะ "เชิงรับ" โดยระบุไว้ในแนวทางเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพบก ข้อย่อย 4.2 ว่า "การเสริมสร้างขีดความสามารถในระบบการป้องกันภัยทางอากาศ : ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (อาวุธนำวิถี) ระบบป้องกันและต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti - Drone) ระบบควบคุมสั่งการอาวุธป้องกันภัยทางอากาศ ระบบเรดาร์แจ้งเตือน และอื่น ๆ ที่มา: Royal Thai Air Force ที่มา: Royal Thai Air Force หากมองด้านภารกิจและความมั่นคงของแต่ละกองทัพ แม้ใช้ปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เนื้อหาจากสมุดปกขาวกองทัพอากาศระบุชัดเพื่อให้มีความได้เปรียบในเชิงยุทธภัณฑ์ ขณะกองทัพบกเน้นใช้ในเชิงกลยุทธ์เพื่อการตั้งรับ จึงต้องจับตาว่า ท่ามกลางวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ไทยในฐานะประเทศเล็ก ๆ จะตั้งรับอย่างไร Why Drones Have Not Revolutionized War: The Enduring Hider-Finder Competition in Air Warfare, สมุดปกขาวกองทัพบก พ.ศ. ๒๕๖๗, สมุดปกขาว กองทัพอากาศ พ.ศ. ๒๕๖๗, ส.ท.ป., Vision of Humanity, MarketsAndMarkets, Statista อ่านข่าว กองทัพ ความมั่นคงอวกาศ-เศรษฐกิจอวกาศ ไทยไม่ตกเทรนด์โลก "จิตวิทยา AI" อัจฉริยะเทคโนโลยี จำลองตัวเอง "ที่ปรึกษา" วัยชรา “นิวเคลียร์” ขับเคลื่อน AI พัฒนาเทคโนโลยียั่งยืน "บนทางคู่ขนาน"
วันนี้ (11 ก.ค.2567) นายประกาศิต ระวิวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติผาแดง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2567