เตรียมยื่นขอประกันตัว 4 ตร.อยุธยา พัวพันค้ายาเสพติ

วันนี้ (4 ธ.ค.2567) น.ส.ทิวาพร ผาสุข รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ผู้มีสิทธิสามารถใช้สิทธิผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด
วันนี้ (8 เม.ย.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรณสิทธิ์ พฤกษยาชีวะ ประธานมูลนิธิรณสิทธิ์ ตัวแทนเครือข่ายต่อต้านการค้ามนุษย์ 13 องค์กร เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดี หรือ ดีเอส
นักวิชาการท้วงข้อมูลเวทีค.3 โรงไฟฟ้าเทพา ท่าเรือทำชายฝั่งกัดเซาะ-ก่อมลพิษสัตว์ทะเล นักวิชาการท้วงข้อมูลโรงไฟฟ้าเทพา ระบุหลายประเด็นส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น กรณีน้ำน้ำทะเลไปหล่อเย็น จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ส่วนการป้องกันเพรียงเกาะที่เสาท่าเรือน้ำลึก สารเคมีที่ใช้จะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่เลี้ยงในกระชังอย่างแน่นอน เหมือนกับโรงฟ้าจะนะ นักวิชาการท้วงข้อมูลเวทีค.3 โรงไฟฟ้าเทพา ท่าเรือทำชายฝั่งกัดเซาะ-ก่อมลพิษสัตว์ทะเล วันนี้ (28 ก.ค.2558) ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์คณะวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในเวทีรับฟังความเห็นเพื่อทบทวนร่างรายงานผลประทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพครั้งสุดท้าย (ค.3) โครงการท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ว่า ในการจัดเวทีตั้งแต่ค.1จนถึงค.3 ควรมีความรอบคอบมากกว่านี้ เช่น ควรมีค.0ก่อน เพื่อให้ความรู้กับประชาชน และเมื่อรับฟังความคิดเห็นในเวทีค.1แล้ว ในการจัดเวทีค.2 ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มย่อยก็ควรดำเนินการให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งขั้นตอนนี้ในเวทีที่เทพาจัดรวบรัดเกินไป เพราะใช้เวลาเพียง 9 เดือนก็จัดเวทีค.3 ทั้งๆ ที่ยังมีความขัดแย้งในพื้นที่อยู่ ขณะเดียวกันในเวทีค.3 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากเวทีค.1 สักเท่าไหร่ ดร.สมพรกล่าวว่า ในเวทีครั้งนี้ตนได้สอบถามในหลายประเด็นคือ 1.เรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะดูตามแผนที่ผู้จัดทำเขียนนั้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งแน่นอน โดยแนวกันคลื่นที่วางแผนที่ระบุว่า ใช้ดูดน้ำทะฝาก 5 รับ 10เลเพื่อหล่อเย็นนั้น จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นคือท่าเทียบเรือสงขลา 2.นักวิชาการที่ทำ HIA หรือ EHIA ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่กับชาวบ้านไปตลอด เมื่อทำเสร็จก็กลับไป ในอนาคตหากชาวบ้านมีปัญหาจะหันหน้าไปพึ่งใคร 3.การดูดน้ำถ้ามีการป้องกันเพรียงไม่ให้เกาะก็ต้องใช้สารเคมี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปลาในกระชัง ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาแล้วในโรงไฟฟ้าจะนะ 4.การปล่อยน้ำเย็นลงไปในทะเลจะส่งผลกระทบเป็นทอดๆ 5.ควรมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบว่าในอนาคตชาวบ้านยังจะมีความสุขอยู่หรือไม่ 7.ควรมีคณะกรรมการขึ้นมาติดตาม EIAและEHIA “การที่ผมตั้งคำถามต่างๆ ออกไป ไม่ได้หมายความว่า ผมยอมรับให้มีการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพา เพราะผมพูดเอาไว้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า เราควรมีทางเลือกอื่นอีก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ยิ่งโรงงานแห่งนี้ผลิตไฟฟ้าถึง 2,200 เมกะวัตต์ ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของเอเชีย ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” ดร.สมพร กล่าว ติดตามข่าวสารผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ไทยพีบีเอสออนไลน์ https://www.facebook.com/ThaiPBSNews?ref=hl วันนี้ (28 ก.ค.2558) ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์คณะวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในเวทีรับฟังความเห็นเพื่อทบทวนร่างรายงานผลประทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพครั้งสุดท้าย (ค.3) โครงการท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ว่า ในการจัดเวทีตั้งแต่ค.1จนถึงค.3 ควรมีความรอบคอบมากกว่านี้ เช่น ควรมีค.0ก่อน เพื่อให้ความรู้กับประชาชน และเมื่อรับฟังความคิดเห็นในเวทีค.1แล้ว ในการจัดเวทีค.2 ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มย่อยก็ควรดำเนินการให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งขั้นตอนนี้ในเวทีที่เทพาจัดรวบรัดเกินไป เพราะใช้เวลาเพียง 9 เดือนก็จัดเวทีค.3 ทั้งๆ ที่ยังมีความขัดแย้งในพื้นที่อยู่ ขณะเดียวกันในเวทีค.3 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากเวทีค.1 สักเท่าไหร่ ดร.สมพรกล่าวว่า ในเวทีครั้งนี้ตนได้สอบถามในหลายประเด็นคือ 1.เรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะดูตามแผนที่ผู้จัดทำเขียนนั้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งแน่นอน โดยแนวกันคลื่นที่วางแผนที่ระบุว่า ใช้ดูดน้ำทะเลเพื่อหล่อเย็นนั้น จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นคือท่าเทียบเรือสงขลา 2.นักวิชาการที่ทำ HIA หรือ EHIA ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่กับชาวบ้านไปตลอด เมื่อทำเสร็จก็กลับไป ในอนาคตหากชาวบ้านมีปัญหาจะหันหน้าไปพึ่งใคร 3.การดูดน้ำถ้ามีการป้องกันเพรียงไม่ให้เกาะก็ต้องใช้สารเคมี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปลาในกระชัง ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาแล้วในโรงไฟฟ้าจะนะ 4.การปล่อยน้ำเย็นลงไปในทะเลจะส่งผลกระทบเป็นทอดๆ 5.ควรมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบว่าในอนาคตชาวบ้านยังจะมีความสุขอยู่หรือไม่ 7.ควรมีคณะกรรมการขึ้นมาติดตาม EIAและEHIA “การที่ผมตั้งคำถามต่างๆ ออกไป ไม่ได้หมายความว่า ผมยอมรับให้มีการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพา เพราะผมพูดเอาไว้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า เราควรมีทางเลือกอื่นอีก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ยิ่งโรงงานแห่งนี้ผลิตไฟฟ้าถึง 2,200 เมกะวัตต์ ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของเอเชีย ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” ดร.สมพร กล่าว ติดตามข่าวสารผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ไทยพีบีเอสออนไลน์ https://www.facebook.com/ThaiPBSNews?ref=hl
สรุปตารางเหรียญ เอเชียนเกมส์ 2022 ล่าสุด ประจำวันอังคารที่ 3 ต.ค.2566 (อัปเดต 18.00 น.) อันดับ 1 จีน
ความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 หลังจากการดำเนินการล่าช้า ล่าสุดนายเกรียงไกร ไชยศิร
วันนี้ (17 ส.ค.2567) สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการ
นักวิชาการท้วงข้อมูลเวทีค.3 โรงไฟฟ้าเทพา ท่าเรือทำชายฝั่งกัดเซาะ-ก่อมลพิษสัตว์ทะเล นักวิชาการท้วงข้อมูลโรงไฟฟ้าเทพา ระบุหลายประเด็นส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น กรณีน้ำน้ำทะเลไปหล่อเย็น จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ส่วนการป้องกันเพรียงเกาะที่เสาท่าเรือน้ำลึก สารเคมีที่ใช้จะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่เลี้ยงในกระชังอย่างแน่นอน เหมือนกับโรงฟ้าจะนะ นักวิชาการท้วงข้อมูลเวทีค.3 โรงไฟฟ้าเทพา ท่าเรือทำชายฝั่งกัดเซาะ-ก่อมลพิษสัตว์ทะเล วันนี้ (28 ก.ค.2558) ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์คณะวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในเวทีรับฟังความเห็นเพื่อทบทวนร่างรายงานผลประทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพครั้งสุดท้าย (ค.3) โครงการท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ว่า ในการจัดเวทีตั้งแต่ค.1จนถึงค.3 ควรมีความรอบคอบมากกว่านี้ เช่น ควรมีค.0ก่อน เพื่อให้ความรู้กับประชาชน และเมื่อรับฟังความคิดเห็นในเวทีค.1แล้ว ในการจัดเวทีค.2 ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มย่อยก็ควรดำเนินการให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งขั้นตอนนี้ในเวทีที่เทพาจัดรวบรัดเกินไป เพราะใช้เวลาเพียง 9 เดือนก็จัดเวทีค.3 ทั้งๆ ที่ยังมีความขัดแย้งในพื้นที่อยู่ ขณะเดียวกันในเวทีค.3 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากเวทีค.1 สักเท่าไหร่ ดร.สมพรกล่าวว่า ในเวทีครั้งนี้ตนได้สอบถามในหลายประเด็นคือ 1.เรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะดูตามแผนที่ผู้จัดทำเขียนนั้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งแน่นอน โดยแนวกันคลื่นที่วางแผนที่ระบุว่า ใช้ดูดน้ำทะฝาก 5 รับ 10เลเพื่อหล่อเย็นนั้น จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นคือท่าเทียบเรือสงขลา 2.นักวิชาการที่ทำ HIA หรือ EHIA ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่กับชาวบ้านไปตลอด เมื่อทำเสร็จก็กลับไป ในอนาคตหากชาวบ้านมีปัญหาจะหันหน้าไปพึ่งใคร 3.การดูดน้ำถ้ามีการป้องกันเพรียงไม่ให้เกาะก็ต้องใช้สารเคมี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปลาในกระชัง ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาแล้วในโรงไฟฟ้าจะนะ 4.การปล่อยน้ำเย็นลงไปในทะเลจะส่งผลกระทบเป็นทอดๆ 5.ควรมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบว่าในอนาคตชาวบ้านยังจะมีความสุขอยู่หรือไม่ 7.ควรมีคณะกรรมการขึ้นมาติดตาม EIAและEHIA “การที่ผมตั้งคำถามต่างๆ ออกไป ไม่ได้หมายความว่า ผมยอมรับให้มีการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพา เพราะผมพูดเอาไว้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า เราควรมีทางเลือกอื่นอีก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ยิ่งโรงงานแห่งนี้ผลิตไฟฟ้าถึง 2,200 เมกะวัตต์ ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของเอเชีย ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” ดร.สมพร กล่าว ติดตามข่าวสารผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ไทยพีบีเอสออนไลน์ https://www.facebook.com/ThaiPBSNews?ref=hl วันนี้ (28 ก.ค.2558) ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์คณะวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในเวทีรับฟังความเห็นเพื่อทบทวนร่างรายงานผลประทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพครั้งสุดท้าย (ค.3) โครงการท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ว่า ในการจัดเวทีตั้งแต่ค.1จนถึงค.3 ควรมีความรอบคอบมากกว่านี้ เช่น ควรมีค.0ก่อน เพื่อให้ความรู้กับประชาชน และเมื่อรับฟังความคิดเห็นในเวทีค.1แล้ว ในการจัดเวทีค.2 ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มย่อยก็ควรดำเนินการให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งขั้นตอนนี้ในเวทีที่เทพาจัดรวบรัดเกินไป เพราะใช้เวลาเพียง 9 เดือนก็จัดเวทีค.3 ทั้งๆ ที่ยังมีความขัดแย้งในพื้นที่อยู่ ขณะเดียวกันในเวทีค.3 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากเวทีค.1 สักเท่าไหร่ ดร.สมพรกล่าวว่า ในเวทีครั้งนี้ตนได้สอบถามในหลายประเด็นคือ 1.เรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะดูตามแผนที่ผู้จัดทำเขียนนั้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งแน่นอน โดยแนวกันคลื่นที่วางแผนที่ระบุว่า ใช้ดูดน้ำทะเลเพื่อหล่อเย็นนั้น จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นคือท่าเทียบเรือสงขลา 2.นักวิชาการที่ทำ HIA หรือ EHIA ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่กับชาวบ้านไปตลอด เมื่อทำเสร็จก็กลับไป ในอนาคตหากชาวบ้านมีปัญหาจะหันหน้าไปพึ่งใคร 3.การดูดน้ำถ้ามีการป้องกันเพรียงไม่ให้เกาะก็ต้องใช้สารเคมี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปลาในกระชัง ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาแล้วในโรงไฟฟ้าจะนะ 4.การปล่อยน้ำเย็นลงไปในทะเลจะส่งผลกระทบเป็นทอดๆ 5.ควรมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบว่าในอนาคตชาวบ้านยังจะมีความสุขอยู่หรือไม่ 7.ควรมีคณะกรรมการขึ้นมาติดตาม EIAและEHIA “การที่ผมตั้งคำถามต่างๆ ออกไป ไม่ได้หมายความว่า ผมยอมรับให้มีการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพา เพราะผมพูดเอาไว้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า เราควรมีทางเลือกอื่นอีก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ยิ่งโรงงานแห่งนี้ผลิตไฟฟ้าถึง 2,200 เมกะวัตต์ ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของเอเชีย ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” ดร.สมพร กล่าว ติดตามข่าวสารผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ไทยพีบีเอสออนไลน์ https://www.facebook.com/ThaiPBSNews?ref=hl
นักวิชาการท้วงข้อมูลเวทีค.3 โรงไฟฟ้าเทพา ท่าเรือทำชายฝั่งกัดเซาะ-ก่อมลพิษสัตว์ทะเล นักวิชาการท้วงข้อ