วันนี้ (29 เม.ย.2567) นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเ
กรณีโลกออนไลน์พบออร์ฟิช (oarfish) ปลาทะเลน้ำลึกที่ระบุว่าจับได้แถวทะเล จ.สตูล สร้างความฮือฮาในวงการผู้เชี่ยวชาญด้านปลา และถือเป็นรายงานอย่างเป็นทางการแรกในประเทศไทย แม้จะยังเป็นปริศนาว่า ออร์ฟิช ความย
นักวิชาการชี้แผนพัฒนาภาคใต้หนุนทุนใหญ่ จวกกฟผ.หมกเม็ดข้อมูลพลังงานสำรอง นักวิชาการชี้แผนพัฒนาภาคใต้ส่งเสริมทุนใหญ่ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพลังงานโลก เชื่อแผนผลิตไฟฟ้า ปี 2558 ใช้ไม่เกิน 3 ปี จวกกฟผ.หมกเม็ดข้อมูลพลังงานสำรอง ด้านตัวแทนชาวบ้าน คาด เวที ค.3 โรงไฟฟ้า-ท่าเรือ เทพา ซ้ำรอย ค.1 เชื่อมีความเหลื่อมล้ำในการแสดงความเห็น นักวิชาการชี้แผนพัฒนาภาคใต้หนุนทุนใหญ่ จวกกฟผ.หมกเม็ดข้อมูลพลังงานสำรอง เมื่อวานนี้ (6 ก.ค.2558) ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเสวนาหัวข้อ “ขึงพืดการพัฒนาภาคใต้ ประเคนทรัพยากรละเลงลงทุน” โดยเชิญฝ่ายวิชาการ และภาคประชาชน จากพื้นที่เข้าร่วมเสวนา ดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าหลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ขณะนี้วิกฤติอุตสาหกรรมภาคใต้กำลังเดินหน้าอย่างน่ากลัว ภายใต้กรอบเป้าหมายเพื่อการสร้างแหล่งพลังงานโลก โดยเริ่มแรกเป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา และประเทศญี่ปุ่น ต่อมาธนาคารใหญ่อย่าง ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ก็เข้ามาร่วมมือกับสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อจัดทำแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้ เน้นที่ระบบอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เคมี และท่อก๊าซ โดยมีโครงการที่เร่งผลักดันในปัจจุบัน คือ กรณีท่าเรือ และโรงไฟฟ้าได้แก่ โรงไฟฟ้าเทพา โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เป็นต้น ซึ่งในรัฐบาลยุคนี้ถืออำนาจการตัดสินใจมีความเด็ดขาดกว่ารัฐบาลทั่วไป โดยแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เป็นแผนพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม นับตั้งแต่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ ท่าเรือน้ำลึก เช่นเดียวกับ จ.นครศรีธรรมราช ที่จะเดินตามแผนแล้วพ่วงด้วยโครงการสะพานเศรษฐกิจ เพื่อสร้างฐานขุดเจาะน้ำมันของบริษัทปิโตรเลียม ขนาดใหญ่ ส่วนทางฝั่งอ่าวไทย จะมีการวางทุ่นขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลและก่อสร้างคลังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่ที่จ.สงขลา ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนทั้งภาค โดยใช้ภาคธุรกิจกดดัน และอาจเป็นไปได้ว่ายุคนี้เป็นยุคคืนชีพของอุตสาหกรรมหนัก ทั้งเหล็ก แร่ ปิโตรเลียม ที่เคยทำให้ภาคใต้ตอนบนประสบกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม ด้านนายสันติ โชคชัยชำนาญกิจ นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน กล่าวว่า หลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ผ่านความเห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2558-2579 หรือ แผนพีดีพี 2015 เรียบร้อยแล้ว ทางทีมวิชาการได้วิเคราะห์แผนดังกล่าวพบว่า ข้อมูลของแผนเปิดเผยต่อสาธารณะเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยภาพรวมของแผน พีดีพี นั้นมีความล้าหลังและยังสร้างภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวนับหลายแสนล้านบาท ที่ประชาชนต้องแบกรับโดยไม่จำเป็น เนื่องจากการลงทุนโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นการเซ็นสัญญาล่วงหน้านับสิบปี “ผมกล้าพูดได้ว่า แผนพีดีพี ปี 2015 นี้ เป็นแผนที่อัปลักษณ์ที่สุด เพราะในแผนฉบับนี้เต็มไปด้วยคำถาม ที่ กฟผ. คงไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมาตอบกับประชาชนได้ เช่น กรณี ตัวเลขกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในแผนฯ สูงกว่าเกณฑ์กำหนดไปมากกว่า 2 เท่าตัวในระยะ 10 ปีแรกของแผน (พ.ศ.2558-2568) ทั้งนี้ ยังไม่ได้นับรวมกำลังผลิตที่ “ไม่พร้อมใช้งาน” อีก 7,000-9,800 เมกะวัตต์ในระยะดังกล่าว ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังผลิตไฟฟ้าที่ป้อนให้กับภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสานรวมกัน โดยกฟผ.อธิบายว่า เป็นผลของการประหยัดพลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานที่เพิ่มจาก 20 เปอร์เซนต์ เป็น 100 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับแผนเดิม ซึ่งส่วนตัวกล้าการันตีว่า แผนใหม่นี้ใช้ได้จริงไม่เกิน 3 ปี จะต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ซึ่งหากโรงไฟฟ้าเกิดขึ้นในระหว่างแผนฉบับบนี้ ก็จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานในที่สุด หรือใช้งานแต่ในปริมาณที่ไม่มาก” นายสันติกล่าว นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงานกล่าวต่อว่า โรงไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากแผนเดิมในระหว่างปี 2558-2568 มีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 เมกกะวัตต์ เทียบเท่ากับ 2 เท่าของกำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่ป้อนภาคใต้ทั้งภาค หากโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่มีภาระผูกพันจริง นั่นหมายความว่าโครงการเหล่านี้มีการสร้าง “ภาระผูกพัน” ก่อนที่จะมีการจัดทำแผนพีดีพี 2015 อย่างไรก็ตามกรณีถ่านหินกระบี่ และเทพา จ.สงขลา นั้น มีกำลังผลิตร่วม อยู่ที่ 2,800 เมกะวัตต์ เป็นโครงการภายใต้การดำเนินการของ กฟผ.เองไม่ใช่ของบริษัทเอกชน ดังนั้นจึงไม่ต้องมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่จะเป็นภาระผูกพันแต่อย่าง ซึ่งหากมันไม่มีปรโยชน์และมีข้อมูลประจักษ์แจ้งจากภาคประชาชน แล้วกฟผ.ก็สามารถยกเลิก หรือเลื่อนการพัฒนาโรงไฟฟ้าไปได้อีกยาว เพราะในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ ระบบไฟฟ้าของประเทศไทย มีกำลังผลิตสำรองอยู่แล้ว จะช่วยให้ไทยไม่ต้องมีโรงไฟฟ้าส่วนเกินจำนวนกว่า 5,000 เมกะวัตต์ “จากปีนี้ถึง ปี 2579 เราจะพบว่า ไฟฟ้าในระบบนั้นเกินมาตรฐานมาโดยตลอดจากเดิมเรากำหนดสำรองแค่ 15 เปอร์เซ็น แต่ปัจจุบันเรามีสูงถึง 30-40 เปอร์เซ็น แต่ปรากฎว่า ไทยยังมีวิกฤติไฟฟ้า นั่นไม่ใช่เพราะโรงไฟฟ้าไม่พอ แต่เป็นความไร้ระเบียบของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ทำหน้าที่บริหารไฟฟ้า ทั้ง กฟผ.และ บริษัท ปตท. ซึ่งผูกขาดทางพลังงาน ผมจึงกล้าฟันธงได้เลยว่า โรงไฟฟ้ากระบี่และเทพา ไม่ต้องมีก็ได้ ภาคใต้ไม้เผชิญวิกฤติแน่นอน นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คนไทยควรรู้อีกประเด็น คือ ธุรกิจถ่านหินเป็นนโยบายระยะยาวที่เน้นขยายการขายให้ได้ 70 ล้านตันต่อปีในอีก 5 ปี ข้างหน้า โดยการดำเนินธุรกิจของ บริษัท ปตท. ที่ต้องการติด 1 ใน 5ของบริษัทเอเชีย ในการทำธุรกิจ ดังนั้นจึงมีความพยายามในการผลักดันโคงการ” นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน กล่าว ขณะที่ นายธีรพจน์ กษิรวัฒน์ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน กล่าวว่า กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น จากการทำวิจัยเชิงคุณภาพที่ดำเนินการโดยภาคธุรกิจการท่องเที่ยว นั้นมีการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและในไทย พบว่า นักท่องเที่ยวประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน และมองว่าวิกฤติขยะจากการท่องเที่ยวเองก็ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วน อาทิ ประเทศแถบสแกนดิเนเวียร์ปฏิเสธการเที่ยวแล้ว ดังนั้นหากเกิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน เชื่อว่ากระบี่และพื้นที่ทะเลอันดามันวิกฤติหนักแน่นอน ทางเครือข่ายจึงต้องเร่งรณรงค์คัดค้านต่อไป นายดิเรก เหมนคร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนพัฒนาเมืองเทพา จ.สงขลา กล่าวว่า กรณีการพัฒนาโรงไฟฟ้าเทพา เป็นการฉกฉวยโอกาสของรัฐบาล ที่ทำให้คนเทพา ต้องทำใจเพราะที่ผ่านมาเวทีประชุมชี้แจงโครงการและรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 ( ค.1) ประชาชนหลั่งไหลเข้าไปคัดค้าน แต่รูปแบบการจัดเวที ก็ยังไม่เอื้อต่อกาแพนด้า คา สิ โนรนำเสนอข้อมูลภาคประชาชน ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็เฝ้าสถานการณ์ต่อเนื่อง ประชาชนมีเวลาในการแสดงความคิดเห็นน้อย แม้จะมีข่าวความเคลื่อนไหวของประชาชนมาโดยตลอด แต่กลับพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลก็ยังเดินหน้าดำเนินการต่อ จนมาถึงเวที ค.3 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 ก.ค.2558 นี้ ซึ่งทางเครือข่ายเชื่อว่า จะเป็นไปไม่ต่างกับเวที ค.2 และ ค.1 โดยขณะนี้ชาวบ้านพยายามหาระเบียบของการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอยู่ เพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์และจะหารือเครือข่ายภาคี ก่อนการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ และมีเงื่อนไขในการเข้าร่วมอย่างไรบ้าง แต่ที่ผ่านมาสังคมรับรู้แล้วว่า เวทีของภาครัฐมีความเหลื่อมล้ำในการออกเสียงและแสดงความเห็นแม้แต่ประเด็นสาธารณะที่คนได้รับผลกระทบจำนวนมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ การจัดเวทีค. 3 จะจัดขึ้น ณ องค์การบริหารส่วนตำบลปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา โดยวันที่ 27 ก.ค. เป็นกรณีการรับฟังความคิดเห็นโรงไฟฟ้า และวันที่ 28 กรกฎาคม เป็นกรณีท่าเทียบเรือ ขณะที่ภาคประชาชนกลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้เชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมแสดงเชิงสัญลักษณ์ ปกป้องอันดามัน และต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการ เมื่อวานนี้ (6 ก.ค.2558) ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเสวนาหัวข้อ “ขึงพืดการพัฒนาภาคใต้ ประเคนทรัพยากรละเลงลงทุน” โดยเชิญฝ่ายวิชาการ และภาคประชาชน จากพื้นที่เข้าร่วมเสวนา ดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าหลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ขณะนี้วิกฤติอุตสาหกรรมภาคใต้กำลังเดินหน้าอย่างน่ากลัว ภายใต้กรอบเป้าหมายเพื่อการสร้างแหล่งพลังงานโลก โดยเริ่มแรกเป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา และประเทศญี่ปุ่น ต่อมาธนาคารใหญ่อย่าง ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ก็เข้ามาร่วมมือกับสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อจัดทำแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้ เน้นที่ระบบอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เคมี และท่อก๊าซ โดยมีโครงการที่เร่งผลักดันในปัจจุบัน คือ กรณีท่าเรือ และโรงไฟฟ้าได้แก่ โรงไฟฟ้าเทพา โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เป็นต้น ซึ่งในรัฐบาลยุคนี้ถืออำนาจการตัดสินใจมีความเด็ดขาดกว่ารัฐบาลทั่วไป โดยแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เป็นแผนพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม นับตั้งแต่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ ท่าเรือน้ำลึก เช่นเดียวกับ จ.นครศรีธรรมราช ที่จะเดินตามแผนแล้วพ่วงด้วยโครงการสะพานเศรษฐกิจ เพื่อสร้างฐานขุดเจาะน้ำมันของบริษัทปิโตรเลียม ขนาดใหญ่ ส่วนทางฝั่งอ่าวไทย จะมีการวางทุ่นขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลและก่อสร้างคลังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่ที่จ.สงขลา ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนทั้งภาค โดยใช้ภาคธุรกิจกดดัน และอาจเป็นไปได้ว่ายุคนี้เป็นยุคคืนชีพของอุตสาหกรรมหนัก ทั้งเหล็ก แร่ ปิโตรเลียม ที่เคยทำให้ภาคใต้ตอนบนประสบกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม ด้านนายสันติ โชคชัยชำนาญกิจ นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน กล่าวว่า หลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ผ่านความเห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2558-2579 หรือ แผนพีดีพี 2015 เรียบร้อยแล้ว ทางทีมวิชาการได้วิเคราะห์แผนดังกล่าวพบว่า ข้อมูลของแผนเปิดเผยต่อสาธารณะเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยภาพรวมของแผน พีดีพี นั้นมีความล้าหลังและยังสร้างภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวนับหลายแสนล้านบาท ที่ประชาชนต้องแบกรับโดยไม่จำเป็น เนื่องจากการลงทุนโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นการเซ็นสัญญาล่วงหน้านับสิบปี “ผมกล้าพูดได้ว่า แผนพีดีพี ปี 2015 นี้ เป็นแผนที่อัปลักษณ์ที่สุด เพราะในแผนฉบับนี้เต็มไปด้วยคำถาม ที่ กฟผ. คงไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมาตอบกับประชาชนได้ เช่น กรณี ตัวเลขกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในแผนฯ สูงกว่าเกณฑ์กำหนดไปมากกว่า 2 เท่าตัวในระยะ 10 ปีแรกของแผน (พ.ศ.2558-2568) ทั้งนี้ ยังไม่ได้นับรวมกำลังผลิตที่ “ไม่พร้อมใช้งาน” อีก 7,000-9,800 เมกะวัตต์ในระยะดังกล่าว ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังผลิตไฟฟ้าที่ป้อนให้กับภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสานรวมกัน โดยกฟผ.อธิบายว่า เป็นผลของการประหยัดพลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานที่เพิ่มจาก 20 เปอร์เซนต์ เป็น 100 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับแผนเดิม ซึ่งส่วนตัวกล้าการันตีว่า แผนใหม่นี้ใช้ได้จริงไม่เกิน 3 ปี จะต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ซึ่งหากโรงไฟฟ้าเกิดขึ้นในระหว่างแผนฉบับบนี้ ก็จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานในที่สุด หรือใช้งานแต่ในปริมาณที่ไม่มาก” นายสันติกล่าว นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงานกล่าวต่อว่า โรงไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากแผนเดิมในระหว่างปี 2558-2568 มีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 เมกกะวัตต์ เทียบเท่ากับ 2 เท่าของกำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่ป้อนภาคใต้ทั้งภาค หากโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่มีภาระผูกพันจริง นั่นหมายความว่าโครงการเหล่านี้มีการสร้าง “ภาระผูกพัน” ก่อนที่จะมีการจัดทำแผนพีดีพี 2015 อย่างไรก็ตามกรณีถ่านหินกระบี่ และเทพา จ.สงขลา นั้น มีกำลังผลิตร่วม อยู่ที่ 2,800 เมกะวัตต์ เป็นโครงการภายใต้การดำเนินการของ กฟผ.เองไม่ใช่ของบริษัทเอกชน ดังนั้นจึงไม่ต้องมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่จะเป็นภาระผูกพันแต่อย่าง ซึ่งหากมันไม่มีปรโยชน์และมีข้อมูลประจักษ์แจ้งจากภาคประชาชน แล้วกฟผ.ก็สามารถยกเลิก หรือเลื่อนการพัฒนาโรงไฟฟ้าไปได้อีกยาว เพราะในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ ระบบไฟฟ้าของประเทศไทย มีกำลังผลิตสำรองอยู่แล้ว จะช่วยให้ไทยไม่ต้องมีโรงไฟฟ้าส่วนเกินจำนวนกว่า 5,000 เมกะวัตต์ “จากปีนี้ถึง ปี 2579 เราจะพบว่า ไฟฟ้าในระบบนั้นเกินมาตรฐานมาโดยตลอดจากเดิมเรากำหนดสำรองแค่ 15 เปอร์เซ็น แต่ปัจจุบันเรามีสูงถึง 30-40 เปอร์เซ็น แต่ปรากฎว่า ไทยยังมีวิกฤติไฟฟ้า นั่นไม่ใช่เพราะโรงไฟฟ้าไม่พอ แต่เป็นความไร้ระเบียบของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ทำหน้าที่บริหารไฟฟ้า ทั้ง กฟผ.และ บริษัท ปตท. ซึ่งผูกขาดทางพลังงาน ผมจึงกล้าฟันธงได้เลยว่า โรงไฟฟ้ากระบี่และเทพา ไม่ต้องมีก็ได้ ภาคใต้ไม้เผชิญวิกฤติแน่นอน นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คนไทยควรรู้อีกประเด็น คือ ธุรกิจถ่านหินเป็นนโยบายระยะยาวที่เน้นขยายการขายให้ได้ 70 ล้านตันต่อปีในอีก 5 ปี ข้างหน้า โดยการดำเนินธุรกิจของ บริษัท ปตท. ที่ต้องการติด 1 ใน 5ของบริษัทเอเชีย ในการทำธุรกิจ ดังนั้นจึงมีความพยายามในการผลักดันโคงการ” นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน กล่าว ขณะที่ นายธีรพจน์ กษิรวัฒน์ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน กล่าวว่า กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น จากการทำวิจัยเชิงคุณภาพที่ดำเนินการโดยภาคธุรกิจการท่องเที่ยว นั้นมีการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและในไทย พบว่า นักท่องเที่ยวประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน และมองว่าวิกฤติขยะจากการท่องเที่ยวเองก็ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วน อาทิ ประเทศแถบสแกนดิเนเวียร์ปฏิเสธการเที่ยวแล้ว ดังนั้นหากเกิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน เชื่อว่ากระบี่และพื้นที่ทะเลอันดามันวิกฤติหนักแน่นอน ทางเครือข่ายจึงต้องเร่งรณรงค์คัดค้านต่อไป นายดิเรก เหมนคร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนพัฒนาเมืองเทพา จ.สงขลา กล่าวว่า กรณีการพัฒนาโรงไฟฟ้าเทพา เป็นการฉกฉวยโอกาสของรัฐบาล ที่ทำให้คนเทพา ต้องทำใจเพราะที่ผ่านมาเวทีประชุมชี้แจงโครงการและรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 ( ค.1) ประชาชนหลั่งไหลเข้าไปคัดค้าน แต่รูปแบบการจัดเวที ก็ยังไม่เอื้อต่อการนำเสนอข้อมูลภาคประชาชน ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็เฝ้าสถานการณ์ต่อเนื่อง ประชาชนมีเวลาในการแสดงความคิดเห็นน้อย แม้จะมีข่าวความเคลื่อนไหวของประชาชนมาโดยตลอด แต่กลับพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลก็ยังเดินหน้าดำเนินการต่อ จนมาถึงเวที ค.3 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 ก.ค.2558 นี้ ซึ่งทางเครือข่ายเชื่อว่า จะเป็นไปไม่ต่างกับเวที ค.2 และ ค.1 โดยขณะนี้ชาวบ้านพยายามหาระเบียบของการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอยู่ เพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์และจะหารือเครือข่ายภาคี ก่อนการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ และมีเงื่อนไขในการเข้าร่วมอย่างไรบ้าง แต่ที่ผ่านมาสังคมรับรู้แล้วว่า เวทีของภาครัฐมีความเหลื่อมล้ำในการออกเสียงและแสดงความเห็นแม้แต่ประเด็นสาธารณะที่คนได้รับผลกระทบจำนวนมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ การจัดเวทีค. 3 จะจัดขึ้น ณ องค์การบริหารส่วนตำบลปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา โดยวันที่ 27 ก.ค. เป็นกรณีการรับฟังความคิดเห็นโรงไฟฟ้า และวันที่ 28 กรกฎาคม เป็นกรณีท่าเทียบเรือ ขณะที่ภาคประชาชนกลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้เชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมแสดงเชิงสัญลักษณ์ ปกป้องอันดามัน และต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการ
นักวิชาการชี้แผนพัฒนาภาคใต้หนุนทุนใหญ่ จวกกฟผ.หมกเม็ดข้อมูลพลังงานสำรอง นักวิชาการชี้แผนพัฒนาภาคใต้ส่งเสริมทุนใหญ่ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพลังงานโลก เชื่อแผนผลิตไฟฟ้า ปี 2558 ใช้ไม่เกิน 3 ปี จวกกฟผ.หมกเ