วันนี้ (30 ก.ย.2567) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 winner55 มือ ถือ
วันนี้ (20 มี.ค.2567) กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งย้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ให้ไปช่วยราชการที่สำนักงานปลัดส
การโจมตีเริ่มต้นในค่ำคืนวันที่ 7 ต.ค.2566 โดยกลุ่มฮามาส ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ฮามาสเปิดฉากด้วยการยิงจรวดหลายพันลูกเข้าไปในอิสราเอล รวมถึงการบุกผ่านพรมแดนไปยังหลายเมืองในอิสราเอล การโจมตีนี้ไม่เพียงแต่สังหารพลเรือนกว่า 1,400 คนในขณะนั้นในทันที อีกทั้งยังจับตัวประกันประมาณ 250 คน แต่ยังสร้างความตกใจทั่วโลก เนื่องจากฮามาสสามารถบุกเข้าไปได้อย่างรวดเร็วและกระจายวงกว้างเกินคาด เหตุการณ์นี้จุดชนวนให้รัฐบาลอิสราเอลประกาศ "ภาวะสงคราม" เกิดการตอบโต้ทางทหารอย่างรุนแรง การปะทะครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นผลสะสมจากความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ยืดเยื้อยาวนานและความล้มเหลวในการหาทางออกทางการทูตที่ยั่งยืนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการโจมตีกลับกลุ่มฮามาสทันที โดย เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล สั่งเปิดปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่รวมทั้งการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วงเพื่อทำลายฐานที่มั่นของฮามาส ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พลเรือนในกาซา การโจมตีเหล่านี้มีเป้าหมายหลักในการทำลายอุโมงค์ใต้ดิน คลังอาวุธ และเครือข่ายการสื่อสารของฮามาส อิสราเอลระบุว่า การโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน ต้องการล้างบางกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก แต่ขณะเดียวกัน การโจมตีก็ทำให้ประชาชนพลเรือนในกาซาได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก มีระเบิดในเขตที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียบ้านเรือนและมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นwinner55 มือ ถือ ก็มีการประณามจากนานาชาติถึงผลกระทบต่อชีวิตของพลเรือนในกาซาที่เป็นผลจากการโจมตีทางทหารของอิสราเอลครั้งนี้ ความล้มเหลวที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้เปิดทางไปสู่ความรุนแรงของภูมิภาคที่ดูจะไม่มีวันสิ้นสุดในกาซา ครบรอบ 1 ปีมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 41,500 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กมากกว่า 16,000 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 100,000 คน และมีผู้สูญหายที่คาดว่าเสียชีวิตใต้ซากปรักหักพังมากกว่า 10,000 คน ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในกาซา ผู้คนราว 1,900,000 คน หรือร้อยละ 90 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือนของตนเองและผู้คนอีกเกือบครึ่งล้านคน ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของกาซา เช่น ที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจ ที่ดินทำกิน และกองเรือประมงส่วนใหญ่ถูกทำลายจนสูญสิ้น สงครามในกาซาทั้งการโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน ทำให้ระบบสาธารณสุขได้รับความเสียหายอย่างหนัก โรงพยาบาลทั้งหมด 36 แห่งในกาซา เหลือเพียง 17 แห่งเท่านั้น ที่ยังพอให้บริการคนไข้ได้บ้าง นอกจากความเสียหายของโรงพยาบาลแล้ว กาซายังเผชิญกับภาวะขาดแคลนยา เวชภัณฑ์ น้ำสะอาด และ อาหาร ทำให้สุขภาพของประชาชนย่ำแย่ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก มีความเสี่ยงสูงต่อโรคระบาดและภาวะขาดสารอาหาร การขาดแคลนน้ำและการอพยพผู้คนไปยังพื้นที่ที่มีความแออัด ยังทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น อหิวาตกโรค และ โรคทางเดินอาหาร สถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ ยังสร้างภาระหนักให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เหลืออยู่ ซึ่งต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากอีกด้วย การปิดล้อมของอิสราเอล ทำให้นานาประเทศส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังกาซายากลำบาก เส้นทางการขนส่งอาหาร น้ำ และ ยารักษาโรคถูกจำกัด ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่ถูกปิดล้อมหรือโดนโจมตีอย่างหนัก ความขาดแคลนดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลพิเศษ ขณะเดียวกัน สหประชาชาติได้พยายามเรียกร้องให้อิสราเอลผ่อนปรนการปิดล้อม เพื่อเปิดทางสำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าการเรียกร้องนั้นเป็นผลสักเท่าไหร่นัก การจับตัวประกันถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การต่อสู้ของฮามาสในการสร้างแรงกดดันต่ออิสราเอล ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีทางทหารในฉนวนกาซา ส่งผลให้นานาประเทศเสนอตัวเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางปล่อยตัวประกันเหล่านี้ รายงานระบุว่า "กาตาร์ และ อียิปต์" เสนอตัวเป็นผู้ประสานงานให้ทั้งอิสราเอลและฮามาส โดยมีบทบาทเป็นตัวกลางสำคัญในการเจรจาเงื่อนไขการปล่อยตัวประกัน แต่การเจรจาหลายครั้งประสบปัญหา เนื่องจากความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่และความตึงเครียดที่สูงขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนี้ ยังมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและสภากาชาดสากล (ICRC) เข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของตัวประกันและช่วยเหลือในการเจรจาอีกด้วย ความสำเร็จในการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ย.2566 หรือ เกือบ 1 เดือนหลังการโจมตี ซึ่งนับเป็นการปล่อยตัวประกันเพียงครั้งเดียวที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปีแห่งสงครามครั้งนี้ ฮามาสยอมปล่อยตัวประกันจำนวน 110 คน แลกกับเชลยศึกชาวปาเลสไตน์ 240 คน และอิสราเอลก็ยอมผ่อนปรนให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้าไปในกาซาเป็นการชั่วคราว นานาชาติเข้ามามีบทบาทในการพยายามระงับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อียิปต์และกาตาร์ เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปิดการเจรจาสันติภาพ แต่ความพยายามเหล่านี้กลับล้มเหลว เพราะความไม่ไว้วางใจระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายยังคงอยู่ และทั้งสองต่างยืนกรานในเงื่อนไขของตนเอง ด้านความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม องค์กรช่วยเหลือระหว่างประเทศ เช่น Médecins Sans Frontières (MSF) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ (UNRWA) กลับต้องเผชิญอุปสรรคสำคัญในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา เพราะสถานการณ์การสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้การเข้าถึงพื้นที่เพื่อส่งมอบเวชภัณฑ์และความช่วยเหลืออื่น ๆ เป็นไปได้ยาก ผลกระทบทางจิตใจของประชาชนที่เผชิญสงครามในกาซานั้นเป็นปัญหารุนแรง โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ ทั้งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การทำลายล้างบ้านเรือน และความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญทางจิตจาก Médecins Sans Frontières (MSF) รายงานว่า มีความต้องการนักบำบัดอย่างเร่งด่วน เด็กหลายคนในกาซามีอาการเครียดเรื้อรัง (PTSD) และมีปัญหาด้านการนอนหลับ เพราะกลัวสงครามตลอดเวลา แทบทุกคนต้องเผชิญกับเสียงระเบิดและเห็นภาพการทำลายล้างทุกวัน ความเสียหายทางจิตใจนี้คาดว่าจะยังคงมีผลต่อเนื่องยาวนาน แม้ความขัดแย้งสิ้นสุดลง แต่ความทุกข์ทรมานจะสะสมเพิ่มเรื่อย ๆ สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสมีผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างกว้างขวางในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจ เช่น อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศอาหรับ "สหรัฐฯ" ให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ ในการป้องกันตนเองจากการโจมตีของฮามาส แต่ขณะเดียวกัน ก็เรียกร้องให้มีการปกป้องชีวิตพลเรือน "อิหร่าน" ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮามาส ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าอาจมีบทบาทในการสนับสนุนด้านอาวุธและทรัพยากรให้กับฮามาส ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับ เช่น ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ก็อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในปัจจุบัน ทำให้การเจรจาสันติภาพในภูมิภาคนี้ยากขึ้น ไม่มีใครที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส จะสิ้นสุดเมื่อใด ดูตามปัจจัยหลายข้อจากสถานการณ์ความรุนแรงระดับภูมิภาคนี้ ความขัดแย้งนี้มีรากฐานจากความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ในภูมิภาค การเจรจาสันติภาพในอดีตก็มักล้มเหลวเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน ส่วนองค์กรระหว่างประเทศและประเทศที่มีอำนาจ ก็ได้พยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา แต่การเจรจาเหล่านี้มักเผชิญกับความล้มเหลวเนื่องจากข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกัน เช่น ฮามาสเรียกร้องให้มีการยุติการปิดล้อมกาซา ขณะที่อิสราเอลยืนกรานว่าต้องมีการหยุดการโจมตีจากฮามาสอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน ความรุนแรงทางทหารก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ครบ 1 ปีแล้ว ความหวังในการยุติสงครามในระยะเวลาอันใกล้ ดูเหมือนจะยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับการเจรจาเพื่อ "สันติภาพ" ในภูมิภาคและชะตากรรมของคนนับล้านในกาซาได้ตอนไหน อ่านข่าวอื่น : 1 ปีแห่งสงครามอิสราเอล-ฮามาส ทั่วโลกเรียกร้องยุติความรุนแรง ระเบิดใกล้สนามบินปากีสถาน ทางการชี้โจมตีพุ่งเป้าชาวต่างชาติ
วันนี้ (11 ส.ค.2565) สำหรับกรณีที่การประชุมรัฐสภาล่ม 3 ครั้งติดตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. วันที่ 3 ส.ค. แ
winner55 มือ ถือ -powerbet365แทง บา คา ร่า ออนไลน์, ตาราง บอล ฟีฟ่าM98ดู ทีวี ออนไลน์ ช่อง ลิเวอร์พูล, เล่นพนัน
วันนี้ (30 ก.ย.2567) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 winner55 มือ ถือ
วันนี้ (20 มี.ค.2567) กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งย้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ให้ไปช่วยราชการที่สำนักงานปลัดส
การโจมตีเริ่มต้นในค่ำคืนวันที่ 7 ต.ค.2566 โดยกลุ่มฮามาส ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ฮามาสเปิดฉากด้วยการยิงจรวดหลายพันลูกเข้าไปในอิสราเอล รวมถึงการบุกผ่านพรมแดนไปยังหลายเมืองในอิสราเอล การโจมตีนี้ไม่เพียงแต่สังหารพลเรือนกว่า 1,400 คนในขณะนั้นในทันที อีกทั้งยังจับตัวประกันประมาณ 250 คน แต่ยังสร้างความตกใจทั่วโลก เนื่องจากฮามาสสามารถบุกเข้าไปได้อย่างรวดเร็วและกระจายวงกว้างเกินคาด เหตุการณ์นี้จุดชนวนให้รัฐบาลอิสราเอลประกาศ "ภาวะสงคราม" เกิดการตอบโต้ทางทหารอย่างรุนแรง การปะทะครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นผลสะสมจากความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ยืดเยื้อยาวนานและความล้มเหลวในการหาทางออกทางการทูตที่ยั่งยืนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการโจมตีกลับกลุ่มฮามาสทันที โดย เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล สั่งเปิดปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่รวมทั้งการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วงเพื่อทำลายฐานที่มั่นของฮามาส ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พลเรือนในกาซา การโจมตีเหล่านี้มีเป้าหมายหลักในการทำลายอุโมงค์ใต้ดิน คลังอาวุธ และเครือข่ายการสื่อสารของฮามาส อิสราเอลระบุว่า การโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน ต้องการล้างบางกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก แต่ขณะเดียวกัน การโจมตีก็ทำให้ประชาชนพลเรือนในกาซาได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก มีระเบิดในเขตที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียบ้านเรือนและมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นwinner55 มือ ถือ ก็มีการประณามจากนานาชาติถึงผลกระทบต่อชีวิตของพลเรือนในกาซาที่เป็นผลจากการโจมตีทางทหารของอิสราเอลครั้งนี้ ความล้มเหลวที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้เปิดทางไปสู่ความรุนแรงของภูมิภาคที่ดูจะไม่มีวันสิ้นสุดในกาซา ครบรอบ 1 ปีมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 41,500 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กมากกว่า 16,000 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 100,000 คน และมีผู้สูญหายที่คาดว่าเสียชีวิตใต้ซากปรักหักพังมากกว่า 10,000 คน ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในกาซา ผู้คนราว 1,900,000 คน หรือร้อยละ 90 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือนของตนเองและผู้คนอีกเกือบครึ่งล้านคน ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของกาซา เช่น ที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจ ที่ดินทำกิน และกองเรือประมงส่วนใหญ่ถูกทำลายจนสูญสิ้น สงครามในกาซาทั้งการโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน ทำให้ระบบสาธารณสุขได้รับความเสียหายอย่างหนัก โรงพยาบาลทั้งหมด 36 แห่งในกาซา เหลือเพียง 17 แห่งเท่านั้น ที่ยังพอให้บริการคนไข้ได้บ้าง นอกจากความเสียหายของโรงพยาบาลแล้ว กาซายังเผชิญกับภาวะขาดแคลนยา เวชภัณฑ์ น้ำสะอาด และ อาหาร ทำให้สุขภาพของประชาชนย่ำแย่ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก มีความเสี่ยงสูงต่อโรคระบาดและภาวะขาดสารอาหาร การขาดแคลนน้ำและการอพยพผู้คนไปยังพื้นที่ที่มีความแออัด ยังทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น อหิวาตกโรค และ โรคทางเดินอาหาร สถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ ยังสร้างภาระหนักให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เหลืออยู่ ซึ่งต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากอีกด้วย การปิดล้อมของอิสราเอล ทำให้นานาประเทศส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังกาซายากลำบาก เส้นทางการขนส่งอาหาร น้ำ และ ยารักษาโรคถูกจำกัด ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่ถูกปิดล้อมหรือโดนโจมตีอย่างหนัก ความขาดแคลนดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลพิเศษ ขณะเดียวกัน สหประชาชาติได้พยายามเรียกร้องให้อิสราเอลผ่อนปรนการปิดล้อม เพื่อเปิดทางสำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าการเรียกร้องนั้นเป็นผลสักเท่าไหร่นัก การจับตัวประกันถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การต่อสู้ของฮามาสในการสร้างแรงกดดันต่ออิสราเอล ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีทางทหารในฉนวนกาซา ส่งผลให้นานาประเทศเสนอตัวเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางปล่อยตัวประกันเหล่านี้ รายงานระบุว่า "กาตาร์ และ อียิปต์" เสนอตัวเป็นผู้ประสานงานให้ทั้งอิสราเอลและฮามาส โดยมีบทบาทเป็นตัวกลางสำคัญในการเจรจาเงื่อนไขการปล่อยตัวประกัน แต่การเจรจาหลายครั้งประสบปัญหา เนื่องจากความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่และความตึงเครียดที่สูงขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนี้ ยังมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและสภากาชาดสากล (ICRC) เข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของตัวประกันและช่วยเหลือในการเจรจาอีกด้วย ความสำเร็จในการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ย.2566 หรือ เกือบ 1 เดือนหลังการโจมตี ซึ่งนับเป็นการปล่อยตัวประกันเพียงครั้งเดียวที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปีแห่งสงครามครั้งนี้ ฮามาสยอมปล่อยตัวประกันจำนวน 110 คน แลกกับเชลยศึกชาวปาเลสไตน์ 240 คน และอิสราเอลก็ยอมผ่อนปรนให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้าไปในกาซาเป็นการชั่วคราว นานาชาติเข้ามามีบทบาทในการพยายามระงับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อียิปต์และกาตาร์ เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปิดการเจรจาสันติภาพ แต่ความพยายามเหล่านี้กลับล้มเหลว เพราะความไม่ไว้วางใจระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายยังคงอยู่ และทั้งสองต่างยืนกรานในเงื่อนไขของตนเอง ด้านความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม องค์กรช่วยเหลือระหว่างประเทศ เช่น Médecins Sans Frontières (MSF) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ (UNRWA) กลับต้องเผชิญอุปสรรคสำคัญในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา เพราะสถานการณ์การสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้การเข้าถึงพื้นที่เพื่อส่งมอบเวชภัณฑ์และความช่วยเหลืออื่น ๆ เป็นไปได้ยาก ผลกระทบทางจิตใจของประชาชนที่เผชิญสงครามในกาซานั้นเป็นปัญหารุนแรง โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ ทั้งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การทำลายล้างบ้านเรือน และความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญทางจิตจาก Médecins Sans Frontières (MSF) รายงานว่า มีความต้องการนักบำบัดอย่างเร่งด่วน เด็กหลายคนในกาซามีอาการเครียดเรื้อรัง (PTSD) และมีปัญหาด้านการนอนหลับ เพราะกลัวสงครามตลอดเวลา แทบทุกคนต้องเผชิญกับเสียงระเบิดและเห็นภาพการทำลายล้างทุกวัน ความเสียหายทางจิตใจนี้คาดว่าจะยังคงมีผลต่อเนื่องยาวนาน แม้ความขัดแย้งสิ้นสุดลง แต่ความทุกข์ทรมานจะสะสมเพิ่มเรื่อย ๆ สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสมีผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างกว้างขวางในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจ เช่น อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศอาหรับ "สหรัฐฯ" ให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ ในการป้องกันตนเองจากการโจมตีของฮามาส แต่ขณะเดียวกัน ก็เรียกร้องให้มีการปกป้องชีวิตพลเรือน "อิหร่าน" ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮามาส ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าอาจมีบทบาทในการสนับสนุนด้านอาวุธและทรัพยากรให้กับฮามาส ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับ เช่น ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ก็อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในปัจจุบัน ทำให้การเจรจาสันติภาพในภูมิภาคนี้ยากขึ้น ไม่มีใครที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส จะสิ้นสุดเมื่อใด ดูตามปัจจัยหลายข้อจากสถานการณ์ความรุนแรงระดับภูมิภาคนี้ ความขัดแย้งนี้มีรากฐานจากความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ในภูมิภาค การเจรจาสันติภาพในอดีตก็มักล้มเหลวเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน ส่วนองค์กรระหว่างประเทศและประเทศที่มีอำนาจ ก็ได้พยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา แต่การเจรจาเหล่านี้มักเผชิญกับความล้มเหลวเนื่องจากข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกัน เช่น ฮามาสเรียกร้องให้มีการยุติการปิดล้อมกาซา ขณะที่อิสราเอลยืนกรานว่าต้องมีการหยุดการโจมตีจากฮามาสอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน ความรุนแรงทางทหารก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ครบ 1 ปีแล้ว ความหวังในการยุติสงครามในระยะเวลาอันใกล้ ดูเหมือนจะยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับการเจรจาเพื่อ "สันติภาพ" ในภูมิภาคและชะตากรรมของคนนับล้านในกาซาได้ตอนไหน อ่านข่าวอื่น : 1 ปีแห่งสงครามอิสราเอล-ฮามาส ทั่วโลกเรียกร้องยุติความรุนแรง ระเบิดใกล้สนามบินปากีสถาน ทางการชี้โจมตีพุ่งเป้าชาวต่างชาติ
วันนี้ (11 ส.ค.2565) สำหรับกรณีที่การประชุมรัฐสภาล่ม 3 ครั้งติดตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. วันที่ 3 ส.ค. แ