นักวิชาการชี้ "ภาวะโลกร้อน" ส่งผลเครื่องบินตกหลุมอ

วันนี้ (7 ส.ค.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการจัดกิจกรรมชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า เยาวชนปลดแอกและแนวร่วม ที่จะเริ่มขึ้นช่วงบ่าย บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และจะเคลื่อนขบวนมาบริเวณพระบรมมหาราชวั
วันนี้ (29 ก.ค.2566) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการเดินทางไปฮ่องกง เพื่อพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ต
วันนี้ (29 ธ.ค.2566) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผย “รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบปี 2566 : ปีแห่งการปรับตัวของสื่อ” ระบุว่า จากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในปีนี้ นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรอบ 9 ปี จากรัฐบาล “พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเป็นรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งเป็นผลจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักค่อยๆ ปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเน้นเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์ และเฉพาะเจาะจงเพื่อเข้าให้ตรงถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งของตัวเองและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้และความอยู่รอด แต่ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่าสื่อกระแสหลัก ยังมีจำนวนน้อยที่รายงานข่าวเชิงสืบสวน เพราะแรงกดดันด้านกำลังคนและการอยู่รอดในทางธุรกิจผ่านเรตติ้ง และจำนวนยอดคนดูและชมผ่านช่องทางต่าง แม้ว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว จะนำเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในช่วงท้ายๆ ของรัฐบาล แต่สุดท้ายร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ตกไป โดยไม่ผ่านแม้กระทั่งวาระที่ 1 (วาระรับหลักการ) ด้วยเหตุผลในเรื่องขององค์ประชุมและเสียง ที่ไม่เห็นด้วยทั้งจาก ส.ส. และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนบางส่วนที่เห็นว่า กฎหมายนี้ยังไม่ใช่หนทางที่จะแก้ไขปัญหาการกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรมของสื่อมวลชน อีกทั้งยังไม่ไว้วางใจที่กฎหมายฉบับนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงอาจมีการแฝงการพยายามที่เข้ามาควบคุมสื่อมวลชนหรือไม่ ทำให้ปัญหาการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน จำเป็นที่จะต้องมีการระดมความเห็นหาแนวทางที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต บรรยากาศการเริ่มต้นหลัง “รัฐบาลใหม่” ได้เข้ามาบริหารประเทศกว่า 3 เดือนเศษ แต่ก็มีสัญญาณการแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนจากรัฐบาล โดยมีพฤติการณ์พยายามห้ามผู้มีความเห็นต่างใช้พื้นที่สื่อรัฐ ออกรายการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล หรือในกรณีที่ “รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ” ระบุว่า ที่จะออกรายการคุยตามข่าว แต่กลับไม่มีการออกอากาศในประเด็นทักษิณ : ระเบิดเวลารัฐบาล? เพราะได้รับแจ้งผู้บริหารช่องสื่อของรัฐ พิจารณาแล้วว่า สุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลไม่พึงพอใจจึงสั่งงดออกอากาศ ดังนั้น ทั้ง 2 กรณีนี้ จึงหมิ่นเหม่ต่อการที่รัฐบาลอาจใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลลชนได้ ในปี 2566 ยังการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงการจับขั้วรัฐบาล ทำให้สื่อมวลชน ต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และในบางครั้งผู้ชุมนุมก็มีการคุกคามทำร้ายร่างกายสื่อมวลชนเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นักข่าวถูกกักตัว ในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ระหว่างลงพื้นที่รายงานข่าว เป็นต้น หรือในกรณีที่แหล่งข่าวเปิดโต๊ะแถลงข่าว แล้วถูกตั้งคำถามแล้วไม่พอใจ พาลแสดงกิริยาและคำพูดเหยียดหยามนักข่าว ทั้งที่นักข่าวรายนั้น เพียงทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง และรอบด้าน ขณะที่ผู้แถลงข่าวก็มีสิทธิในการตอบคำถามหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละฝ่าย แต่การคุกคามทางวาจาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ย่อมกระทบต่อเสรีภาพในการแสวงหาข่าวสารและข้อเท็จจริงของสื่อมวลชน เหตุการณ์บรรณาธิการข่าว และบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์รายวันทันหุ้น ถูกคนร้ายคุกคามข่มขู่ด้วยการส่งพัสดุมาที่บริษัท โดยภายในกล่องพบภาพของครอบครัวบรรณาธิการข่าว พร้อมกระสุนปืนไม่ทราบขนาด ระบุข้อความข่มขู่ และวันถัดมาคนร้ายก็บุกปาวัตถุคล้ายระเบิด 3 ลูกใส่ภายในบ้านบรรณาธิการบริหาร หรือเหตุการณ์นักข่าว จ.เพชรบูรณ์ ถูกตีศีรษะบาดเจ็บสาหัส ปมชนวนเหตุจากลงพื้นที่ตรวจสอบทำข่าวบ่อนพนัน รวมกรณีนายตำรวจยศ พ.ต.อ.ขู่ยิงนักข่าวหลังโทรศัพท์สัมภาษณ์ตำรวจนายนี้เกี่ยวกับคดีตำรวจทางหลวงถูกยิงเสียชีวิในงานเลี้ยงสังสรรค์บ้านกำนันนก อันเป็นการคุกคาม ทำให้สื่อมวลชนรู้สึกไม่ปลอดภัย ในการนำเสนอข่าวสารโดยตรง แทนที่จะใช้วิธีการทางกฎหมาย ซึ่ง “สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการปกป้องคุ้มครองประชาชน และการใช้สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเพราะการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชน เท่ากับเป็นการคุกคามเสรีภาพ ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงของประชาชนและกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ พร้อมเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน นอกจากกรณีที่ “สื่อมวลชน” ต้องทำงานอยู่บนความเสี่ยงถูกทำร้าย ก็ยังปรากฎพบว่า “การฟ้องปิดปากสื่อมวลชน” ยังเป็นอีกวิธีที่ถูกนำมาใช้คุกคามการทำงานของสื่อมวลชน โดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งบนฐานทรัพยากร โครงการพัฒนา และสิทธิแรงงาน โดยมาในรูปแบบการดำเนินคดี จากการเผยแพร่ข่าวเป็นส่วนใหญ่ เช่น สื่อมวลชนถูกฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก แม้ว่าล่าสุดศาลจะยกฟ้อง แต่ก็ถือเป็นความพยายาม ในการใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ด้วยการฟ้องร้องคดี และขอให้สื่อมวลชนยุติการเสนอข่าว จากกรณีนายตำรวจคนหนึ่งระบุว่า “ให้เงินกับนักข่าว 4 คน” ที่ถูกกล่าวอ้าง เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2566 ทำให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ของสื่อมวลชนไทย จน 3 สภาวิชาชีพสื่อมวลชน ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว โดยมี ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯ เป็นประธาน ดำเนินการตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอยังองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อสาธารณะเพื่อเป็นแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสม ตามกรอบจริยธรรมวิชาชีพ โดยตั้งเป้าจะดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในเวลา 90 วัน นับแต่แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ที่มีการนัดประชุมนัดแรกวันที่ 7 ธ.ค.2566 โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องหลายคนมาให้ข้อมูล ก่อนที่คณะกรรมการฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาและสรุปผล พร้อมข้อเสนอต่อ 3 สภาวิชาชีพต่อไป แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ภายใต้ภาวะแห่งความยากลำบาก แต่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนและสังคมต่อไป เพื่อเป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีทำหน้าที่ดูแลปสนามบาสเกตบอลกป้องสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน ในการนำเสนอข่าวและภาพข่าวได้อย่างเสรีภายใต้กรอบของกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ตกเป็นข่าว ด้วยหลักการทำหน้าที่ที่ต้องพึงตระหนักว่า “สื่อมวลชน” มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีมาตรฐานทางวิชาชีพในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนด้วยความถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และมีความสมดุลบนพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยความรับผิดชอบต่อสิทธิส่วนบุคคล ตามกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนและประโยชน์สาธารณะตามที่ระบุในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จากสถานการณ์สื่อในปี 2566 ดังกล่าว สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมวิชาชีพยืนหยัดต่อสู้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของความเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพที่มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ข้อมูลเพื่อประชาชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย และจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างมั่นคง แน่วแน่ต่อไป อ่านข่าวอื่นๆ สำรวจสถานบันเทิงพัทยา ฟังเสียงเด็กเสิร์ฟ-PR หลังผับปิดตี 4 แรงกดดัน "Parasite" ที่เกาะติดสังคมเกาหลี คนจีนใช้เงินเปย์สัตว์เลี้ยง สูงถึง2.5 หมื่นบาท ชี้โอกาสทองสินค้าไทย
วันนี้ (29 ธ.ค.2566) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผย “รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบ
วันนี้ (10 พ.ย.2565) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยความคืบหน้าห
วันนี้ (18 ต.ค.2564) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมแ
วันนี้ (29 ธ.ค.2566) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผย “รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบปี 2566 : ปีแห่งการปรับตัวของสื่อ” ระบุว่า จากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในปีนี้ นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรอบ 9 ปี จากรัฐบาล “พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเป็นรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งเป็นผลจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักค่อยๆ ปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเน้นเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์ และเฉพาะเจาะจงเพื่อเข้าให้ตรงถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งของตัวเองและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้และความอยู่รอด แต่ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่าสื่อกระแสหลัก ยังมีจำนวนน้อยที่รายงานข่าวเชิงสืบสวน เพราะแรงกดดันด้านกำลังคนและการอยู่รอดในทางธุรกิจผ่านเรตติ้ง และจำนวนยอดคนดูและชมผ่านช่องทางต่าง แม้ว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว จะนำเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในช่วงท้ายๆ ของรัฐบาล แต่สุดท้ายร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ตกไป โดยไม่ผ่านแม้กระทั่งวาระที่ 1 (วาระรับหลักการ) ด้วยเหตุผลในเรื่องขององค์ประชุมและเสียง ที่ไม่เห็นด้วยทั้งจาก ส.ส. และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนบางส่วนที่เห็นว่า กฎหมายนี้ยังไม่ใช่หนทางที่จะแก้ไขปัญหาการกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรมของสื่อมวลชน อีกทั้งยังไม่ไว้วางใจที่กฎหมายฉบับนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงอาจมีการแฝงการพยายามที่เข้ามาควบคุมสื่อมวลชนหรือไม่ ทำให้ปัญหาการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน จำเป็นที่จะต้องมีการระดมความเห็นหาแนวทางที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต บรรยากาศการเริ่มต้นหลัง “รัฐบาลใหม่” ได้เข้ามาบริหารประเทศกว่า 3 เดือนเศษ แต่ก็มีสัญญาณการแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนจากรัฐบาล โดยมีพฤติการณ์พยายามห้ามผู้มีความเห็นต่างใช้พื้นที่สื่อรัฐ ออกรายการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล หรือในกรณีที่ “รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ” ระบุว่า ที่จะออกรายการคุยตามข่าว แต่กลับไม่มีการออกอากาศในประเด็นทักษิณ : ระเบิดเวลารัฐบาล? เพราะได้รับแจ้งผู้บริหารช่องสื่อของรัฐ พิจารณาแล้วว่า สุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลไม่พึงพอใจจึงสั่งงดออกอากาศ ดังนั้น ทั้ง 2 กรณีนี้ จึงหมิ่นเหม่ต่อการที่รัฐบาลอาจใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลลชนได้ ในปี 2566 ยังการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงการจับขั้วรัฐบาล ทำให้สื่อมวลชน ต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และในบางครั้งผู้ชุมนุมก็มีการคุกคามทำร้ายร่างกายสื่อมวลชนเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นักข่าวถูกกักตัว ในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ระหว่างลงพื้นที่รายงานข่าว เป็นต้น หรือในกรณีที่แหล่งข่าวเปิดโต๊ะแถลงข่าว แล้วถูกตั้งคำถามแล้วไม่พอใจ พาลแสดงกิริยาและคำพูดเหยียดหยามนักข่าว ทั้งที่นักข่าวรายนั้น เพียงทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง และรอบด้าน ขณะที่ผู้แถลงข่าวก็มีสิทธิในการตอบคำถามหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละฝ่าย แต่การคุกคามทางวาจาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ย่อมกระทบต่อเสรีภาพในการแสวงหาข่าวสารและข้อเท็จจริงของสื่อมวลชน เหตุการณ์บรรณาธิการข่าว และบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์รายวันทันหุ้น ถูกคนร้ายคุกคามข่มขู่ด้วยการส่งพัสดุมาที่บริษัท โดยภายในกล่องพบภาพของครอบครัวบรรณาธิการข่าว พร้อมกระสุนปืนไม่ทราบขนาด ระบุข้อความข่มขู่ และวันถัดมาคนร้ายก็บุกปาวัตถุคล้ายระเบิด 3 ลูกใส่ภายในบ้านบรรณาธิการบริหาร หรือเหตุการณ์นักข่าว จ.เพชรบูรณ์ ถูกตีศีรษะบาดเจ็บสาหัส ปมชนวนเหตุจากลงพื้นที่ตรวจสอบทำข่าวบ่อนพนัน รวมกรณีนายตำรวจยศ พ.ต.อ.ขู่ยิงนักข่าวหลังโทรศัพท์สัมภาษณ์ตำรวจนายนี้เกี่ยวกับคดีตำรวจทางหลวงถูกยิงเสียชีวิในงานเลี้ยงสังสรรค์บ้านกำนันนก อันเป็นการคุกคาม ทำให้สื่อมวลชนรู้สึกไม่ปลอดภัย ในการนำเสนอข่าวสารโดยตรง แทนที่จะใช้วิธีการทางกฎหมาย ซึ่ง “สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการปกป้องคุ้มครองประชาชน และการใช้สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเพราะการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชน เท่ากับเป็นการคุกคามเสรีภาพ ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงของประชาชนและกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ พร้อมเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน นอกจากกรณีที่ “สื่อมวลชน” ต้องทำงานอยู่บนความเสี่ยงถูกทำร้าย ก็ยังปรากฎพบว่า “การฟ้องปิดปากสื่อมวลชน” ยังเป็นอีกวิธีที่ถูกนำมาใช้คุกคามการทำงานของสื่อมวลชน โดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งบนฐานทรัพยากร โครงการพัฒนา และสิทธิแรงงาน โดยมาในรูปแบบการดำเนินคดี จากการเผยแพร่ข่าวเป็นส่วนใหญ่ เช่น สื่อมวลชนถูกฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก แม้ว่าล่าสุดศาลจะยกฟ้อง แต่ก็ถือเป็นความพยายาม ในการใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ด้วยการฟ้องร้องคดี และขอให้สื่อมวลชนยุติการเสนอข่าว จากกรณีนายตำรวจคนหนึ่งระบุว่า “ให้เงินกับนักข่าว 4 คน” ที่ถูกกล่าวอ้าง เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2566 ทำให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ของสื่อมวลชนไทย จน 3 สภาวิชาชีพสื่อมวลชน ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว โดยมี ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯ เป็นประธาน ดำเนินการตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอยังองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อสาธารณะเพื่อเป็นแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสม ตามกรอบจริยธรรมวิชาชีพ โดยตั้งเป้าจะดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในเวลา 90 วัน นับแต่แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ที่มีการนัดประชุมนัดแรกวันที่ 7 ธ.ค.2566 โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องหลายคนมาให้ข้อมูล ก่อนที่คณะกรรมการฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาและสรุปผล พร้อมข้อเสนอต่อ 3 สภาวิชาชีพต่อไป แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ภายใต้ภาวะแห่งความยากลำบาก แต่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนและสังคมต่อไป เพื่อเป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีทำหน้าที่ดูแลปสนามบาสเกตบอลกป้องสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน ในการนำเสนอข่าวและภาพข่าวได้อย่างเสรีภายใต้กรอบของกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ตกเป็นข่าว ด้วยหลักการทำหน้าที่ที่ต้องพึงตระหนักว่า “สื่อมวลชน” มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีมาตรฐานทางวิชาชีพในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนด้วยความถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และมีความสมดุลบนพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยความรับผิดชอบต่อสิทธิส่วนบุคคล ตามกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนและประโยชน์สาธารณะตามที่ระบุในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จากสถานการณ์สื่อในปี 2566 ดังกล่าว สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมวิชาชีพยืนหยัดต่อสู้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของความเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพที่มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ข้อมูลเพื่อประชาชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย และจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างมั่นคง แน่วแน่ต่อไป อ่านข่าวอื่นๆ สำรวจสถานบันเทิงพัทยา ฟังเสียงเด็กเสิร์ฟ-PR หลังผับปิดตี 4 แรงกดดัน "Parasite" ที่เกาะติดสังคมเกาหลี คนจีนใช้เงินเปย์สัตว์เลี้ยง สูงถึง2.5 หมื่นบาท ชี้โอกาสทองสินค้าไทย
สารหนู (Arsenic) เป็นธาตุเคมีที่พบในธรรมชาติ เช่น ในดิน หิน และน้ำ โดยเฉพาะน้ำบาดาล มันเป็นสารที่อาจ