วันนี้ (26 มี.ค.2568) นายเอกราช ช่างเหลา สส.ของแก่น พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมย้ายออกจากพแอ ป เค ดิ ต ฟรี
วันนี้ (11 ต.ค.2566) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง แรงงานไทยในอิสราเอลร้องเรียนมายังเพจต่างๆ ว่าถูกนายจ้างนำไปขายต่อให้กับนายจ้างรายอื่น และกล่าวว่าเป็นการซื้อขายแรงงานนั้น เกี่ย
นาทีนี้ หุ้นกู้ที่สะเทือนตลาดทุนมากที่สุดคือ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ STARK หลังบริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า กรรมการบริษัทประกาศลาออกพร้อมกัน 7 คน ตามมาด้วยการส่งงบการเงินปี 2565 ไม่ทัน ขอเลื่อนการส่งงบฯ ออกไปก่อน จนถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ระงับการซื้อขายชั่วคราว เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เจ้าหนี้หลายพันราย ทั้งสถาบันรายใหญ่และลูกหนี้รายย่อย กังวลว่าจะไม่ได้เงินคืน ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปี 2568 สตาร์ค ต้องหาเงินมาไถ่ถอนหุ้นกู้หรือใช้หนี้เกือบ 10,000 ล้านบาท ให้กับเจ้าหนี้ที่มีประมาณ 4,500 คน และจากความกังวลต่อทิศทางการดำเนินกิจการของสตาร์คที่อาจผิดนัดชำระหนี้กับผู้ถือหุ้นกู้ ทำให้ผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คนัดรวมตัวในเช้าวันที่ 9 มิ.ย. กลุ่มผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คที่เป็นกลุ่มรายย่อยมีการรวมตัวกัน 2 กลุ่ม รวมๆ แล้วมากกว่า 600 คนและเงินลงทุนเฉียดพันล้านบาท โดยการลงทุนรายบุคคลอยู่ที่ 100,000 ไปจนถึง 30 ล้านบาท ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คคนหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า ลงทุนไป 2,000,000 บาท กำหนดไถ่ถอนวันที่ 12 พ.ค.2567 สาเหตุที่ลงทุนเพราะมีคนแนะนำว่าแนวโน้มธุรกิจดี, เครดิตบริษัทน่าเชื่อถือ อีกทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่มาจากตระกูลมหาเศรษฐีของไทย แต่จากสถานการณ์บริษัทในขณะนี้ทำให้ความหวังว่าจะได้รับเงินคืนริบหรี่มาก ขณะที่ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คอีกคน ระบุว่า ตั้งแต่บริษัทเลื่อนส่งงบการเงินปี 2565 ผู้ถือหุ้นกู้รู้สึกกังวลและนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันเพื่อช่วยแก้ปัญหา ที่ผ่านมากลุ่มผู้ถือหุ้นกู้มีความพยายามติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน การหารือในวันนี้ (9 มิ.ย.) ผู้ถือหุ้นกู้สตาร์ค จะรวบรวมเป็นข้อมูลเพื่อยื่นร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ สตาร์ค มีหุ้นกู้จำนวน 5 รุ่นที่เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ มูลค่าหนี้คงค้างรวม 9,198.4 ล้านบาท และเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ถือหุ้นกู้ 2 รุ่นมีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัด พร้อมเรียกร้องให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ถึงกำหนด ชำระโดยพลัน รวมวงเงิน 2,241 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ สตาร์ค เป็นบริษัทดาวรุ่งในตลาดหุ้นไทย สะท้อนจากการติดอันดับ SET100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย 100 อันดับแรก แต่การเข้าตลาดหุ้น สตาร์คใช้วิธี Back-door Listing การเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์โดยอ้อม ผ่านบริษัท สยามอินเตอร์ มัลติมีเดีย ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นสตาร์ค ทำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล มูลค่าทรัพย์สินเกือบ 40,000 ล้านบาท หลังจากเข้ามาในตลาดหุ้น ปรากฏว่า ผลประกอบการในปี 2562 กำไร 124 ล้านบาท, ปี 2563 กำไรพุ่งไปที่ 1,600แอ ป เค ดิ ต ฟรี ล้านบาท, ปี 2564 กำไรวิ่งขึ้นต่อไปแตะ 2,780 ล้านบาท ส่วนปี 2565 เฉพาะ 9 เดือนแรกรายได้ 21,800 ล้านบาท กำไร 2,200 บาท ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นและดึงดูดกองทุนต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ แต่ “ปม” ที่ทำให้ปัญหาลามมาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มขึ้นกลางปี 2565 โดยบริษัทประกาศเพิ่มทุน 5,580 ล้านบาท เพื่อไปซื้อกิจการในเยอรมนีที่ทำธุรกิจสายเคเบิลและการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า การจัดสรรหุ้นเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งวันที่ 13 ธ.ค.2565 สตาร์ค แจ้งยกเลิกแผนการลงทุนดังกล่าวจากเหตุผลสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน พร้อมระบุว่าจะนำเงินเพิ่มทุน 5,580 ล้านบาทไปใช้กับโครงการอื่น หรืออาจชำระหนี้ระยะสั้นแทน แต่ไม่นาน ต้นปี 2566 ผู้บริหารบริษัทกลับทยอยลาออก ขณะเดียวกันสตาร์คแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ จำเป็นต้องเลื่อนส่งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการปี 2565 จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องระงับการซื้อขายชั่วคราว วันที่ 1 มิ.ย.2566 หุ้นสตาร์ค กลับมาทำการซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นเปิดตลาดร่วงลงทันทีและร่วงต่อเนื่องไปทำจุดต่ำสุดที่ 0.13 บาทต่อหุ้น ก่อนจะปิดตลาดที่ 0.18 บาทหุ้น หรือร่วงลงกว่าร้อยละ 90 ภายในวันเดียว หน่วยงานกำกับอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สั่งการให้สตาร์คชี้แจงข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการต่างๆ รวมทั้งจัดให้มีการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ ขณะที่บริษัทได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้สืบสวนและสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมาย ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้บริษัทเร่งชี้แจงความคืบหน้าของการดำเนินการต่างๆ ภายในวันที่ 13 มิ.ย.2566 เช่น สถานะการจัดทำและวันที่จะนำส่งงบการเงินประจำปี 2565, การแต่งตั้งผู้สอบบัญชี เพื่อตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ รวมถึงสถานการณ์และผลกระทบต่อบริษัท เป็นต้น ในกรณีเลวร้ายที่สุด สตาร์ค ไม่สามารถชำระหนี้ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะคล้ายกับกรณีการบินไทย คือต้องเข้าสู่กระบวนการขอฟื้นฟูกิจการและจะถือเป็นการผิดนัดชำระหุ้นกู้ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากการบินไทย อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาส่วนทุนของบริษัทที่คาดว่าจะเปิดเผยวันที่ 16 มิ.ย.นี้ อ่านข่าวอื่นๆ "อีซูซุ" ปฏิเสธข่าวย้ายฐานการผลิตจากไทยไป "อินโดนีเซีย" อนาคต "ตลาดหุ้น" ในเงื้อมมือ รัฐบาลก้าวไกล แบงก์แห่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้
วันนี้ (15 มี.ค.2564) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งคดีที่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุง
แอ ป เค ดิ ต ฟรี-ไทยเตรียมเสนอแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นแหล่งมรดกโลก
วันนี้ (26 มี.ค.2568) นายเอกราช ช่างเหลา สส.ของแก่น พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมย้ายออกจากพแอ ป เค ดิ ต ฟรี
วันนี้ (11 ต.ค.2566) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง แรงงานไทยในอิสราเอลร้องเรียนมายังเพจต่างๆ ว่าถูกนายจ้างนำไปขายต่อให้กับนายจ้างรายอื่น และกล่าวว่าเป็นการซื้อขายแรงงานนั้น เกี่ย
นาทีนี้ หุ้นกู้ที่สะเทือนตลาดทุนมากที่สุดคือ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ STARK หลังบริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า กรรมการบริษัทประกาศลาออกพร้อมกัน 7 คน ตามมาด้วยการส่งงบการเงินปี 2565 ไม่ทัน ขอเลื่อนการส่งงบฯ ออกไปก่อน จนถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ระงับการซื้อขายชั่วคราว เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เจ้าหนี้หลายพันราย ทั้งสถาบันรายใหญ่และลูกหนี้รายย่อย กังวลว่าจะไม่ได้เงินคืน ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปี 2568 สตาร์ค ต้องหาเงินมาไถ่ถอนหุ้นกู้หรือใช้หนี้เกือบ 10,000 ล้านบาท ให้กับเจ้าหนี้ที่มีประมาณ 4,500 คน และจากความกังวลต่อทิศทางการดำเนินกิจการของสตาร์คที่อาจผิดนัดชำระหนี้กับผู้ถือหุ้นกู้ ทำให้ผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คนัดรวมตัวในเช้าวันที่ 9 มิ.ย. กลุ่มผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คที่เป็นกลุ่มรายย่อยมีการรวมตัวกัน 2 กลุ่ม รวมๆ แล้วมากกว่า 600 คนและเงินลงทุนเฉียดพันล้านบาท โดยการลงทุนรายบุคคลอยู่ที่ 100,000 ไปจนถึง 30 ล้านบาท ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คคนหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า ลงทุนไป 2,000,000 บาท กำหนดไถ่ถอนวันที่ 12 พ.ค.2567 สาเหตุที่ลงทุนเพราะมีคนแนะนำว่าแนวโน้มธุรกิจดี, เครดิตบริษัทน่าเชื่อถือ อีกทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่มาจากตระกูลมหาเศรษฐีของไทย แต่จากสถานการณ์บริษัทในขณะนี้ทำให้ความหวังว่าจะได้รับเงินคืนริบหรี่มาก ขณะที่ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้สตาร์คอีกคน ระบุว่า ตั้งแต่บริษัทเลื่อนส่งงบการเงินปี 2565 ผู้ถือหุ้นกู้รู้สึกกังวลและนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันเพื่อช่วยแก้ปัญหา ที่ผ่านมากลุ่มผู้ถือหุ้นกู้มีความพยายามติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน การหารือในวันนี้ (9 มิ.ย.) ผู้ถือหุ้นกู้สตาร์ค จะรวบรวมเป็นข้อมูลเพื่อยื่นร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ สตาร์ค มีหุ้นกู้จำนวน 5 รุ่นที่เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ มูลค่าหนี้คงค้างรวม 9,198.4 ล้านบาท และเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ถือหุ้นกู้ 2 รุ่นมีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัด พร้อมเรียกร้องให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ถึงกำหนด ชำระโดยพลัน รวมวงเงิน 2,241 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ สตาร์ค เป็นบริษัทดาวรุ่งในตลาดหุ้นไทย สะท้อนจากการติดอันดับ SET100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย 100 อันดับแรก แต่การเข้าตลาดหุ้น สตาร์คใช้วิธี Back-door Listing การเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์โดยอ้อม ผ่านบริษัท สยามอินเตอร์ มัลติมีเดีย ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นสตาร์ค ทำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล มูลค่าทรัพย์สินเกือบ 40,000 ล้านบาท หลังจากเข้ามาในตลาดหุ้น ปรากฏว่า ผลประกอบการในปี 2562 กำไร 124 ล้านบาท, ปี 2563 กำไรพุ่งไปที่ 1,600แอ ป เค ดิ ต ฟรี ล้านบาท, ปี 2564 กำไรวิ่งขึ้นต่อไปแตะ 2,780 ล้านบาท ส่วนปี 2565 เฉพาะ 9 เดือนแรกรายได้ 21,800 ล้านบาท กำไร 2,200 บาท ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นและดึงดูดกองทุนต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ แต่ “ปม” ที่ทำให้ปัญหาลามมาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มขึ้นกลางปี 2565 โดยบริษัทประกาศเพิ่มทุน 5,580 ล้านบาท เพื่อไปซื้อกิจการในเยอรมนีที่ทำธุรกิจสายเคเบิลและการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า การจัดสรรหุ้นเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งวันที่ 13 ธ.ค.2565 สตาร์ค แจ้งยกเลิกแผนการลงทุนดังกล่าวจากเหตุผลสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน พร้อมระบุว่าจะนำเงินเพิ่มทุน 5,580 ล้านบาทไปใช้กับโครงการอื่น หรืออาจชำระหนี้ระยะสั้นแทน แต่ไม่นาน ต้นปี 2566 ผู้บริหารบริษัทกลับทยอยลาออก ขณะเดียวกันสตาร์คแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ จำเป็นต้องเลื่อนส่งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการปี 2565 จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องระงับการซื้อขายชั่วคราว วันที่ 1 มิ.ย.2566 หุ้นสตาร์ค กลับมาทำการซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นเปิดตลาดร่วงลงทันทีและร่วงต่อเนื่องไปทำจุดต่ำสุดที่ 0.13 บาทต่อหุ้น ก่อนจะปิดตลาดที่ 0.18 บาทหุ้น หรือร่วงลงกว่าร้อยละ 90 ภายในวันเดียว หน่วยงานกำกับอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สั่งการให้สตาร์คชี้แจงข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการต่างๆ รวมทั้งจัดให้มีการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ ขณะที่บริษัทได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้สืบสวนและสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมาย ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้บริษัทเร่งชี้แจงความคืบหน้าของการดำเนินการต่างๆ ภายในวันที่ 13 มิ.ย.2566 เช่น สถานะการจัดทำและวันที่จะนำส่งงบการเงินประจำปี 2565, การแต่งตั้งผู้สอบบัญชี เพื่อตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ รวมถึงสถานการณ์และผลกระทบต่อบริษัท เป็นต้น ในกรณีเลวร้ายที่สุด สตาร์ค ไม่สามารถชำระหนี้ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะคล้ายกับกรณีการบินไทย คือต้องเข้าสู่กระบวนการขอฟื้นฟูกิจการและจะถือเป็นการผิดนัดชำระหุ้นกู้ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากการบินไทย อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาส่วนทุนของบริษัทที่คาดว่าจะเปิดเผยวันที่ 16 มิ.ย.นี้ อ่านข่าวอื่นๆ "อีซูซุ" ปฏิเสธข่าวย้ายฐานการผลิตจากไทยไป "อินโดนีเซีย" อนาคต "ตลาดหุ้น" ในเงื้อมมือ รัฐบาลก้าวไกล แบงก์แห่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้
วันนี้ (15 มี.ค.2564) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งคดีที่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุง