วันนี้ (20 มี.ค.2567) ความคืบหน้ากรณีชุดปฏิบัติการ

อย่าปล่อยให้งานเปลี่ยนเรา แต่เราควรเป็นคนเปลี่ยนงาน ขอกราบลาออกจากราชการ อดีตคุณครูสิริมาศ จันทรโคตร ในตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ถึงไม่ได้เป็นครูในอาชีพ แต่เป็นครูในตัวตน (เนี่ย) มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วั
วันนี้ (29 เม.ย.2568) ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2567 ซึ่งมีศาสตราจารย์บัณฑิต เอ
อย่าปล่อยให้งานเปลี่ยนเรา แต่เราควรเป็นคนเปลี่ยนงาน ขอกราบลาออกจากราชการ อดีตคุณครูสิริมาศ จันทรโคตร ในตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ถึงไม่ได้เป็นครูในอาชีพ แต่เป็นครูในตัวตน (เนี่ย) มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 โปสเตอร์สีแจ่มบาดตากับประโยคเด็ดแสดงถึงความยินดีกับการลาออกจากอาชีพ "ครู" กลายเป็นไวรัลในโซเชียลที่มียอดแชร์ในเฟซบุ๊กมากกว่า 2,900 ครั้ง และมีผู้กดไลก์และกดหัวใจให้โพสต์นี้มากกว่า 6,000 ครั้ง ดึงดูดสายตาให้ไทยพีบีเอสออนไลน์ ต้องกดกล่องข้อความเข้าไปทักทาย เพื่อขอพูดคุยกับเจ้าของโพสต์ในทันที "สิริมาศ จันทรโคตร" ในวัย 26 ปี ที่เมื่อ 2 วันก่อนยังมีตำแหน่งเป็น "ครูผู้ช่วย" แต่ในวันนี้เธอได้สนทนากับทีมข่าวในฐานะอดีตครูคนหนึ่งถึงที่มาของโปสเตอร์ยอดฮิตที่ตั้งใจทำฉลองให้ตัวเอง แต่คนในโลกออนไลน์กลับเข้ามาร่วมยินดีเป็นจำนวนมาก จนเกินความคาดหมาย และทำให้รู้ว่ายังมีอดีตเพื่อนร่วมอาชีพอีกหลายคน ที่อยากจะลาออกเช่นกัน แต่ยังทำไม่ได้ด้วยติดเงื่อนไขบางอย่าง "สิริมาศ" เติบโตมาในครอบครัวข้าราชการทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายอีก 2 คน ด้วยความรู้สึกว่า ไม่ชอบระบบการศึกษาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียน แต่เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยติดคณะศึกษาศาสตร์ ก็ไม่ได้สร้างกำแพงให้ตัวเอง และพยายามเรียนรู้อย่างเต็มกำลัง ก่อนจะพบว่า การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในหลักสูตรนวัตกรรมการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ทำให้รู้สึกดีกับอาชีพ "ครู" มากขึ้น พร้อมกับการสร้างความหวัง และ ความอยากจะเป็นครูที่ดีให้นักเรียนในอนาคต แต่ในวันที่ถูกเรียกว่า "ครู" จริง ๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากเริ่มสอนในโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งที่มีครู 20 คน สอนนักเรียน 300 คน ตั้งแต่ชั้น อ.1 ถึง ม.3 ภารกิจหลักกลับไม่ใช่การสอนนักเรียน แต่เป็นการทำงานหลายหน้า ทั้งการสอนควบวิชาวิทยาศาสตร์ การดูแลงานพัสดุ และเอกสารต่างๆ จนไม่ได้โฟกัสการสอนนักเรียนทั้งที่เป็นหน้าที่หลักของ "ครู" ขณะเดียวกัน การทำวิทยฐานะก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ ที่สร้างภาระให้กับทุกตำแหน่งในโรงเรียน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงภารโรง งานเอกสารและการสร้างผลงานกลายเป็นหินขนาดใหญ่ที่ทุกคนต้องแบกไว้ ทั้งที่การประเมินงานแต่ละตำแหน่งมีวิธีประเมินอื่นอยู่แล้ว แต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่คนทำตามคน ไม่ใช่คนทำตามระบบ คำว่า "ทำไปเถอะ นิดเดียวเอง" จึงกลายเป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ จนหลายคนเริ่มเคยชิน "สิริมาศ" เข้าใจว่า ระบบในการทำงานมีปัญหาได้ในทุกที่ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการคล้าย ๆ กันในระบบราชการครู ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่าปัญหาใหญ่มีอยู่จริง "ถ้าคุณอดทนอยู่ในระบบแย่ ๆ ได้ 3 ปี คุณจะทนมันได้ตลอดไป" คอยวนอยู่ในหัวแบบสลัดทิ้งไม่ได้ "สิริมาศ" ได้คำตอบว่า จะทนให้ระบบบั่นทอนความเป็นตัวเองไม่ได้เด็ดขาด เพราะการอดทนที่ไม่มีปลายทาง เหมือนต้นไม้ที่มีวัชพืชอยู่ด้วยมากเกินไป จนรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงไม่พอที่จะเติบโตได้ และเธอ "อยากโต ไม่ได้อยากตาย" เมื่อระบบในการทำงานไม่ได้สนับสนุนให้ครูทำงานได้ง่ายขึ้น จนทำให้งานล้นมือ คำว่า "ลาออก" ก็เริ่มปรากฏขึ้นในใจของ "สิริมาศ" และกลายเป็นก้าวแรกของการสรufa089้างความเข้าใจกับครอบครัวถึงความตั้งใจในการยุติอาชีพ "ครู" และเส้นทางข้าราชการ เพื่อก้าวไปสู่เส้นทางใหม่ กระทั่งทำการเรียนการสอนได้ 3 เทอม หรือประมาณ 1 ปีกว่า ใบลาออกก็ถูกยื่นไปถึงผู้อำนวยการโรงเรียนพร้อมกับวันที่ต้องถอดชุดสีกากีก้าวต่อไปของ "สิริมาศ" จะเริ่มต้นตามที่บอกในโปสเตอร์ว่า "ถึงไม่ได้เป็นครูในอาชีพ แต่เป็นครูในตัวตน" ด้วยการจัดทำแบบฝึกหัดวิชาคณิตศาสตร์ ชั้น ป.6 ให้นักเรียนอ่านได้ ครูอ่านดี โดยเรียบเรียงเนื้อหาบนความหวังที่ว่า แบบฝึกหัดเล่มนี้จะช่วยให้ครูที่แม้จะไม่ได้จบเอกวิชาคณิตศาสตร์ก็สามารถใช้สอนนักเรียนได้ เพราะอาจจะมีครูอีกหลายคนที่ต้องสอนไม่ตรงเอกหรือควบหลายวิชา "สิริมาศ" ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า การลาออกและการโพสต์โปสเตอร์นี้ครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า ยังมีครูอีกมากที่ต้องการจะลาออก และถ้าวันหนึ่งทุกคนพร้อมที่จะเดินหน้าลาออกมากขึ้น อาจกลายเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล เพราะผู้ใหญ่ในระบบอาจไม่ได้มองว่าเป็นความล้มเหลวของระบบ แต่มองว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กรุ่นใหม่ "ยังมีครูเก่ง ๆ ที่อยู่ในระบบราชการครูอีกหลายคน ที่ยังพยายามสอนหนังสืออย่างสร้างสรรค์ และทำงานในทุกหน้าอย่างเต็มที่ เราหวังว่าคนเหล่านี้จะได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีอย่างระบบที่ดูแลเขาได้" สุดท้ายความหวังการศึกษาไทยก็ยังต้องพึ่งพาการจัดการจากบนลงล่างอยู่ดี เพราะหากต้องเปลี่ยนจากล่างขึ้นบนคนทำงานคงไม่มีแรงสู้ไหว และสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาระบบการศึกษาไทย คือ นโยบายกลางที่ชัดเจน ไม่ใช่การเปลี่ยนไปตามสมัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
วันนี้ (16 ม.ค.2566) เจ้าหน้าที่กู้ภัยเนปาล พบเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินและเครื่องบันทึกข้อมูลกา
วันนี้ (19 ก.พ.2568) นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า ประช
วันนี้ (21 ส.ค.2566) สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย The Takraw Association of Thailand โพสต์ข้อความแสด
อย่าปล่อยให้งานเปลี่ยนเรา แต่เราควรเป็นคนเปลี่ยนงาน ขอกราบลาออกจากราชการ อดีตคุณครูสิริมาศ จันทรโคตร ในตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ถึงไม่ได้เป็นครูในอาชีพ แต่เป็นครูในตัวตน (เนี่ย) มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 โปสเตอร์สีแจ่มบาดตากับประโยคเด็ดแสดงถึงความยินดีกับการลาออกจากอาชีพ "ครู" กลายเป็นไวรัลในโซเชียลที่มียอดแชร์ในเฟซบุ๊กมากกว่า 2,900 ครั้ง และมีผู้กดไลก์และกดหัวใจให้โพสต์นี้มากกว่า 6,000 ครั้ง ดึงดูดสายตาให้ไทยพีบีเอสออนไลน์ ต้องกดกล่องข้อความเข้าไปทักทาย เพื่อขอพูดคุยกับเจ้าของโพสต์ในทันที "สิริมาศ จันทรโคตร" ในวัย 26 ปี ที่เมื่อ 2 วันก่อนยังมีตำแหน่งเป็น "ครูผู้ช่วย" แต่ในวันนี้เธอได้สนทนากับทีมข่าวในฐานะอดีตครูคนหนึ่งถึงที่มาของโปสเตอร์ยอดฮิตที่ตั้งใจทำฉลองให้ตัวเอง แต่คนในโลกออนไลน์กลับเข้ามาร่วมยินดีเป็นจำนวนมาก จนเกินความคาดหมาย และทำให้รู้ว่ายังมีอดีตเพื่อนร่วมอาชีพอีกหลายคน ที่อยากจะลาออกเช่นกัน แต่ยังทำไม่ได้ด้วยติดเงื่อนไขบางอย่าง "สิริมาศ" เติบโตมาในครอบครัวข้าราชการทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายอีก 2 คน ด้วยความรู้สึกว่า ไม่ชอบระบบการศึกษาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียน แต่เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยติดคณะศึกษาศาสตร์ ก็ไม่ได้สร้างกำแพงให้ตัวเอง และพยายามเรียนรู้อย่างเต็มกำลัง ก่อนจะพบว่า การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในหลักสูตรนวัตกรรมการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ทำให้รู้สึกดีกับอาชีพ "ครู" มากขึ้น พร้อมกับการสร้างความหวัง และ ความอยากจะเป็นครูที่ดีให้นักเรียนในอนาคต แต่ในวันที่ถูกเรียกว่า "ครู" จริง ๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากเริ่มสอนในโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งที่มีครู 20 คน สอนนักเรียน 300 คน ตั้งแต่ชั้น อ.1 ถึง ม.3 ภารกิจหลักกลับไม่ใช่การสอนนักเรียน แต่เป็นการทำงานหลายหน้า ทั้งการสอนควบวิชาวิทยาศาสตร์ การดูแลงานพัสดุ และเอกสารต่างๆ จนไม่ได้โฟกัสการสอนนักเรียนทั้งที่เป็นหน้าที่หลักของ "ครู" ขณะเดียวกัน การทำวิทยฐานะก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ ที่สร้างภาระให้กับทุกตำแหน่งในโรงเรียน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงภารโรง งานเอกสารและการสร้างผลงานกลายเป็นหินขนาดใหญ่ที่ทุกคนต้องแบกไว้ ทั้งที่การประเมินงานแต่ละตำแหน่งมีวิธีประเมินอื่นอยู่แล้ว แต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่คนทำตามคน ไม่ใช่คนทำตามระบบ คำว่า "ทำไปเถอะ นิดเดียวเอง" จึงกลายเป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ จนหลายคนเริ่มเคยชิน "สิริมาศ" เข้าใจว่า ระบบในการทำงานมีปัญหาได้ในทุกที่ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการคล้าย ๆ กันในระบบราชการครู ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่าปัญหาใหญ่มีอยู่จริง "ถ้าคุณอดทนอยู่ในระบบแย่ ๆ ได้ 3 ปี คุณจะทนมันได้ตลอดไป" คอยวนอยู่ในหัวแบบสลัดทิ้งไม่ได้ "สิริมาศ" ได้คำตอบว่า จะทนให้ระบบบั่นทอนความเป็นตัวเองไม่ได้เด็ดขาด เพราะการอดทนที่ไม่มีปลายทาง เหมือนต้นไม้ที่มีวัชพืชอยู่ด้วยมากเกินไป จนรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงไม่พอที่จะเติบโตได้ และเธอ "อยากโต ไม่ได้อยากตาย" เมื่อระบบในการทำงานไม่ได้สนับสนุนให้ครูทำงานได้ง่ายขึ้น จนทำให้งานล้นมือ คำว่า "ลาออก" ก็เริ่มปรากฏขึ้นในใจของ "สิริมาศ" และกลายเป็นก้าวแรกของการสรufa089้างความเข้าใจกับครอบครัวถึงความตั้งใจในการยุติอาชีพ "ครู" และเส้นทางข้าราชการ เพื่อก้าวไปสู่เส้นทางใหม่ กระทั่งทำการเรียนการสอนได้ 3 เทอม หรือประมาณ 1 ปีกว่า ใบลาออกก็ถูกยื่นไปถึงผู้อำนวยการโรงเรียนพร้อมกับวันที่ต้องถอดชุดสีกากีก้าวต่อไปของ "สิริมาศ" จะเริ่มต้นตามที่บอกในโปสเตอร์ว่า "ถึงไม่ได้เป็นครูในอาชีพ แต่เป็นครูในตัวตน" ด้วยการจัดทำแบบฝึกหัดวิชาคณิตศาสตร์ ชั้น ป.6 ให้นักเรียนอ่านได้ ครูอ่านดี โดยเรียบเรียงเนื้อหาบนความหวังที่ว่า แบบฝึกหัดเล่มนี้จะช่วยให้ครูที่แม้จะไม่ได้จบเอกวิชาคณิตศาสตร์ก็สามารถใช้สอนนักเรียนได้ เพราะอาจจะมีครูอีกหลายคนที่ต้องสอนไม่ตรงเอกหรือควบหลายวิชา "สิริมาศ" ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า การลาออกและการโพสต์โปสเตอร์นี้ครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า ยังมีครูอีกมากที่ต้องการจะลาออก และถ้าวันหนึ่งทุกคนพร้อมที่จะเดินหน้าลาออกมากขึ้น อาจกลายเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล เพราะผู้ใหญ่ในระบบอาจไม่ได้มองว่าเป็นความล้มเหลวของระบบ แต่มองว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กรุ่นใหม่ "ยังมีครูเก่ง ๆ ที่อยู่ในระบบราชการครูอีกหลายคน ที่ยังพยายามสอนหนังสืออย่างสร้างสรรค์ และทำงานในทุกหน้าอย่างเต็มที่ เราหวังว่าคนเหล่านี้จะได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีอย่างระบบที่ดูแลเขาได้" สุดท้ายความหวังการศึกษาไทยก็ยังต้องพึ่งพาการจัดการจากบนลงล่างอยู่ดี เพราะหากต้องเปลี่ยนจากล่างขึ้นบนคนทำงานคงไม่มีแรงสู้ไหว และสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาระบบการศึกษาไทย คือ นโยบายกลางที่ชัดเจน ไม่ใช่การเปลี่ยนไปตามสมัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
วันนี้ (25 เม.ย.2568) สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) เปิดเผย ผ่านเว็บไซต์ รายงาน