วันนี้ (17 ก.พ.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนายท

วันนี้ (21 ก.ย.2567) กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ส่วนภาคใต้มีฝนตกห
วันนี้ (3 มี.ค.2568) ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องคำตัดสินของศาลในกรณีที่ทรู ไอดี ฟ้องอาจารย์พิรงร
วันนี้ (3 มี.ค.2568) ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องคำตัดสินของศาลในกรณีที่ทรู ไอดี ฟ้องอาจารย์พิรงรอง ตั้งแต่เห็นคำพิพากษาฉบับเต็มแล้ว แต่ติดการเดินทางไปต่างประเทศ และภารกิจต่าง ๆ รัดตัว จนไม่มีเวลาได้เขียนจนกระทั่งวันนี้ ในฐานะพยานของจำเลย และนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์ มานาน ผมรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ ผมแปลกใจที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลย ทั้งที่ไม่ได้มีการกระทำใด ๆ อันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดโทษทางอาญาได้ เพราะการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การออกหนังสือเพื่อแจ้งไปยังผู้ประกอบการก็ทำในนามสำนักงาน กสทช. ไม่ใช่ในนามของอาจารย์พิรงรอง และเป็นการแจ้งให้ผู้ประกอบการทำตามกฎหมายที่มีอยู่คือ กฎ Must Carry ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่รับใบอนุญาตบริการโครงข่าย จาก กสทช. เท่านั้น ผมรู้สึกเศร้าใจมากที่ผู้ที่พยายามปกป้องประโยชน์ของผู้บริโภค ตกเป็นเหยื่อเกมกฎหมาย และถูกศาลตัดสินจำคุก โดยไม่รอลงอาญา เสมือนได้ทำกระทำผิดร้ายแรง ด้วยพยานหลักฐานที่น่าสงสัยดังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้ว ในขณะที่อาชญากรที่แท้จริง หลายต่อหลายคนถูกยกฟ้องในชั้นศาล ด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ แม้การพิจารณาของศาลในภายหลัง เช่น ในขั้นตอนของการอุทธรณ์หรือฎีกาในอนาคต อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่อาจเป็นคุณต่ออาจารย์พิรงรองบ้าง ไม่ว่าจะยกฟ้องหรือให้รอลงอาญาก็ตาม ความเสียหายต่อสังคมไทยจากคดีนี้ ก็เกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว และยากที่จะแก้ไขกลับมา เนื่องจากมีผลกระทบกว้างไกล ไปกว่าผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้โดยตรง อย่างน้อย 3 ประการหนึ่ง ผลกระทบต่อผู้ทำงานให้แก่ผู้บริโภคและผู้ปกป้องประโยชน์สาธารณะอื่น ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ประโยชน์ของผู้บริโภคหรือประโยชน์สาธารณะ ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน ซึ่งมีทรัพยากรจ้างทีมงานนักกฎหมาย และมีท่าทีที่พร้อมจะ “ค้าความ” กับผู้ที่เห็นต่าง ปัญหานี้นับวันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในประเทศไทย เมื่อดูจากการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) หลายคดี ลำพังที่ปรากฏในหนังสือ “เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ” ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนก็มีมากมายแล้ว ที่น่าตกใจก็คือ คดีนี้ไปไกลกว่าแค่การฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปากธรรมดา เพราะไปถึงขึ้นฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สอง ผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะคณะกรรมการและอนุกรรมการต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน เพราะแม้เป็นเพียงการพิจารณาในระดับคณะอนุกรรมการ และยังไม่มีการทำคำสั่งทางปกครองใด ๆ ก็อาจถูกเล่นงานได้ ผลก็คือการตัดสินในลักษณะนี้ จะทำให้กลุ่มทุนมีอำนาจต่อรองกับหน่วยงานรัฐเพิ่มขึ้นอีกมาก จนบางหน่วยงานไม่กล้าพิจารณาเรื่องที่อ่อนไหวและออกอาการ “เกียร์ว่าง” ไปแล้ว ในอนาคตเราคงจะเห็นกลุ่มทุนบางกลุ่มใช้แนวทาง “ค้าความ” กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น เมื่อไม่สามารถโน้มน้าวให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ สาม ผลกระทบต่อ “นิติรัฐ” ของประเทศไทย จากคำตัดสินของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งพิจารณาคดีโดยวิธีไต่สวน ทำให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางในการพิจารณาคดี (ซึ่งต่างจากการพิจารณาคดีด้วยวิธีกล่าวหา ซึ่งโจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียมมากกว่า) ในขณะที่ศาลไม่ได้ให้เหตุผลอย่างแจ้งชัดว่า เหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การหักล้างของจำเลย ทั้งที่คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย และการจะตัดสินลงโทษจำเลยจะต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัยตามสมควร (Beyond a Reasonable Doubt) และควรสามารถอธิบายให้สังคมสิ้นสงสัยตามสมควรด้วย ด้วยความเคารพต่อผลการตัดสิน และความเป็นอิสระของศาล การที่ศาลมีอำนาจในการพิจารณา แต่ไม่ได้ให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างครบถ้วนรอบด้านนั้น จะทำให้เกิดคำถามมากมายต่อคำตัดสิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลมาก และหากลักษณะการให้เหตุผลรวบรัดตัดตอนเช่นนี้กลายเป็นมาตรฐาน ก็อาจเสี่ยงที่ศาลยุติธรรม ซึ่งปกติได้รับความเชื่อถือสูงจากประชาชน จะถูกตั้งคำถามต่อการใช้ดุลพินิจอีกบ่อยครั้งในอนาคต ทั้งนี้ไม่ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกไม่สบายใจของสังคม รวมทั้งผู้พิพากษาบางส่วน ที่เคยสะท้อนว่า สำนักงานศาลยุติธรรมควรเลิกจัดหลักสูตรฝึกอบรมที่ให้นักธุรกิจมาร่วม ในอดีตผมเคยไปเป็นวิทยากรบรรยายในหลักสูตรในลักษณะนี้ และรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเอกชน ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับภาครัฐ ไปเข้าร่วมในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ถูกกำกับดูแล (Regulated Business) หรืbet at home nlอมีรายได้หลักจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือสัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งมีโอกาสจะมีคดีความกับหน่วยงานรัฐ ตลอดจนธุรกิจที่เสี่ยงล้มละลายหรือต้องฟื้นฟูกิจการ ซึ่งอาจจะต้องไปขึ้นศาลล้มละลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นฝ่ายกฎหมายหรือฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ของเครือบริษัทเดิม ๆ เข้าไปเรียนในหลักสูตรหลายรุ่นและตีสนิทกับผู้พิพากษา ในจำนวนนี้ ผมสงสัยว่า บางคนน่าจะเรียกได้ว่าเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” เพราะเคยพยายามมา “ล็อบบี้” ผมและนักวิจัยของทีดีอาร์ไอมาแล้ว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชน ผมขอเรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรม ลงมาศึกษาดูว่า คดีนี้มีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ทำไมจึงได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยอาจจัดสัมมนากันภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาต้องให้เหตุผลอย่างชัดเจนและเป็นธรรม และพิจารณาทบทวนการจัดหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ที่อาจทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในระบบยุติธรรมของประเทศ ปราชญ์ตะวันตกเคยกล่าวเตือนไว้ว่า “ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่จะต้องสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อว่าเกิดความยุติธรรมด้วย” (Justice must not only be done, but must also be seen to be done)
กลุ่มควันขนาดใหญ่ลอยเหนือท้องฟ้ากรุงซานติอาโกของประเทศชิลี หลังจากเกิดไฟป่ารุนแรงที่เผาผลาญพื้นที่ไป
วันนี้ (7 ม.ค.2566) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการจับขั้วทางการเมืองหลังการเล
วันนี้ (7 มิ.ย.2567) นายนิวัฒน์ วัฒนายมนาพร นายมนัสทวุฒิ ชูแสง ชมรมคนรักถ้ำกระบี่ ลงพื้นที่สำรวจ บริ
วันนี้ (3 มี.ค.2568) ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องคำตัดสินของศาลในกรณีที่ทรู ไอดี ฟ้องอาจารย์พิรงรอง ตั้งแต่เห็นคำพิพากษาฉบับเต็มแล้ว แต่ติดการเดินทางไปต่างประเทศ และภารกิจต่าง ๆ รัดตัว จนไม่มีเวลาได้เขียนจนกระทั่งวันนี้ ในฐานะพยานของจำเลย และนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์ มานาน ผมรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ ผมแปลกใจที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลย ทั้งที่ไม่ได้มีการกระทำใด ๆ อันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดโทษทางอาญาได้ เพราะการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การออกหนังสือเพื่อแจ้งไปยังผู้ประกอบการก็ทำในนามสำนักงาน กสทช. ไม่ใช่ในนามของอาจารย์พิรงรอง และเป็นการแจ้งให้ผู้ประกอบการทำตามกฎหมายที่มีอยู่คือ กฎ Must Carry ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่รับใบอนุญาตบริการโครงข่าย จาก กสทช. เท่านั้น ผมรู้สึกเศร้าใจมากที่ผู้ที่พยายามปกป้องประโยชน์ของผู้บริโภค ตกเป็นเหยื่อเกมกฎหมาย และถูกศาลตัดสินจำคุก โดยไม่รอลงอาญา เสมือนได้ทำกระทำผิดร้ายแรง ด้วยพยานหลักฐานที่น่าสงสัยดังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้ว ในขณะที่อาชญากรที่แท้จริง หลายต่อหลายคนถูกยกฟ้องในชั้นศาล ด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ แม้การพิจารณาของศาลในภายหลัง เช่น ในขั้นตอนของการอุทธรณ์หรือฎีกาในอนาคต อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่อาจเป็นคุณต่ออาจารย์พิรงรองบ้าง ไม่ว่าจะยกฟ้องหรือให้รอลงอาญาก็ตาม ความเสียหายต่อสังคมไทยจากคดีนี้ ก็เกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว และยากที่จะแก้ไขกลับมา เนื่องจากมีผลกระทบกว้างไกล ไปกว่าผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้โดยตรง อย่างน้อย 3 ประการหนึ่ง ผลกระทบต่อผู้ทำงานให้แก่ผู้บริโภคและผู้ปกป้องประโยชน์สาธารณะอื่น ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ประโยชน์ของผู้บริโภคหรือประโยชน์สาธารณะ ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน ซึ่งมีทรัพยากรจ้างทีมงานนักกฎหมาย และมีท่าทีที่พร้อมจะ “ค้าความ” กับผู้ที่เห็นต่าง ปัญหานี้นับวันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในประเทศไทย เมื่อดูจากการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) หลายคดี ลำพังที่ปรากฏในหนังสือ “เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ” ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนก็มีมากมายแล้ว ที่น่าตกใจก็คือ คดีนี้ไปไกลกว่าแค่การฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปากธรรมดา เพราะไปถึงขึ้นฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สอง ผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะคณะกรรมการและอนุกรรมการต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน เพราะแม้เป็นเพียงการพิจารณาในระดับคณะอนุกรรมการ และยังไม่มีการทำคำสั่งทางปกครองใด ๆ ก็อาจถูกเล่นงานได้ ผลก็คือการตัดสินในลักษณะนี้ จะทำให้กลุ่มทุนมีอำนาจต่อรองกับหน่วยงานรัฐเพิ่มขึ้นอีกมาก จนบางหน่วยงานไม่กล้าพิจารณาเรื่องที่อ่อนไหวและออกอาการ “เกียร์ว่าง” ไปแล้ว ในอนาคตเราคงจะเห็นกลุ่มทุนบางกลุ่มใช้แนวทาง “ค้าความ” กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น เมื่อไม่สามารถโน้มน้าวให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ สาม ผลกระทบต่อ “นิติรัฐ” ของประเทศไทย จากคำตัดสินของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งพิจารณาคดีโดยวิธีไต่สวน ทำให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางในการพิจารณาคดี (ซึ่งต่างจากการพิจารณาคดีด้วยวิธีกล่าวหา ซึ่งโจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียมมากกว่า) ในขณะที่ศาลไม่ได้ให้เหตุผลอย่างแจ้งชัดว่า เหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การหักล้างของจำเลย ทั้งที่คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย และการจะตัดสินลงโทษจำเลยจะต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัยตามสมควร (Beyond a Reasonable Doubt) และควรสามารถอธิบายให้สังคมสิ้นสงสัยตามสมควรด้วย ด้วยความเคารพต่อผลการตัดสิน และความเป็นอิสระของศาล การที่ศาลมีอำนาจในการพิจารณา แต่ไม่ได้ให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างครบถ้วนรอบด้านนั้น จะทำให้เกิดคำถามมากมายต่อคำตัดสิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลมาก และหากลักษณะการให้เหตุผลรวบรัดตัดตอนเช่นนี้กลายเป็นมาตรฐาน ก็อาจเสี่ยงที่ศาลยุติธรรม ซึ่งปกติได้รับความเชื่อถือสูงจากประชาชน จะถูกตั้งคำถามต่อการใช้ดุลพินิจอีกบ่อยครั้งในอนาคต ทั้งนี้ไม่ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกไม่สบายใจของสังคม รวมทั้งผู้พิพากษาบางส่วน ที่เคยสะท้อนว่า สำนักงานศาลยุติธรรมควรเลิกจัดหลักสูตรฝึกอบรมที่ให้นักธุรกิจมาร่วม ในอดีตผมเคยไปเป็นวิทยากรบรรยายในหลักสูตรในลักษณะนี้ และรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเอกชน ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับภาครัฐ ไปเข้าร่วมในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ถูกกำกับดูแล (Regulated Business) หรืbet at home nlอมีรายได้หลักจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือสัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งมีโอกาสจะมีคดีความกับหน่วยงานรัฐ ตลอดจนธุรกิจที่เสี่ยงล้มละลายหรือต้องฟื้นฟูกิจการ ซึ่งอาจจะต้องไปขึ้นศาลล้มละลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นฝ่ายกฎหมายหรือฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ของเครือบริษัทเดิม ๆ เข้าไปเรียนในหลักสูตรหลายรุ่นและตีสนิทกับผู้พิพากษา ในจำนวนนี้ ผมสงสัยว่า บางคนน่าจะเรียกได้ว่าเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” เพราะเคยพยายามมา “ล็อบบี้” ผมและนักวิจัยของทีดีอาร์ไอมาแล้ว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชน ผมขอเรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรม ลงมาศึกษาดูว่า คดีนี้มีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ทำไมจึงได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยอาจจัดสัมมนากันภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาต้องให้เหตุผลอย่างชัดเจนและเป็นธรรม และพิจารณาทบทวนการจัดหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ที่อาจทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในระบบยุติธรรมของประเทศ ปราชญ์ตะวันตกเคยกล่าวเตือนไว้ว่า “ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่จะต้องสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อว่าเกิดความยุติธรรมด้วย” (Justice must not only be done, but must also be seen to be done)
วันนี้ (27 มิ.ย.2566) กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมา