เมื่อ "โรงเรียน" ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการวางรากฐานอนาคตให้กับคนคนหนึ่งไว้ตั้งแต่เด็ก แม้จะมีคนจำนวนมากที่อาจประสบความสำเร็จในชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ... แต่คงไม่มีใครป
วันนี้(3 มิ.ย.2565) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการจริยธรรม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี 7 ส.ส.พรรคเพื่อไทย โหวตสวนมติพรรค ในการโหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วาระแ
เมื่อ "โรงเรียน" ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการวางรากฐานอนาคตให้กับคนคนหนึ่งไว้ตั้งแต่เด็ก แม้จะมีคนจำนวนมากที่อาจประสบความสำเร็จในชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ... แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ถ้าผู้ปกครองมีทางเลือก ก็จะเลือกส่งลูกหลานของตัวเองเข้าไปในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงก่อน เพราะถือเป็น "ต้นทุนชีวิต" ที่เด็กคนนั้นจะได้ใช้เป็นสารตั้งต้นที่ดีกว่า การแข่งขันเพื่อแย่งชิงเก้าอี้ในโรงเรียนดัง โดยเฉพาะการขึ้นชั้น ป.1, ขึ้นชั้น ม.1 รวมทั้งการแย่งที่นั่งในคณะที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยชื่อดัง จึงเป็นดั่ง "สนามรบของนักเรียน" ที่สร้างความตึงเครียดให้กับทั้งผู้เรียนและผู้ปกครอง นั่นเป็นเพราะเรามีโรงเรียนที่ถูกยอมรับว่า "ดีพอ" อยู่ในปริมาณที่ "ไม่พอดี" กับความต้องการ ใน "ค่า (เข้า) เรียน" เดอะซีรีส์ EP.1 ได้เห็นถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะการที่โรงเรียนดังต้องพยายามหารายได้เข้าโรงเรียนเพิ่ม ผ่านกลยุทธ์ "ห้องเรียนพิเศษ" ด้วยแนวคิดการศึกษาแบบเสรีนิยมใหม่ที่ทำให้โรงเรียนของรัฐ ต้องกลายสภาพเป็นโรงเรียนกึ่งเอกชน จนทำให้มีที่นั่งสำหรับ "ห้องเรียนปกติ" น้อยลงมาก ซึ่งหมายความว่า เด็กจำนวนมากที่ครอบครัวมีฐานะทางการเงินไม่ดีนัก ก็จะยิ่งต้องแย่งชิงเก้าอี้ในโรงเรียนดังได้ยากขึ้นไปกว่าหลายเท่า อ่านข่าว : ค่า(เข้า)เรียน เดอะ ซีรีส์ อนุบาล-มหาวิทยาลัย "การศึกษาที่ไร้หัวใจ" แต่ด้วยสถานการณ์ด้านประชากรศาสตร์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งประเทศไทยมีจำนวนเด็กที่เกิดน้อยลง ส่งผลให้มีนักเรียนน้อยลงไปด้วยในแต่ละปี ทำให้สถานการณ์การแข่งขันเพื่อเข้าโรงเรียนดังในต่างจังหวัดที่มีความหนาแน่นของประชากรไม่มากนัก อยู่ในสภาพที่ต่างไปจากในกรุงเทพมหานคร กลายเป็นว่า โรงเรียน ต้องหาวิธีการเพื่อรักษาจำนวนนักเรียนให้มากเข้าไว้ เพราะมันจะส่งผลต่อจำนวนเงินอุดหนุนที่โรงเรียนจะได้รับจากรัฐบาล ในขณะเดียวกันก็ทำให้ "โรงเรียนทางเลือก" ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความแตกต่างของนักเรียนแต่ละกลุ่มและสอดรับกับความต้องการของท้องถิ่น กลายเป็นโรงเรียนที่ได้รับความสนใจมากขึ้น "ถ้าย้อนกลับไป 5-6 ปีก่อน การสอบเข้า ม.1 ในโรงเรียนดังที่โคราชจะมีสถานการณ์เหมือนในกรุงเทพฯ คือ กดดันมาก ต้องสอบคัดเลือกอย่างเข้มข้นมาก เข้าเรียนยากมาก ใครจะเข้าได้ต้องเก่งจริงๆ แต่ปัจจุบันจำนวนเด็กลดลง โรงเรียนเองก็ต้องแข่งขันกันมากขึ้นเพื่อจูงใจให้เด็กเข้าเรียน แม้แต่ในโรงเรียนดังในตัวเมืองก็ต้องลดความเข้มข้นในการคัดเด็กลงไป กลายเป็นแทบจะเปิดรับทุกคนที่ไปสมัคร" จรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ เทศบาลนครนครราชสีมา เล่าถึงสถานการณ์ในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในปีที่ผ่านมาพบว่า เด็กที่ไปสมัครเข้าเรียนต่อชั้น ม.1 จะได้รับการพิจารณาจากโรงเรียนชื่อดังให้ผ่านเข้าเป็นนักเรียนได้เกือบทั้งหมด เพราะมีจำนวนนักเรียนน้อยลงจากในอดีตมาก และโรงเรียนที่มีชื่อเสียงก็จำเป็นต้องรับนักเรียนจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากในระบบการจัดสรรงบประมาณของโรงเรียนจากทุกสังกัดไม่ว่าจะเป็นสำนัก งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะได้รับงบประมาณสนับสนุนจากส่วนกลาง (รัฐบาล) คิดตามจำนวนนักเรียนเป็นรายหัว "ยิ่งมีนักเรียนเยอะ โรงเรียนก็จะยิ่งได้งบอุดหนุนมากขึ้น" "สำหรับโรงเรียนในต่างจังหวัด ยิ่งมีเด็กจำนวนน้อยลงเช่นนี้ โรงเรียนชื่อดังก็จะยิ่งดึงดูดนักเรียนไปได้หมด เพราะผู้ป1️ผล การ แข่งขัน ฟุตบอล ต่าง ประเทศ เมื่อ คืน นี้กครองสามารถส่งเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงได้ โดยไม่ต้องกดดันกับความเข้มข้นในการสอบคัดเลือก แต่ในทางกลับกัน โรงเรียนมัธยมขนาดเล็กตามอำเภอต่างๆ ก็จะยิ่งมีเด็กน้อยลง ได้รับงบประมาณน้อยลง และอาจจะต้องถูกยุบไปในอนาคต ซึ่งหมายความว่า เด็กต่างจังหวัดในยุคต่อไป ก็จะต้องเดินทางมาเรียนในตัวเมืองเท่านั้น" แต่แม้โรงเรียนชื่อดังจะเปิดรับเด็กง่ายขึ้น ก็ยังไม่ส่งผลกระทบกับโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมา ซึ่งมีอยู่ถึง 6 โรงเรียน และยังคงมีนักเรียนมาสมัครเข้าเรียนเต็มจำนวน เพราะวางบทบาทเป็น "โรงเรียนทางเลือก" ที่รองรับนักเรียนได้ตามความแตกต่างอย่างหลากหลาย และสอดรับกับความต้อง การของชุมชนโดยรอบโรงเรียน โดยทั้ง 6 โรงเรียน มีอัตลักษณ์ที่ต่างกัน ดังนี้ จรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ เทศบาลนครนครราชสีมา จรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ เทศบาลนครนครราชสีมา ศึกษานิเทศก์ จรรยารักษ์ ระบุว่า โรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมา วางบทบาทเป็นโรงเรียนทางเลือกให้คนในชุมชน จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการที่หลากหลายของแต่ละชุมชนในเขตเทศบาล เพื่อให้คนในท้องถิ่นมีทางเลือกที่จะส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนใกล้บ้านที่เป็นไปตามความต้องการ พยายามทำให้เป็นโรงเรียนที่ดีพอสำหรับคนในท้องถิ่นโดยไม่ต้องเดินทางไกล ไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน เมื่อโรงเรียนในสังกัดท้องถิ่น มีความเข้าใจชุมชน ออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมและสอดคล้องกับท้องถิ่น พอเปิดรับนักเรียน ก็มีนักเรียนมาสมัครเต็ม นี่ทำให้เห็นได้ว่า ถ้าเราทำให้โรงเรียนขนาดเล็กไปอยู่ในการดูแลของท้องถิ่นที่มีศักยภาพ มีการทำงานร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ก็จะสามารถช่วยทำให้เรามีโรงเรียนที่มีคุณภาพไม่ต่างจากโรงเรียนชื่อดังเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนักเรียนและผู้ปกครองก็จะมีทางเลือกเป็น โรงเรียนที่ดีพอ เพิ่มมากขึ้น" จรรยารักษ์ อธิบายให้เห็นถึงความข้อดีของการมีโรงเรียนทางเลือกที่มาจากการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น "โรงเรียนทางเลือก ก็เหมือนการยอมรับความแตกต่างหลากหลายของเด็ก เพราะเด็กจะมีความสามารถที่ต่างกัน เราไม่สามารถใช้แค่ผลการเรียนไปตัดสินเขา แต่ถ้าเราคัดออก เด็กก็จะออกไปอยู่นอกระบบ เราต้องเข้าใจว่าเด็กทุกคนต้องการการยอมรับ เขาจะแสดงพฤติกรรมเพื่อแสดงตัวตนว่าฉันอยู่ตรงนี้นะ เราก็ต้องมีพื้นที่ให้เขาได้แสดงความสามารถที่หลากหลาย เช่น ศิลปะ สเก็ตบอร์ด หรือการออกแบบ" "เราทำงานด้านการศึกษา ต้องพยายามสร้างโรงเรียนที่มีคุณภาพเพื่อเด็กทุกกลุ่มให้ได้ เราต้องทำให้โรงเรียนขนาดเล็กมีคุณภาพมากขึ้น" จรรยารักษ์ กล่าวถึงความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทยให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ ซึ่งความเท่าเทียมเช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ "เด็กเล็ก" "ปัญหาของต่างจังหวัด คือ พ่อแม่เด็กต้องไปทำงานต่างถิ่น เด็กเล็กอยู่กับปู่ย่าตายาย ก็ส่งศูนย์เด็กเล็กดูแล แต่พ่อแม่ที่ยากจนส่วนหนึ่งไม่กล้าพาลูกไปไว้ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพราะเขาคิดว่าต้องเสียเงิน เขาไม่รู้ว่าเรียนฟรี แต่เราก็ต้องยอมรับว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในแต่ละแห่ง ยังมีศักยภาพไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของท้องถิ่น" จรรยารักษ์ เป็นศึกษานิเทศก์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็กปฐมวัย ทำให้เห็นปัญหาสภาวะความไม่เท่าเทียมตั้งแต่ชั้นปฐมวัย แม้การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลโรงเรียนจะเป็นแนวคิดที่ดี แต่หน่วยย่อยที่ต้องดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมากที่สุด ก็คือ อบต. ซึ่งต้องยอมรับว่า บางท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อม ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบางแห่งยังอยู่ในวัด อยู่ที่อาคารชุมชน ซึ่งไม่ใช่กายภาพของการเป็นสถานพัฒนาเด็ก ทำให้ยังมีคุณภาพไม่ดี และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำตั้งแต่ต้นทาง จึงต้องพยายามหาวิธีการยกระดับคุณภาพด้วยการประสานให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเด็กเล็กอย่าง สมาคมอนุบาลแห่งประเทศไทย กรมอนามัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานที่จัดการศึกษาปฐมวัย เข้ามาทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ (อบต. เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร อบจ.) "ถ้ากระจายอำนาจ ทำให้ท้องถิ่นพร้อม ก็จะช่วยยกระดับโรงเรียนขนาดเล็กได้ อย่างโรงเรียนเทศบาล 5 ก็เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ท้องถิ่นจัดตั้งและบริหารจัดการได้ดี สำหรับโรงเรียนที่โอนมาท้องถิ่น ข้อดี คือ สายบังคับบัญชาสั้นกว่ามาก เพราะผู้บริหารท้องถิ่นสามารถคุยตรงกับผู้บริหารโรงเรียนได้เลย ไม่ต้องผ่านหลายขั้นตอน สามารถเขียนแผนการพัฒนาเสนอของบประมาณผ่านสภาท้องถิ่น พอสภาท้องถิ่นเห็นชอบ เป็นเทศบัญญัติก็ทำได้เลย ดังนั้นถ้าท้องถิ่นไหนมีความพร้อม เราทำตรงนี้ได้ ยกระดับโรงเรียนขนาดเล็กได้ ก็จะลดปัญหาเรื่องการแข่งขันได้" จรรยารักษ์ อธิบาย จรรยารักษ์ เล่าว่า เคยมีความพยายามอยากรับโอนโรงเรียนขนาดเล็กมาอยู่กับท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนเป็นโรงเรียนอนุบาลต้นแบบ แต่ในหลักเกณฑ์การโอนย้ายก็ยังมีปัญหา "เราเคยพยายามขอถ่ายโอนโรงเรียนอนุบาลสังกัด สพฐ.ที่เหลือเด็กแค่ 40 กว่าคน ให้มาสังกัดท้องถิ่น เพื่อสร้างโรงเรียนอนุบาลต้นแบบที่ท้องถิ่นดูแล ใช้งบประมาณท้องถิ่น ออกแบบตามความต้องการของชุมชน แต่ก็ไปติดหลักเกณฑ์ว่า การจะถ่ายโอนได้ ต้องมีครูย้ายมาด้วยเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนนี้มีครูแค่ 2 คน การจะผ่านเกณฑ์ได้ ครูก็ต้องย้ายมาด้วยกันทั้ง 2 คน แต่มีครูคนหนึ่งไม่กล้ามา เพราะกลัวงานเพิ่ม ก็เลยถ่ายโอนมาไม่ได้ ปัจจุบันโรงเรียนนี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม" ศึกษานิเทศก์ จรรยารักษ์ ทิ้งท้ายไว้ด้วยประเด็นชวนคิดถึงการจัดวางบทบาทของ "ครู" ในระบบการศึกษาไทย โดยตั้งคำถามว่า เป็นการใช้ความสามารถของครูไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่ เพราะเรามักจะเห็นว่า ครูเก่งๆ ก็มักจะไปสังกัดอยู่ในโรงเรียนชื่อดังซึ่งมีนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกด้วยการสอบมาอย่างเข้มข้นอยู่แล้ว "โดยส่วนตัวเห็นว่า ระบบการศึกษาที่ดี ควรมีแรงจูงใจและควรมีกลยุทธ์ส่งเสริมให้ครูเก่งๆได้พัฒนาเด็กในท้องถิ่นที่ขาดโอกาส ครูที่มีความสามารถสูงควรสอนเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา เพื่อให้ช่วยดูแลพัฒนาเด็กในประเทศให้อ่านออกเขียนได้คิดคำนวณเป็น โดยเสมอภาคกันตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่าการที่เราวางบทบาทให้ครูที่มีความสามารถสูง ไปอยู่ในโรงเรียนที่มีแต่เด็กที่เรียนเก่งอยู่แล้ว" ศึกษานิเทศก์ จรรยารักษ์ ทิ้งท้ายพร้อมความหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง รายงานโดย: สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา
วันนี้ (27 พ.ค.2564) จากกรณีที่มีชาวบ้านร้องเรียนว่ากลุ่มวัยรุ่นแข่งรถประลองความเร็ว บนถนนทางหลวงสาย 317 สระแก้ว-จันทบุรี ช่วงตั้งแต่หน้าโรงเรียนอนุบาลมิตรภาพที่ 179 ไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลวังน้ำเย็น จ.ส
วันนี้ (12 พ.ค.2564) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า จากการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง