วันนี้ (9 มิ.ย.2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน

สหรัฐจัดพิธีรำลึก 10 ปีเหตุวินาศกรรม สหรัฐอเมริกาจัดพิธีรำลึกครบรอบ 10 ปีของเหตุวินาศกรรมอาคารเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีรายงานข่าวกรองว่ากลุ่มอัลกออิดะห์วา
นับตั้งแต่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เริ่มติดปลอกคอสัญญาณดาวเทียม (GPS-collar) ให้ "ช้างป่า" ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2561 จนถึงต้นปี 2567 นานเกื
ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าเร่ร่อนในแถบเอเชียกลางที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าตุรกีโบราณ ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบเอเชียกลาง พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าซงหนู (Xiongnu) และเผ่าตูเจวี๋ย (Tujue) ซึ่งเคยมีอิทธิพลในบริเวณที่ราบสูงมองโกเลียและทะเลทรายทากลามากัน ในช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์ได้สถาปนาอาณาจักรของตนเองที่เรียกว่า "อุยกูร์คานาเต" (Uyghur Khaganate) ซึ่งปกครองพื้นที่กว้างขวางและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอุยกูร์ล่มสลายในศตวรรษที่ 9 หลังจากถูกกองกำลังคีร์กีซโจมตี ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากต้องอพยพลงใต้สู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือ "เขตปกครองตนเองซินเจียง" ของจีน หลังจากการอพยพ ชาวอุยกูร์ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใน "ซินเจียง" และกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม พวกเขาค้าขายกับชาวเปอร์เซีย อาหรับ และจีน ทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม ในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวอุยกูร์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามที่แพร่หลายแทนที่ศาสนาเทียนไถและศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของอุยกูร์เริ่มแยกออกจากวัฒนธรรมของจีนและกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง โดยมีภาษาอุยกูร์ที่ใช้ตัวอักษรอาหรับและมีวรรณกรรม ศิลปะ และดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ดินแดนซินเจียง หรือชื่อเต็มว่า "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์" ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร และเป็นจุดเชื่อมต่อสsexy เกมส์ำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปี มีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู ในปี 1759 ราชวงศ์ชิงได้เข้ายึดครองซินเจียงและกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีน การปกครองของจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างหลวม ๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนเริ่มใช้นโยบายรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสาธารณรัฐ ชาวอุยกูร์เคยประกาศตั้งรัฐอิสระของตนเอง 2 ครั้ง ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกีตะวันออก ครั้งที่หนึ่งในปี 1933 และ ครั้งที่สองในปี 1944 อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รัฐ ถูกกองทัพจีนเข้าปราบปราม ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและได้ผนวกซินเจียงเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างสมบูรณ์ โดยกำหนดให้เป็น "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์" ซึ่งแม้จะมีสถานะปกครองตนเอง แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง แม้ซินเจียงจะถูกกำหนดให้เป็น "เขตปกครองตนเอง" แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลจีนมีการควบคุมพื้นที่นี้อย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการก่อการร้ายหลายครั้ง ซึ่งจีนมองว่ามีชาวอุยกูร์หัวรุนแรงเป็นผู้กระทำ ยุคใหม่ คำพูดในป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาของอุยกูร์และจีน ยุคใหม่ คำพูดในป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาของอุยกูร์และจีน หนึ่งในนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวอุยกูร์มากที่สุด คือการส่งเสริมให้ชาวฮั่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของจีน อพยพเข้ามาในซินเจียงผ่านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของรัฐบาลจีน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สัดส่วนประชากรของชาวฮั่นในซินเจียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เคยเป็นชนกลุ่มน้อยได้กลายเป็นกลุ่มประชากรหลักในหลายเมืองใหญ่ เช่น อูรูมชีและคัชการ์ ทำให้ชาวอุยกูร์ดั้งเดิมเริ่มสูญเสียอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมของตน นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการควบคุมประชากรในหมู่ชาวอุยกูร์ เช่น การทำหมันและการคุมกำเนิดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้หญิงชาวอุยกูร์ ซึ่งทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่า จีนกำลังพยายามลดจำนวนประชากรของชาวอุยกูร์ในระยะยาว นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรแล้ว รัฐบาลจีนยังดำเนินนโยบายควบคุมศาสนาอย่างเข้มงวด โดยจำกัดกิจกรรมทางศาสนา เช่น ห้ามเยาวชนเรียนศาสนาอิสลาม ห้ามถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และมีการควบคุมเนื้อหาของคุตบะห์ (คำเทศนาในศาสนาอิสลาม) ในมัสยิด การกวาดล้างวัฒนธรรมอุยกูร์ยังรวมถึงการรื้อถอนมัสยิดบางแห่งและการควบคุมการใช้ภาษาอุยกูร์ในระบบการศึกษา การประท้วงจีน การประท้วงจีน หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลในระดับนานาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ของชาวอุยกูร์คือ ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ ใน "ค่ายปรับทัศนคติ" ซึ่งเชื่อว่ามีชาวอุยกูร์มากกว่า 1,000,000 คนถูกควบคุมตัว รัฐบาลจีนระบุว่าค่ายเหล่านี้เป็น "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์พัฒนาทักษะในการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยจากซินเจียงให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป โดยอ้างว่าผู้ถูกกักขังต้องเผชิญกับการล้างสมอง การทรมาน และการบังคับใช้แรงงาน นอกจากการควบคุมตัวแล้ว รัฐบาลจีนยังมีการสอดส่องชาวอุยกูร์ที่อยู่ภายนอกค่ายอย่างเข้มงวด เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ระบบตรวจสอบการสื่อสาร และด่านตรวจที่แพร่หลาย เรียกว่าทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์เต็มไปด้วยการถูกติดตามและควบคุม การเรียกร้องให้จีนปิดค่ายกักกัน การเรียกร้องให้จีนปิดค่ายกักกัน บทความจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) มีหลักฐานว่า แรงงานชาวอุยกูร์จำนวนมากถูกส่งไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ ทั่วประเทศจีนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม หลายบริษัทข้ามชาติถูกตั้งคำถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฝ้ายและสิ่งทอ เนื่องจากซินเจียงเป็นแหล่งผลิตฝ้ายรายใหญ่ของโลก สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้า ที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับจากซินเจียง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานในจีน ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและแรงงาน การปราบปรามชาวอุยกูร์ในซินเจียงได้รับความสนใจจากนานาชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2021 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าการกระทำของจีนในซินเจียงเข้าข่าย "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม" ขณะที่หลายประเทศในยุโรปและองค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้มีการสอบสวนและคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมด โดยยืนยันว่าค่ายกักกันเป็นเพียง "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์มีงานทำและป้องกันการก่อการร้าย จีนยังได้พยายามควบคุมการสื่อสารเกี่ยวกับซินเจียงในระดับนานาชาติ เช่น การกดดันบริษัทต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของตน และการใช้สื่อของรัฐเผยแพร่ข้อมูลเพื่อแก้ต่างให้กับรัฐบาล ความตอนหนึ่งในเอกสาร 131 หน้าที่คณะผู้แทนจีนประจำสหประชาชาติ ได้ตอบโต้คำกล่าวหาของหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเมื่อปี 2022 วิถีชีวิตคนอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียง วิถีชีวิตคนอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียง ประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ศาสนา และการเมืองในซินเจียง พวกเขามีรากเหง้ามายาวนานในเอเชียกลางและเคยมีอาณาจักรของตนเอง ก่อนจะถูกรวมเข้ากับจีนและต้องเผชิญกับนโยบายที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของพวกเขา และสถานการณ์ในซินเจียงยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตก และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคตอันใกล้ ที่มา : www.cfr.org, www.hrw.org, www.bbc.com อ่านข่าวอื่น : กสม.ส่งหนังสือด่วนถึงนายกฯ ชง 4 ข้อทบทวนส่งอุยกูร์กลับประเทศ ผบ.ตร.อ้างส่งตัวอุยกูร์เป็นเรื่องความมั่นคง ยังไม่ขอให้รายละเอียด "รังสิมันต์" จี้นายกฯ แจง "ตม.ส่งอุยกูร์ไปไหน" "กัณวีร์" จี้ "นายกฯ" ตอบคำถามปมส่ง 48 อุยกูร์กลับจีน ยื่นคำร้องขอศาลไต่สวนฉุกเฉินปมส่ง 48 ชาวอุยกูร์กลับจีน
วันนี้ (17 มี.ค.2568) รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก มหาวิทยา
กรณีเจ้าหน้าที่ชุดดับไฟป่า จ.นครสวรรค์ ถอนกำลังลงเขา ยกเลิกภารกิจหลังพบในพื้นที่มี "ปืนผูก" ของพรานล
วันนี้ (17 พ.ค.2565) เพจเฟซบุ๊ก ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ชมรมขอประกาศปิด
ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าเร่ร่อนในแถบเอเชียกลางที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าตุรกีโบราณ ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบเอเชียกลาง พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าซงหนู (Xiongnu) และเผ่าตูเจวี๋ย (Tujue) ซึ่งเคยมีอิทธิพลในบริเวณที่ราบสูงมองโกเลียและทะเลทรายทากลามากัน ในช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์ได้สถาปนาอาณาจักรของตนเองที่เรียกว่า "อุยกูร์คานาเต" (Uyghur Khaganate) ซึ่งปกครองพื้นที่กว้างขวางและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอุยกูร์ล่มสลายในศตวรรษที่ 9 หลังจากถูกกองกำลังคีร์กีซโจมตี ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากต้องอพยพลงใต้สู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือ "เขตปกครองตนเองซินเจียง" ของจีน หลังจากการอพยพ ชาวอุยกูร์ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใน "ซินเจียง" และกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม พวกเขาค้าขายกับชาวเปอร์เซีย อาหรับ และจีน ทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม ในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวอุยกูร์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามที่แพร่หลายแทนที่ศาสนาเทียนไถและศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของอุยกูร์เริ่มแยกออกจากวัฒนธรรมของจีนและกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง โดยมีภาษาอุยกูร์ที่ใช้ตัวอักษรอาหรับและมีวรรณกรรม ศิลปะ และดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ดินแดนซินเจียง หรือชื่อเต็มว่า "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์" ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร และเป็นจุดเชื่อมต่อสsexy เกมส์ำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปี มีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู ในปี 1759 ราชวงศ์ชิงได้เข้ายึดครองซินเจียงและกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีน การปกครองของจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างหลวม ๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนเริ่มใช้นโยบายรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสาธารณรัฐ ชาวอุยกูร์เคยประกาศตั้งรัฐอิสระของตนเอง 2 ครั้ง ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกีตะวันออก ครั้งที่หนึ่งในปี 1933 และ ครั้งที่สองในปี 1944 อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รัฐ ถูกกองทัพจีนเข้าปราบปราม ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและได้ผนวกซินเจียงเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างสมบูรณ์ โดยกำหนดให้เป็น "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์" ซึ่งแม้จะมีสถานะปกครองตนเอง แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง แม้ซินเจียงจะถูกกำหนดให้เป็น "เขตปกครองตนเอง" แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลจีนมีการควบคุมพื้นที่นี้อย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการก่อการร้ายหลายครั้ง ซึ่งจีนมองว่ามีชาวอุยกูร์หัวรุนแรงเป็นผู้กระทำ ยุคใหม่ คำพูดในป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาของอุยกูร์และจีน ยุคใหม่ คำพูดในป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาของอุยกูร์และจีน หนึ่งในนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวอุยกูร์มากที่สุด คือการส่งเสริมให้ชาวฮั่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของจีน อพยพเข้ามาในซินเจียงผ่านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของรัฐบาลจีน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สัดส่วนประชากรของชาวฮั่นในซินเจียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เคยเป็นชนกลุ่มน้อยได้กลายเป็นกลุ่มประชากรหลักในหลายเมืองใหญ่ เช่น อูรูมชีและคัชการ์ ทำให้ชาวอุยกูร์ดั้งเดิมเริ่มสูญเสียอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมของตน นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการควบคุมประชากรในหมู่ชาวอุยกูร์ เช่น การทำหมันและการคุมกำเนิดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้หญิงชาวอุยกูร์ ซึ่งทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่า จีนกำลังพยายามลดจำนวนประชากรของชาวอุยกูร์ในระยะยาว นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรแล้ว รัฐบาลจีนยังดำเนินนโยบายควบคุมศาสนาอย่างเข้มงวด โดยจำกัดกิจกรรมทางศาสนา เช่น ห้ามเยาวชนเรียนศาสนาอิสลาม ห้ามถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และมีการควบคุมเนื้อหาของคุตบะห์ (คำเทศนาในศาสนาอิสลาม) ในมัสยิด การกวาดล้างวัฒนธรรมอุยกูร์ยังรวมถึงการรื้อถอนมัสยิดบางแห่งและการควบคุมการใช้ภาษาอุยกูร์ในระบบการศึกษา การประท้วงจีน การประท้วงจีน หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลในระดับนานาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ของชาวอุยกูร์คือ ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ ใน "ค่ายปรับทัศนคติ" ซึ่งเชื่อว่ามีชาวอุยกูร์มากกว่า 1,000,000 คนถูกควบคุมตัว รัฐบาลจีนระบุว่าค่ายเหล่านี้เป็น "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์พัฒนาทักษะในการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยจากซินเจียงให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป โดยอ้างว่าผู้ถูกกักขังต้องเผชิญกับการล้างสมอง การทรมาน และการบังคับใช้แรงงาน นอกจากการควบคุมตัวแล้ว รัฐบาลจีนยังมีการสอดส่องชาวอุยกูร์ที่อยู่ภายนอกค่ายอย่างเข้มงวด เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ระบบตรวจสอบการสื่อสาร และด่านตรวจที่แพร่หลาย เรียกว่าทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์เต็มไปด้วยการถูกติดตามและควบคุม การเรียกร้องให้จีนปิดค่ายกักกัน การเรียกร้องให้จีนปิดค่ายกักกัน บทความจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) มีหลักฐานว่า แรงงานชาวอุยกูร์จำนวนมากถูกส่งไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ ทั่วประเทศจีนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม หลายบริษัทข้ามชาติถูกตั้งคำถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฝ้ายและสิ่งทอ เนื่องจากซินเจียงเป็นแหล่งผลิตฝ้ายรายใหญ่ของโลก สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้า ที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับจากซินเจียง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานในจีน ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและแรงงาน การปราบปรามชาวอุยกูร์ในซินเจียงได้รับความสนใจจากนานาชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2021 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าการกระทำของจีนในซินเจียงเข้าข่าย "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม" ขณะที่หลายประเทศในยุโรปและองค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้มีการสอบสวนและคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมด โดยยืนยันว่าค่ายกักกันเป็นเพียง "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์มีงานทำและป้องกันการก่อการร้าย จีนยังได้พยายามควบคุมการสื่อสารเกี่ยวกับซินเจียงในระดับนานาชาติ เช่น การกดดันบริษัทต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของตน และการใช้สื่อของรัฐเผยแพร่ข้อมูลเพื่อแก้ต่างให้กับรัฐบาล ความตอนหนึ่งในเอกสาร 131 หน้าที่คณะผู้แทนจีนประจำสหประชาชาติ ได้ตอบโต้คำกล่าวหาของหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเมื่อปี 2022 วิถีชีวิตคนอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียง วิถีชีวิตคนอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียง ประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ศาสนา และการเมืองในซินเจียง พวกเขามีรากเหง้ามายาวนานในเอเชียกลางและเคยมีอาณาจักรของตนเอง ก่อนจะถูกรวมเข้ากับจีนและต้องเผชิญกับนโยบายที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของพวกเขา และสถานการณ์ในซินเจียงยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตก และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคตอันใกล้ ที่มา : www.cfr.org, www.hrw.org, www.bbc.com อ่านข่าวอื่น : กสม.ส่งหนังสือด่วนถึงนายกฯ ชง 4 ข้อทบทวนส่งอุยกูร์กลับประเทศ ผบ.ตร.อ้างส่งตัวอุยกูร์เป็นเรื่องความมั่นคง ยังไม่ขอให้รายละเอียด "รังสิมันต์" จี้นายกฯ แจง "ตม.ส่งอุยกูร์ไปไหน" "กัณวีร์" จี้ "นายกฯ" ตอบคำถามปมส่ง 48 อุยกูร์กลับจีน ยื่นคำร้องขอศาลไต่สวนฉุกเฉินปมส่ง 48 ชาวอุยกูร์กลับจีน
ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าเร่ร่อนในแถบเอเชียกลางที่มีรากเหง้ามา