วันนี้ (6 ก.ย.2567) บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐมน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกยุคใหม่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูกพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมของแต่ละประเทศในการรับมือ ต้นทางคือการวางแ
วันนี้ (7 มี.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบร่างคล้ายผู้หญิงถูกฆาตกรรม จุดที่พบอยู่ในบ่อน้ำสวนทุเรียนแห่งหนึ่ง ต.กองดิน อ.แกลง จ.ระยอง จุดเกิดเหตุเป็นลักษณะบ่อขุด สภาพศพลอยอยู่ในบ่อ ลักษณะคล้ายกับผู้ห
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกยุคใหม่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูกพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมของแต่ละประเทศในการรับมือ ต้นทางคือการวางแผนด้านอนาคตระบบการศึกษา "Digital Classroom" รูปแบบการศึกษาใหม่ที่ "กรุงเทพมหานคร" ผลักดันให้โรงเรียนเข้าถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นำระบบอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์พกพา (Chromebook) มาพัฒนาห้องเรียนให้เป็นดิจิทัล เปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนแบบเน้นบรรยาย (Lecture-based) มาเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิบัติ (Active-based) ผ่าน Google Workspace for Education "รายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น" เดินทางมาที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ เขตบางเขน โรงเรียนนำร่อง Digital Classroom ที่รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร "ศานนท์ หวังสร้างบุญ" ได้พามาดูการเรียนแบบ Digital Classroom ช่วยให้เด็กพัฒนาได้ดีขึ้นหรือไม่ ? โรงเรียนนี้ถือเป็นห้องทดลองหากสำเร็จจะสามารถกระจายไปในโรงเรียนใน กทม. และทั่วประเทศได้อย่างไร รองผู้ว่า กทม. ให้เหตุผลที่เลือกโรงเรียนไทยนิยมศึกษา เนื่องด้วยเป็นโรงเรียนขนาดกลาง ที่มีห้องเรียนที่ใหญ่พอ มีหลายชั้นเรียน จะได้เปรียบเทียบได้ว่าห้องที่ได้ทดลองกับห้องที่ไม่ทดลอง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร "ถ้าเราพูดเรื่องการศึกษามันมีหลายปัจจัย แต่หัวใจของมัน คือ เราไม่สามารถพัฒนาได้เร็ว ถ้าเราต้องมาดูเรื่องของคุณครู พัฒนาครูแต่ละคน แต่ถ้าเราเอาเทคโนโลยีมาช่วยคุณครู พัฒนาครูแต่ละคน แต่ถ้าเราเอาเทคโนโลยีมาช่วยครูมันจะทำให้การศึกษาพัฒนาเร็วขึ้น" สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ใช้งบประมาณในการลงทุนการเรียนแบบ Digital Classroom ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี ในการที่ครอบคลุมได้ทั้งหมด ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นใช้โอกาสช่วงสถานการณ์โควิด-19 ด้วยงบลงทุนให้มีการศึกษาผ่านออนไลน์ สั่งงาน สั่งการบ้าน ผ่านแล็ปท็อป จากเดิมที่ครูต้องคอยสอน คนเดียว ทำให้การเรียนการสอนง่ายขึ้นเข้าถึงนักเรียนได้ง่ายกว่า ส่วนในกรุงเทพมหานคร เริ่มได้ประมาณปีครึ่งในการทดลองใช้ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นข้อดีข้อเสียและการมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด จากการประเมินผลการทดลองมาปีกว่า สิ่งแรกที่เห็น คือ เด็กมีการเรียนร่วม มีทั้งเด็กเก่ง เด็กพิเศษ แต่อยู่กลุ่มเดียวกัน เห็นการช่วยกันเรียนมากขึ้น ซึ่งตัวเด็กเองก็ไม่ต้องรอครูอย่างเดียว โดยเฉพาะเด็กพิเศษ อยากมาเรียนมากขึ้น เด็กดื้อที่ไม่ค่อยชอบเรียน ก็อยากที่จะมาโรงเรียนเร็วขึ้น เพราะสนุก โดยที่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเด็กจะไปเข้าเว็บที่ไม่เหมาะสม เนื่องด้วยมีการจำกัดให้เข้าได้เฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้อง อีกทั้งการนำไปใช้ของนักเรียน ครูก็สามารถที่จะดูได้ว่าเด็กเอาโน๊ตบุ๊กไปใช้อะไรบ้าง "ใครที่ไปเร็วก็สามารถที่จะเรียนได้เร็วกว่าเพื่อน ใครที่ไปช้าก็สามารถกลับมาทบทวนหน้าที่เขายังไม่เข้าใจได้ ตัวนี้เป็นอีกหัวใจที่เราเห็น และสิ่งที่สะท้อนเลยคือพวกวิชาคำนวณดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะว่าพวกวิชาที่คำนวณหัวใจของslot ฝาก 10 บาท ฟรี 90 บาทมันคือเด็กสอบก็จริง แต่ปกติเวลาสอบ จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องกลับมา ทำให้ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน และต้องแก้อย่างไร แต่พอการเรียนเป็นแบบ Digital Classroom เขาสามารถกลับไปทวนซ้ำได้ ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น" สอดคล้องกับครูรุ่นใหม่ ๆ มีการตอบสนองดีมาก เขามีสื่อฟรีที่เป็นออนไลน์ แต่ที่ผ่านมาไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือมาใช้สอน แต่ว่าหัวใจจริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องอุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างเดียวการออก แบบการสอนจะต้องเน้นให้เกิดการตั้งคำถาม ให้เด็กสงสัย ซึ่งถือเป็นจุดเน้นทางการศึกษา 3 คำ "เอ๊ะ อ๋อ โอเค" ฉะนั้นครูต้องออกแบบการเรียนการสอนให้เด็กเอ๊ะ เพื่อให้เด็กลงมือ แทนที่จะได้แค่การท่องจำ ด้วยข้อจำกัดงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหนึ่งปีครึ่งได้มีการทดลอง 1 ห้องเรียนเพื่อดูผลลัพธ์ โดยมีบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาดูแลในเรื่องของการติดตั้งโปรแกรม และการเข้ามาช่วยฝึกครู จากนั้นได้มีการขยายผลด้วยการขอรับบริจาคคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้แล้วจากประชาชน จากการคำนวณจำนวนเด็กตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประมาณ 130,000 คน ซึ่งปัจจุบันได้คอมพิวเตอร์มาแล้วประมาณ 2,000 เครื่อง ใช้ใน 6 โรงเรียน ส่วนงบประมาณของ กทม. ตอนนี้ยังไม่มีให้ซื้อ แต่ได้มีการใส่ไว้ในร่างพระราชบัญญัติปีหน้า คิดว่าจะผลักดันสภากรุงเทพมหานครให้เห็นด้วย ถามว่ามีแรงจูงใจอย่างไรให้ครู ไม่ใช่แค่เงินเดือน - สวัสดิการเท่าเดิม ต้องตอบว่า หากครูต้องการเติบโตทางอาชีพจะต้องทำวิทยฐานะ แบ่งออกเป็น 2 หมวดใหญ่ ๆ หมวดแรกสมรรถนะของผู้เรียนต้องเก่งขึ้น แบบสองที่ยากมากคือ ผลงานทางวิชาการ ต้องมีงานวิจัย หากมองในมุมของความเป็นจริงเปรียบเสมือนการเอาครูออกจากห้องเรียน เพราะถ้าครูสอนจะไม่มีผลงานทางวิชาการไปสู้คนอื่น ปัจจุบันจึงได้เปลี่ยนใหม่เพื่อให้สอดรับกับสมัยมากขึ้น คือ ใครที่ถนัดผลงานทางวิชาการก็ยังทำได้อยู่ แต่หากใครมาทางด้านพัฒนาทักษะ Digital Classroom สามารถเอาผลงานการออกแบบการสอน เนื้อหาการสอน ผลสัมฤทธิ์ สามารถเอามาผ่านวิทยฐานะได้เช่นกัน "ที่ผ่านมามีครูแค่ 6 โรงเรียนเท่านั้นที่ใช้ ตอนนี้ยังเปิดให้เลือกอยู่ เพราะต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ และครูหลายคนก็อาจจะไม่ถนัดในเรื่องนี้" ..ถ้าถามว่ามองเป้าหมายอย่างไร…? "รองผู้ว่า กทม." คาดหวังให้นักเรียนระดับชั้น ป.4 - ม.3 เท่าทันเทคโนโลยี มีสมรรถนะเพียงพอในการนำไปต่อยอด หรือสกิลในอนาคตได้ แต่สิ่งสำคัญจะต้องเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบใหม่ รวมถึงหลักสูตรที่ล้าสมัย เนื่องด้วยทุกวันนี้นักเรียนต้องเรียนเยอะมากประมาณ 1,200 ชั่วโมง ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เปลี่ยนหลักสูตรไปแล้ว 34 โรงเรียน ลดเหลือ 800 ชั่วโมง นักเรียนเลิกบ่ายโมงครึ่ง ที่เหลือเขาสามารถมีวิชาที่เป็นบูรณาการได้มากขึ้น ..ส่วนคำถามว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี..? ซึ่งในตำแหน่ง "รองผู้ว่า กทม." เหลืออีก 2 ปี แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ก็เหมือนการปูพื้นฐานไว้ให้สำหรับทีมต่อไป โดยปีแรกตั้งเป้าไว้ 11 โรงเรียน สามารถทำได้ 6 โรงเรียน ดังนั้นหากทำได้อยากจะขยายไปอีก 100 โรงเรียนในปีต่อไป และปีสุดท้ายให้ครบ 437 โรงเรียน ขณะที่ก็ยังต้องเร่งตามให้ทันในเรื่องของเทคโนโลยี AI ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในทุกด้าน เบื้องต้นก็คิดว่าจะเอา AI มาช่วยสอนในบางวิชา เพื่อสร้างความตื่นเต้นกระตือรือร้นให้กับเด็ก "ผมเชื่อว่าการที่เราช้าในอดีต ไม่จำเป็นเราจะช้าต่อไปได้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้เท่ากับคนรุ่นก่อน ๆ เพราะผมว่าหัวใจของเมือง คือ การทำให้คนในเมืองเก่งขึ้น เมืองไม่มีทางจะดี ถ้าคนในเมืองยังไม่เก่ง ไม่ต้องไปฝันเลยว่าเมืองจะเก่ง การจะทำให้คนเก่ง ต้องทำให้รุ่นลูก เก่งกว่ารุ่นพ่อแม่เขาให้ได้" ถามว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ รองผู้ว่า กทม. อธิบายถึงหลายงานวิจัย คนที่จนที่สุด เพื่อศึกษาว่าจะหลุดพ้นความยากจนจะต้องใช้กี่รุ่น ในประเทศโออีซีดี (38 ประเทศทั่วโลกที่มีรายได้สูง และมี ดัชนีการพัฒนาคุณภาพมนุษย์ อยู่ในระดับสูงมาก) เฉลี่ย 4.5 รุ่น แปลว่าต้องใช้เกือบ ๆ 5 รุ่นในครอบครัวที่จะหลุดพ้นความยากจน ในขณะที่ประเทศไทย หลายวิจัยบอกว่า 7- 11 รุ่น หมายความว่า หากในตอนนี้เราเกิดในครอบครัวที่จน เราอาจจะต้องใช้อีก 11 รุ่น ในการหลุดพ้น ฉะนั้นหัวใจของการศึกษา จะทำอย่างไรให้เด็กหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งตอนนี้มี AI มีเทคโนโลยี จะทำให้ความหลุดพ้นความยากจนแบบก้าวกระโดดได้ โดยไม่ต้องถึง 11 รุ่น ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่จะต้องทำให้เด็กเก่งกว่าพ่อแม่เขา "สุทธิชัย หยุ่น" ยังได้พูดคุยกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 ที่ได้มีโอกาสทดลองในห้อง เรียน Digital Classroom ในช่วงระยะเวลากว่า 1 ปี ที่มีความคิดเห็นตรงกันว่า การใช้คอมพิวเตอร์เรียนหนังสือ ทำให้มีความสนุก ตื่นเต้น มีความกระตือรือร้นที่อยากจะมาโรงเรียน สิ่งสำคัญคือเรียนเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะในวิชาคำนวณ และอังกฤษ เนื่องจากสามารถทบทวนในสิ่งที่ไม่เข้าใจได้ดีขึ้นมากกว่าการเรียนแบบท่องจำ โดยวิชาคณิตศาสตร์ จะมีช่องที่สอนและอธิบายให้ฟัง มีหลายวิธีคิดหลายแบบที่ทำให้เข้าใจมากขึ้น ก็ทำให้อาจารย์ต้องปรับตัวเหมือนกัน รองผู้ว่า กทม. ได้ให้อาจารย์เก็บคะแนนรวบรวมวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การคำนวณ ผลลัพธ์พบว่าคะแนนของนักเรียนขึ้นอย่างก้าวกระโดด เฉลี่ย 28% แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วยในสิ่งที่หลายคนยังมีความกังวลว่าจะทำให้เด็กๆ เขียนหนังสือไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนของระบบการศึกษาที่ทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น "พอผมได้ยินเด็ก ๆ และครู บอกว่าเรียนทดลองแบบดิจิทัลคลาสรูม คะแนนดีขึ้น ความสน ใจมากขึ้น และทุกคนดูสนุกสนาน ผมเชื่อว่า นี่คือจุดที่สำคัญมาก ที่จะเปลี่ยนระบบการศึกษาใน กทม." พบกับรายการ: คุยนอกกรอบกับสุทธิชัย หยุ่น ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 21.30-22.00 น. อ่านข่าวเพิ่ม : "ดิจิทัลวอลเล็ต" รอรัฐบาลใหม่ตัดสิน-อย่าลบแอปทางรัฐ "เศรษฐา" พ้นนายกฯ ประชาชนห่วงเงินดิจิทัลวอลเล็ตสะดุด
วันนี้ (9 ม.ค.2567) ความคืบหน้ากรณีเหตุหนุ่ม 35 ปี ก่อเหตุฆาตกรรมพ่อและน้องสาว ยัดกล่องเหล็กถ่วงน้ำใ
วันนี้ (27 พ.ค.2568) พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ระดมกำลังพลจิตอาสาพระรา
กรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน ของวุฒิสภา ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน เป
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกยุคใหม่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูกพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมของแต่ละประเทศในการรับมือ ต้นทางคือการวางแผนด้านอนาคตระบบการศึกษา "Digital Classroom" รูปแบบการศึกษาใหม่ที่ "กรุงเทพมหานคร" ผลักดันให้โรงเรียนเข้าถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นำระบบอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์พกพา (Chromebook) มาพัฒนาห้องเรียนให้เป็นดิจิทัล เปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนแบบเน้นบรรยาย (Lecture-based) มาเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิบัติ (Active-based) ผ่าน Google Workspace for Education "รายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น" เดินทางมาที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ เขตบางเขน โรงเรียนนำร่อง Digital Classroom ที่รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร "ศานนท์ หวังสร้างบุญ" ได้พามาดูการเรียนแบบ Digital Classroom ช่วยให้เด็กพัฒนาได้ดีขึ้นหรือไม่ ? โรงเรียนนี้ถือเป็นห้องทดลองหากสำเร็จจะสามารถกระจายไปในโรงเรียนใน กทม. และทั่วประเทศได้อย่างไร รองผู้ว่า กทม. ให้เหตุผลที่เลือกโรงเรียนไทยนิยมศึกษา เนื่องด้วยเป็นโรงเรียนขนาดกลาง ที่มีห้องเรียนที่ใหญ่พอ มีหลายชั้นเรียน จะได้เปรียบเทียบได้ว่าห้องที่ได้ทดลองกับห้องที่ไม่ทดลอง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร "ถ้าเราพูดเรื่องการศึกษามันมีหลายปัจจัย แต่หัวใจของมัน คือ เราไม่สามารถพัฒนาได้เร็ว ถ้าเราต้องมาดูเรื่องของคุณครู พัฒนาครูแต่ละคน แต่ถ้าเราเอาเทคโนโลยีมาช่วยคุณครู พัฒนาครูแต่ละคน แต่ถ้าเราเอาเทคโนโลยีมาช่วยครูมันจะทำให้การศึกษาพัฒนาเร็วขึ้น" สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ใช้งบประมาณในการลงทุนการเรียนแบบ Digital Classroom ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี ในการที่ครอบคลุมได้ทั้งหมด ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นใช้โอกาสช่วงสถานการณ์โควิด-19 ด้วยงบลงทุนให้มีการศึกษาผ่านออนไลน์ สั่งงาน สั่งการบ้าน ผ่านแล็ปท็อป จากเดิมที่ครูต้องคอยสอน คนเดียว ทำให้การเรียนการสอนง่ายขึ้นเข้าถึงนักเรียนได้ง่ายกว่า ส่วนในกรุงเทพมหานคร เริ่มได้ประมาณปีครึ่งในการทดลองใช้ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นข้อดีข้อเสียและการมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด จากการประเมินผลการทดลองมาปีกว่า สิ่งแรกที่เห็น คือ เด็กมีการเรียนร่วม มีทั้งเด็กเก่ง เด็กพิเศษ แต่อยู่กลุ่มเดียวกัน เห็นการช่วยกันเรียนมากขึ้น ซึ่งตัวเด็กเองก็ไม่ต้องรอครูอย่างเดียว โดยเฉพาะเด็กพิเศษ อยากมาเรียนมากขึ้น เด็กดื้อที่ไม่ค่อยชอบเรียน ก็อยากที่จะมาโรงเรียนเร็วขึ้น เพราะสนุก โดยที่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเด็กจะไปเข้าเว็บที่ไม่เหมาะสม เนื่องด้วยมีการจำกัดให้เข้าได้เฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้อง อีกทั้งการนำไปใช้ของนักเรียน ครูก็สามารถที่จะดูได้ว่าเด็กเอาโน๊ตบุ๊กไปใช้อะไรบ้าง "ใครที่ไปเร็วก็สามารถที่จะเรียนได้เร็วกว่าเพื่อน ใครที่ไปช้าก็สามารถกลับมาทบทวนหน้าที่เขายังไม่เข้าใจได้ ตัวนี้เป็นอีกหัวใจที่เราเห็น และสิ่งที่สะท้อนเลยคือพวกวิชาคำนวณดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะว่าพวกวิชาที่คำนวณหัวใจของslot ฝาก 10 บาท ฟรี 90 บาทมันคือเด็กสอบก็จริง แต่ปกติเวลาสอบ จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องกลับมา ทำให้ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน และต้องแก้อย่างไร แต่พอการเรียนเป็นแบบ Digital Classroom เขาสามารถกลับไปทวนซ้ำได้ ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น" สอดคล้องกับครูรุ่นใหม่ ๆ มีการตอบสนองดีมาก เขามีสื่อฟรีที่เป็นออนไลน์ แต่ที่ผ่านมาไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือมาใช้สอน แต่ว่าหัวใจจริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องอุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างเดียวการออก แบบการสอนจะต้องเน้นให้เกิดการตั้งคำถาม ให้เด็กสงสัย ซึ่งถือเป็นจุดเน้นทางการศึกษา 3 คำ "เอ๊ะ อ๋อ โอเค" ฉะนั้นครูต้องออกแบบการเรียนการสอนให้เด็กเอ๊ะ เพื่อให้เด็กลงมือ แทนที่จะได้แค่การท่องจำ ด้วยข้อจำกัดงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหนึ่งปีครึ่งได้มีการทดลอง 1 ห้องเรียนเพื่อดูผลลัพธ์ โดยมีบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาดูแลในเรื่องของการติดตั้งโปรแกรม และการเข้ามาช่วยฝึกครู จากนั้นได้มีการขยายผลด้วยการขอรับบริจาคคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้แล้วจากประชาชน จากการคำนวณจำนวนเด็กตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประมาณ 130,000 คน ซึ่งปัจจุบันได้คอมพิวเตอร์มาแล้วประมาณ 2,000 เครื่อง ใช้ใน 6 โรงเรียน ส่วนงบประมาณของ กทม. ตอนนี้ยังไม่มีให้ซื้อ แต่ได้มีการใส่ไว้ในร่างพระราชบัญญัติปีหน้า คิดว่าจะผลักดันสภากรุงเทพมหานครให้เห็นด้วย ถามว่ามีแรงจูงใจอย่างไรให้ครู ไม่ใช่แค่เงินเดือน - สวัสดิการเท่าเดิม ต้องตอบว่า หากครูต้องการเติบโตทางอาชีพจะต้องทำวิทยฐานะ แบ่งออกเป็น 2 หมวดใหญ่ ๆ หมวดแรกสมรรถนะของผู้เรียนต้องเก่งขึ้น แบบสองที่ยากมากคือ ผลงานทางวิชาการ ต้องมีงานวิจัย หากมองในมุมของความเป็นจริงเปรียบเสมือนการเอาครูออกจากห้องเรียน เพราะถ้าครูสอนจะไม่มีผลงานทางวิชาการไปสู้คนอื่น ปัจจุบันจึงได้เปลี่ยนใหม่เพื่อให้สอดรับกับสมัยมากขึ้น คือ ใครที่ถนัดผลงานทางวิชาการก็ยังทำได้อยู่ แต่หากใครมาทางด้านพัฒนาทักษะ Digital Classroom สามารถเอาผลงานการออกแบบการสอน เนื้อหาการสอน ผลสัมฤทธิ์ สามารถเอามาผ่านวิทยฐานะได้เช่นกัน "ที่ผ่านมามีครูแค่ 6 โรงเรียนเท่านั้นที่ใช้ ตอนนี้ยังเปิดให้เลือกอยู่ เพราะต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ และครูหลายคนก็อาจจะไม่ถนัดในเรื่องนี้" ..ถ้าถามว่ามองเป้าหมายอย่างไร…? "รองผู้ว่า กทม." คาดหวังให้นักเรียนระดับชั้น ป.4 - ม.3 เท่าทันเทคโนโลยี มีสมรรถนะเพียงพอในการนำไปต่อยอด หรือสกิลในอนาคตได้ แต่สิ่งสำคัญจะต้องเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบใหม่ รวมถึงหลักสูตรที่ล้าสมัย เนื่องด้วยทุกวันนี้นักเรียนต้องเรียนเยอะมากประมาณ 1,200 ชั่วโมง ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เปลี่ยนหลักสูตรไปแล้ว 34 โรงเรียน ลดเหลือ 800 ชั่วโมง นักเรียนเลิกบ่ายโมงครึ่ง ที่เหลือเขาสามารถมีวิชาที่เป็นบูรณาการได้มากขึ้น ..ส่วนคำถามว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี..? ซึ่งในตำแหน่ง "รองผู้ว่า กทม." เหลืออีก 2 ปี แต่สิ่งที่ได้ทำไว้ก็เหมือนการปูพื้นฐานไว้ให้สำหรับทีมต่อไป โดยปีแรกตั้งเป้าไว้ 11 โรงเรียน สามารถทำได้ 6 โรงเรียน ดังนั้นหากทำได้อยากจะขยายไปอีก 100 โรงเรียนในปีต่อไป และปีสุดท้ายให้ครบ 437 โรงเรียน ขณะที่ก็ยังต้องเร่งตามให้ทันในเรื่องของเทคโนโลยี AI ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในทุกด้าน เบื้องต้นก็คิดว่าจะเอา AI มาช่วยสอนในบางวิชา เพื่อสร้างความตื่นเต้นกระตือรือร้นให้กับเด็ก "ผมเชื่อว่าการที่เราช้าในอดีต ไม่จำเป็นเราจะช้าต่อไปได้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้เท่ากับคนรุ่นก่อน ๆ เพราะผมว่าหัวใจของเมือง คือ การทำให้คนในเมืองเก่งขึ้น เมืองไม่มีทางจะดี ถ้าคนในเมืองยังไม่เก่ง ไม่ต้องไปฝันเลยว่าเมืองจะเก่ง การจะทำให้คนเก่ง ต้องทำให้รุ่นลูก เก่งกว่ารุ่นพ่อแม่เขาให้ได้" ถามว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ รองผู้ว่า กทม. อธิบายถึงหลายงานวิจัย คนที่จนที่สุด เพื่อศึกษาว่าจะหลุดพ้นความยากจนจะต้องใช้กี่รุ่น ในประเทศโออีซีดี (38 ประเทศทั่วโลกที่มีรายได้สูง และมี ดัชนีการพัฒนาคุณภาพมนุษย์ อยู่ในระดับสูงมาก) เฉลี่ย 4.5 รุ่น แปลว่าต้องใช้เกือบ ๆ 5 รุ่นในครอบครัวที่จะหลุดพ้นความยากจน ในขณะที่ประเทศไทย หลายวิจัยบอกว่า 7- 11 รุ่น หมายความว่า หากในตอนนี้เราเกิดในครอบครัวที่จน เราอาจจะต้องใช้อีก 11 รุ่น ในการหลุดพ้น ฉะนั้นหัวใจของการศึกษา จะทำอย่างไรให้เด็กหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งตอนนี้มี AI มีเทคโนโลยี จะทำให้ความหลุดพ้นความยากจนแบบก้าวกระโดดได้ โดยไม่ต้องถึง 11 รุ่น ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่จะต้องทำให้เด็กเก่งกว่าพ่อแม่เขา "สุทธิชัย หยุ่น" ยังได้พูดคุยกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 ที่ได้มีโอกาสทดลองในห้อง เรียน Digital Classroom ในช่วงระยะเวลากว่า 1 ปี ที่มีความคิดเห็นตรงกันว่า การใช้คอมพิวเตอร์เรียนหนังสือ ทำให้มีความสนุก ตื่นเต้น มีความกระตือรือร้นที่อยากจะมาโรงเรียน สิ่งสำคัญคือเรียนเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะในวิชาคำนวณ และอังกฤษ เนื่องจากสามารถทบทวนในสิ่งที่ไม่เข้าใจได้ดีขึ้นมากกว่าการเรียนแบบท่องจำ โดยวิชาคณิตศาสตร์ จะมีช่องที่สอนและอธิบายให้ฟัง มีหลายวิธีคิดหลายแบบที่ทำให้เข้าใจมากขึ้น ก็ทำให้อาจารย์ต้องปรับตัวเหมือนกัน รองผู้ว่า กทม. ได้ให้อาจารย์เก็บคะแนนรวบรวมวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การคำนวณ ผลลัพธ์พบว่าคะแนนของนักเรียนขึ้นอย่างก้าวกระโดด เฉลี่ย 28% แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วยในสิ่งที่หลายคนยังมีความกังวลว่าจะทำให้เด็กๆ เขียนหนังสือไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนของระบบการศึกษาที่ทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น "พอผมได้ยินเด็ก ๆ และครู บอกว่าเรียนทดลองแบบดิจิทัลคลาสรูม คะแนนดีขึ้น ความสน ใจมากขึ้น และทุกคนดูสนุกสนาน ผมเชื่อว่า นี่คือจุดที่สำคัญมาก ที่จะเปลี่ยนระบบการศึกษาใน กทม." พบกับรายการ: คุยนอกกรอบกับสุทธิชัย หยุ่น ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 21.30-22.00 น. อ่านข่าวเพิ่ม : "ดิจิทัลวอลเล็ต" รอรัฐบาลใหม่ตัดสิน-อย่าลบแอปทางรัฐ "เศรษฐา" พ้นนายกฯ ประชาชนห่วงเงินดิจิทัลวอลเล็ตสะดุด
กรณีเพจเฟซบุ๊ก Ultra-Trail Unseen Koh Chang ประกาศยกเลิกการจัดกิจกรรมวิ่ง UTKC2023 วิ่งเทรลเกาะช้าง