วานนี้ (8 มิ.ย.2564) อุดม แต้พานิช หรือ "โน้ส อุดม

วันที่ 25 ก.ย.2567 นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นำทีมแถลงข่าวกรณีบุกจับนายทรงกฤช อายุ 38 ปี นายสัตวแพทย์ เจ้าของคลินิครักษาสัตว์ในพื้นที่ อ.ท้ายเหมือง หลังได้รับแจ้งให้ช่วยเหล
จากเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น Part 1 เปิดคลิปพ่อทำร้ายลูกผ่านเฟซบุ๊ก ขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์ดัน #พ่อทำร้ายลูก ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ถึงความเหมาะสมในการใช้ความรุนแรงในครอบครัว (อ่า
จากเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น Part 1 เปิดคลิปพ่อทำร้ายลูกผ่านเฟซบุ๊ก ขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์ดัน #พ่อทำร้ายลูก ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ถึงความเหมาะสมในการใช้ความรุนแรงในครอบครัว (อ่านข่าวเพิ่มเติม : เพจดังเปิดคลิป #พ่อทำร้ายลูก โซเชียลวิจารณ์ดันแฮชแท็กติดเทรนด์) "ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์" หรือทนายแจม ทนายด้านสิทธิมนุษยชน เปิดเผยมุมมองด้านกฎหมายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ในอดีตที่ผ่านมาสังคมไทยมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเรื่องพ่อแม่เป็นเจ้าชีวิตของลูก เนื่องจากพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด ทำให้เกิดกฎหมายที่สอดคล้องกันหรือเรียกว่าคดีอุทลุม โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 บัญญัติว่า "ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้" จนกลายเป็นทางตันสำหรับลูกที่ถูกทำร้ายในครอบครัว แม้กฎหมายนี้จะใช้มาจนถึงปัจจุบัน แต่ท่ามกลางการเรียนรู้เรื่องสิทธิทางร่างกายและความเข้าใจในสังคมทำให้เกิดการผลักดันจนคลอดกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ดังกล่าว คือ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทําด้วยความรุนแรงในครอบครัว มาตรา 4 ผู้ใดกระทําการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทําความผิดฐานกระทําความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 26 ซึ่งผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัว เด็กที่เติบโตมาโดยมีพ่อแม่เป็นโลกทั้งใบก็ยังจำเป็นจะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อยู่ ทำให้เกิดคดีความมักเกิดการไกล่เกลี่ย เพื่อปรับพ่อแม่ให้พร้อมเลี้ยงลูกและให้เด็กยังสามารถอยู่กับครอบครัวได้ หรือหากพิจารณาแล้วพบว่าพ่อหรือแม่ที่ทำร้ายร่างกายลูกนั้นขาดคุณสมบัติในการเลี้ยงดู หน่วยงานกลางทั้งมูลนิธิต่าง ๆ หรือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะก้าวเข้ามาดูแลไปตามขั้นตอนทั้งการประสานไปอยู่กับญาติ หรือบางกรณีก็อาจมีการหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้ต่อไป สำหรับข้อกฎหมายที่มีบทลงโทษที่ชัดเจนอาจจะไม่ใช่คำตอบในระยะยาว "ทนายศศินันท์" ในฐานะคุณแม่ลูกสอง สะท้อนว่า การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต้องเริ่มต้นด้วยการปรับทัศนคติและมุมมอง โดยเฉพาะการปลูกฝังในเด็กเล็กว่า การใช้ความรุนแรงหรือการทำร้ายร่างกายไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันโรงเรียนก็ต้องสอนเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะสิทธิทางร่างกายให้เด็กได้รู้และเข้าใจว่า เมื่อถูกทำร้ายร่างกายไม่ใช่เรื่องปกติ และควรดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ ทนายศศินันท์ ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีในสังคมที่เยาวชนส่วนใหญ่เริ่มรู้และเข้าใจถึงสิทธิเนื้อตัวร่างกายของตัวเอง และพร้อsa bet66มจะต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองมากขึ้น ส่วนการเพิ่มโทษกรณีการทำร้ายร่างกายในครอบครัวนั้น ส่วนตัวยังมองว่าไม่ใช่ทางออก เพราะมีตัวอย่างให้เห็นกันในต่างประเทศว่าแม้โทษจะหนักแต่คดีอาชญากรรมก็ไม่ได้ลดน้อยลง
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวในงานเสวนา "คนไทยถาม นายกฯ เศ
เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2568 เว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
วันนี้ ( 5 ม.ค.2568 ) พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข
จากเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น Part 1 เปิดคลิปพ่อทำร้ายลูกผ่านเฟซบุ๊ก ขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์ดัน #พ่อทำร้ายลูก ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ถึงความเหมาะสมในการใช้ความรุนแรงในครอบครัว (อ่านข่าวเพิ่มเติม : เพจดังเปิดคลิป #พ่อทำร้ายลูก โซเชียลวิจารณ์ดันแฮชแท็กติดเทรนด์) "ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์" หรือทนายแจม ทนายด้านสิทธิมนุษยชน เปิดเผยมุมมองด้านกฎหมายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ในอดีตที่ผ่านมาสังคมไทยมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเรื่องพ่อแม่เป็นเจ้าชีวิตของลูก เนื่องจากพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด ทำให้เกิดกฎหมายที่สอดคล้องกันหรือเรียกว่าคดีอุทลุม โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 บัญญัติว่า "ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้" จนกลายเป็นทางตันสำหรับลูกที่ถูกทำร้ายในครอบครัว แม้กฎหมายนี้จะใช้มาจนถึงปัจจุบัน แต่ท่ามกลางการเรียนรู้เรื่องสิทธิทางร่างกายและความเข้าใจในสังคมทำให้เกิดการผลักดันจนคลอดกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ดังกล่าว คือ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทําด้วยความรุนแรงในครอบครัว มาตรา 4 ผู้ใดกระทําการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทําความผิดฐานกระทําความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 26 ซึ่งผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัว เด็กที่เติบโตมาโดยมีพ่อแม่เป็นโลกทั้งใบก็ยังจำเป็นจะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อยู่ ทำให้เกิดคดีความมักเกิดการไกล่เกลี่ย เพื่อปรับพ่อแม่ให้พร้อมเลี้ยงลูกและให้เด็กยังสามารถอยู่กับครอบครัวได้ หรือหากพิจารณาแล้วพบว่าพ่อหรือแม่ที่ทำร้ายร่างกายลูกนั้นขาดคุณสมบัติในการเลี้ยงดู หน่วยงานกลางทั้งมูลนิธิต่าง ๆ หรือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะก้าวเข้ามาดูแลไปตามขั้นตอนทั้งการประสานไปอยู่กับญาติ หรือบางกรณีก็อาจมีการหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้ต่อไป สำหรับข้อกฎหมายที่มีบทลงโทษที่ชัดเจนอาจจะไม่ใช่คำตอบในระยะยาว "ทนายศศินันท์" ในฐานะคุณแม่ลูกสอง สะท้อนว่า การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต้องเริ่มต้นด้วยการปรับทัศนคติและมุมมอง โดยเฉพาะการปลูกฝังในเด็กเล็กว่า การใช้ความรุนแรงหรือการทำร้ายร่างกายไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันโรงเรียนก็ต้องสอนเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะสิทธิทางร่างกายให้เด็กได้รู้และเข้าใจว่า เมื่อถูกทำร้ายร่างกายไม่ใช่เรื่องปกติ และควรดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ ทนายศศินันท์ ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีในสังคมที่เยาวชนส่วนใหญ่เริ่มรู้และเข้าใจถึงสิทธิเนื้อตัวร่างกายของตัวเอง และพร้อsa bet66มจะต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองมากขึ้น ส่วนการเพิ่มโทษกรณีการทำร้ายร่างกายในครอบครัวนั้น ส่วนตัวยังมองว่าไม่ใช่ทางออก เพราะมีตัวอย่างให้เห็นกันในต่างประเทศว่าแม้โทษจะหนักแต่คดีอาชญากรรมก็ไม่ได้ลดน้อยลง
วันนี้ (7 พ.ค.2567) สำนักข่าว BBC รายงานว่า มีผู้ต้องสงสัยมากกว่า 500 รายถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการต