วันนี้ (17 พ.ย.2564) ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สำคัญและเป็นที่สนใจ หนึ่งในนั้นเป็นเรื่อง ประมวลวิเคราะห์ บอล กั ล โช่ เซ เรี ย อา วัน นี้
กรณีกรมโรงงานอุตสาหกรรมนำเหล็กจากโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 6 ประเภททั้งเหล็กกลม และเหล็กข้ออ้อย 3 ยี่ห้อ จากการตรวจสอบเมื่อวานพบว่ามีเหล็ก 2 ขนาดที่ไม่ได้มาตรฐาน คือเหล็กไซส์
การประชุมร่วมระหว่างอัยการและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อหาแนวทางคดี ก่อนจะนำไปสู่ออกหมายจับ 3 ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) พ.อ.ชิตตู (Saw Chit Thu) หรือ พล.ต.หมวิเคราะห์ บอล กั ล โช่ เซ เรี ย อา วัน นี้่อง ชิตตู 2.พ.ท.โมเตทุน (Lieutenant Colonel Mote Thone) และ 3.พ.ต.ทิน วิน (Major Tin Win) ไม่ได้เป็นหนึ่งในยุทธการกดดัน “ล้าง” จีนเทา ในเมียนมา แต่ข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า คดีนี้ คือ คดีพิเศษที่ 304/2565 เป็นคดีค้างเก่าที่ต้องการทำให้ยุติ เนื่องจากมีการประสานงานจากทางการอินเดียให้ช่วยเหลือชาวอินเดีย 8 คนที่ถูกหลอกไปทำงานเป็น โรแมนซ์สแกรม หรือ แก๊งคอลเซนเตอร์ที่บ่อนเฮงเชง จ.เมียวดี ประเทศเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ต่อมาทางไทยได้ช่วยเหลือกลับมาได้อย่างปลอดภัย จนทั้งหมดได้ถูกส่งตัวกลับประเทศไปแล้ว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้หน่วยงานด้านความมั่นคง พบว่า เจ้าของบ่อนเฮงเชง รีสอร์ตแอนด์กาสิโน มีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2560 กับกองพลน้อยที่ 4 กองกำลัง BGF ที่มี พล.ต.ชิตตู เป็น ผบ.กองกำลัง และพฤติกรรมอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นที่มาของการแจ้งข้อหาค้ามนุษย์กับ พ.อ.ชิตตู และพรรคพวก แต่ข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาตินั้น ยังไม่มีแจ้ง เนื่องจากต้องขยายผลสอบสวน และประมวลพฤติกรรมทั้งหมดจากหน่วยงานที่เกี่ยวก่อน สำหรับกลุ่มผู้นำ BGF ที่ถูกดีเอสไอ เตรียมจะออกหมายจับ เบอร์ 1 คือ พล.ต.ชิตตู นอกจากจะเป็นขุนศึกชาวกะเหรี่ยงแล้ว ยังเป็นผู้ก่อตั้งและเลขาธิการของกองกำลังรักษาชายแดนกะเหรี่ยง/กะเหรี่ยง (BGF) และ กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่สังกัดกองทัพเมียนมา (Tatmadaw) ด้วยเช่นกัน โดยเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและอดีตประธานของ Chit Linn Myaing Group (CLM) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ครอบครัวของเขาบริหารร่วมกับ BGF และมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ในเมืองชเวโก๊กโก ( Shwe Kokko) ตั้งแต่ปี 2017 โดยเข้าร่วมกับ “เสอ จื้อเจียง” เจ้าของบริษัท ย่าไท่ (Yatai International Holding Group) เข้าไปพัฒนา Yatai New City ส่วนมือขวา พ.ท.โมเต ทุน รองเลขาธิการกองกำลังป้องกันชายแดน(BGF) และกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA)) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่สังกัดกองทัพเมียนมา (Tatmadaw) เขามีอำนาจเป็นพิเศษในเขตตอนใต้ของเขตเมียวดีที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วัน ก๊วก-กอย (14K) และ Dongmei Zone และยังเกี่ยวข้องกับโครงการ KK Park ซึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ และการฉ้อโกงทางออนไลน์ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ เช่นกัน ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า คดีนี้กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย คือ พล.ต.ชิตตู่ และ พ.ท.โมเต ทุน และ พ.ต.ทิน วิน ได้การใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการกระทำความผิดอาชญากรรมข้ามชาติ และมีคนไทย 2 คน เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ในข้อหาค้ามนุษย์ กักขังและให้ที่พักพิง แต่ขณะนี้ดีเอสไอ ยังไม่ได้ออกหมายจับ แต่ได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 ว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะดำเนินการต่อไปอย่างไร “คดีนี้ เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ดีเอสไอต้องหารือกับพนักงานอัยการตามขั้นตอน ..เรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้กดดัน แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่มีการกวาดล้างกลุ่มทุนจีนเทา และเป็นคดีค้างเก่าที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอนานเกือบ 3 ปีแล้วจึงอยากทำให้เสร็จ” รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุ มีข้อมูลระบุว่า สำหรับคนไทย 2 คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องและถูกแจ้งข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงนั้น มีสถานะเป็นกรรมการบริษัทและพนักงานบริษัท อยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง สำหรับชาวอินเดียที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์นั้น พบว่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2566 พบ มีชาวอินเดียถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอนเซนเตอร์ในกัมพูชากว่า 5,000 คน ในช่วงครึ่งปีแรกสามารถหลอกลวงเงินไปได้ถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือออกมา ระบุว่า ถูกหลอกลวงว่าจะให้ไปทำงานกรอกข้อมูล แต่กลับถูกจับไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ คนเหล่านี้จะถูกสั่งให้สร้างโปรไฟล์ในโซเซียลมีเดียเพื่อไปหลอกคนอินเดียอีกทอดหนึ่ง โดยมีการวางพล็อตบทพูดต่าง ๆ จะมีลักษณะคล้ายที่คนไทยพบเช่น มีพัสดุผิดกฎหมายในชื่อของเหยื่อ หรือเป็นตำรวจโทรหา หากใครทำยอดไม่ถึงเป้าก็จะถูกทำร้ายร่างกาย รัฐบาลอินเดียแถลงถึงความสำเร็จในการช่วยเหลือชาวอินเดียที่ถูกหลอกให้ไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ในกัมพูชา โดยรวมแล้วสามารถช่วยเหลือได้ 250 คน แต่ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ และเหยื่อที่ได้รับการช่วยเหลือให้ข้อมูลว่า ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเป็นชาวจีน และมีผู้ช่วยชาวมาเลเซียคอยแปลคำสั่งให้ ต่อมา ยังพบว่ามีชาวอินเดีย จำนวนไม่น้อย ได้ถูกหลอกให้เข้ามาทำงาน ในจ.เมียวดี ในพื้นที่ที่ พล.ต.หม่อง ชิตตู ดูแล โดยถูกบังคับให้เป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ และโรแมนซ์สแกม ตั้งแต่ปี 2565-ปัจจุบัน จนรัฐบาลอินเดียต้องประกาศเตือนประชาชนของตนเองให้ระวังการถูกหลอกลวง สำหรับการออกหมายจับ พล.ต.หม่อง ชิตตู นั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรเสีย ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน คงไม่เพลี่ยงพล้ำ เดินเข้ามาให้จับกุมแน่นอน แต่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า รายงานการสืบสวนสอบสวน พบว่า พล.ต.หม่อง ชิตตู มีพฤติกรรมมักเดินทางเข้า-ออก ระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลอาการป่วยจากโรคประจำตัว “การที่ถูกออกหมายจับจะทำให้บุคคลไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ อีกทั้งหมายจับจะมีผลให้เกิดการปัดกวาด ไม่ให้มีการสนับสนุนเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์อีกต่อไป ซึ่งเราหวังผลส่วนนี้ และหาก พล.ต.หม่อง ชิตตู เดินทางมาที่ประเทศไทยเมื่อใดก็จะถูกจับกุมตามหมายจับทันที” อธิบดีดีเอสไอ กล่าว ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า การออกหมายจับหม่อง ชิตตู เป็นเรื่องเก่า และมีการพาดพิงถึง หม่องชิตตู ในประเด็นเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และไม่ได้ออกหมายจับแค่คนเดียว แต่มีชาวต่างชาติคนอื่นด้วย "คดีนี้จะขยายไปยังคดีฟอกเงินด้วย ...เชื่อว่าการนำตัวหม่อง ชิตตู มาดำเนินคดีไม่ใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับผู้นำของทางเมียนมา เพราะรัฐบาลไทยมีความจริงใจอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่าขณะนี้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์" แม้การค้ามนุษย์ คอลเซนเตอร์ และฉ้อโกงออนไลน์ โรแมนซ์สแกม จะเป็นปัญหาความมั่นคงของทั่วโลก แต่ที่ชายแดนไทย-เมียนมา ถือว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงยิ่งกว่า และหากยังลูบหน้า-ปะจมูก คงยากจะแก้ไขปัญหา อ่านข่าว : สะเทือน "ล้างจีนเทา" เมียวดี งานหินกว่า "เล้าก์ก่าย" โมเดล "มั่นคง" ส่องชายแดนไทย-เมียนมา หลังตัดไฟ-อินเทอร์เน็ต เมียวดี
วันนี้ (16 มิ.ย.2565) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แ
วิเคราะห์ บอล กั ล โช่ เซ เรี ย อา วัน นี้
วันนี้ (17 พ.ย.2564) ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สำคัญและเป็นที่สนใจ หนึ่งในนั้นเป็นเรื่อง ประมวลวิเคราะห์ บอล กั ล โช่ เซ เรี ย อา วัน นี้
กรณีกรมโรงงานอุตสาหกรรมนำเหล็กจากโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 6 ประเภททั้งเหล็กกลม และเหล็กข้ออ้อย 3 ยี่ห้อ จากการตรวจสอบเมื่อวานพบว่ามีเหล็ก 2 ขนาดที่ไม่ได้มาตรฐาน คือเหล็กไซส์
การประชุมร่วมระหว่างอัยการและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อหาแนวทางคดี ก่อนจะนำไปสู่ออกหมายจับ 3 ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) พ.อ.ชิตตู (Saw Chit Thu) หรือ พล.ต.หมวิเคราะห์ บอล กั ล โช่ เซ เรี ย อา วัน นี้่อง ชิตตู 2.พ.ท.โมเตทุน (Lieutenant Colonel Mote Thone) และ 3.พ.ต.ทิน วิน (Major Tin Win) ไม่ได้เป็นหนึ่งในยุทธการกดดัน “ล้าง” จีนเทา ในเมียนมา แต่ข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า คดีนี้ คือ คดีพิเศษที่ 304/2565 เป็นคดีค้างเก่าที่ต้องการทำให้ยุติ เนื่องจากมีการประสานงานจากทางการอินเดียให้ช่วยเหลือชาวอินเดีย 8 คนที่ถูกหลอกไปทำงานเป็น โรแมนซ์สแกรม หรือ แก๊งคอลเซนเตอร์ที่บ่อนเฮงเชง จ.เมียวดี ประเทศเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ต่อมาทางไทยได้ช่วยเหลือกลับมาได้อย่างปลอดภัย จนทั้งหมดได้ถูกส่งตัวกลับประเทศไปแล้ว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้หน่วยงานด้านความมั่นคง พบว่า เจ้าของบ่อนเฮงเชง รีสอร์ตแอนด์กาสิโน มีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2560 กับกองพลน้อยที่ 4 กองกำลัง BGF ที่มี พล.ต.ชิตตู เป็น ผบ.กองกำลัง และพฤติกรรมอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นที่มาของการแจ้งข้อหาค้ามนุษย์กับ พ.อ.ชิตตู และพรรคพวก แต่ข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาตินั้น ยังไม่มีแจ้ง เนื่องจากต้องขยายผลสอบสวน และประมวลพฤติกรรมทั้งหมดจากหน่วยงานที่เกี่ยวก่อน สำหรับกลุ่มผู้นำ BGF ที่ถูกดีเอสไอ เตรียมจะออกหมายจับ เบอร์ 1 คือ พล.ต.ชิตตู นอกจากจะเป็นขุนศึกชาวกะเหรี่ยงแล้ว ยังเป็นผู้ก่อตั้งและเลขาธิการของกองกำลังรักษาชายแดนกะเหรี่ยง/กะเหรี่ยง (BGF) และ กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่สังกัดกองทัพเมียนมา (Tatmadaw) ด้วยเช่นกัน โดยเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและอดีตประธานของ Chit Linn Myaing Group (CLM) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ครอบครัวของเขาบริหารร่วมกับ BGF และมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ในเมืองชเวโก๊กโก ( Shwe Kokko) ตั้งแต่ปี 2017 โดยเข้าร่วมกับ “เสอ จื้อเจียง” เจ้าของบริษัท ย่าไท่ (Yatai International Holding Group) เข้าไปพัฒนา Yatai New City ส่วนมือขวา พ.ท.โมเต ทุน รองเลขาธิการกองกำลังป้องกันชายแดน(BGF) และกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA)) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่สังกัดกองทัพเมียนมา (Tatmadaw) เขามีอำนาจเป็นพิเศษในเขตตอนใต้ของเขตเมียวดีที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วัน ก๊วก-กอย (14K) และ Dongmei Zone และยังเกี่ยวข้องกับโครงการ KK Park ซึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ และการฉ้อโกงทางออนไลน์ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ เช่นกัน ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า คดีนี้กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย คือ พล.ต.ชิตตู่ และ พ.ท.โมเต ทุน และ พ.ต.ทิน วิน ได้การใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการกระทำความผิดอาชญากรรมข้ามชาติ และมีคนไทย 2 คน เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ในข้อหาค้ามนุษย์ กักขังและให้ที่พักพิง แต่ขณะนี้ดีเอสไอ ยังไม่ได้ออกหมายจับ แต่ได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 ว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะดำเนินการต่อไปอย่างไร “คดีนี้ เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ดีเอสไอต้องหารือกับพนักงานอัยการตามขั้นตอน ..เรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้กดดัน แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่มีการกวาดล้างกลุ่มทุนจีนเทา และเป็นคดีค้างเก่าที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอนานเกือบ 3 ปีแล้วจึงอยากทำให้เสร็จ” รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุ มีข้อมูลระบุว่า สำหรับคนไทย 2 คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องและถูกแจ้งข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงนั้น มีสถานะเป็นกรรมการบริษัทและพนักงานบริษัท อยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง สำหรับชาวอินเดียที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์นั้น พบว่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2566 พบ มีชาวอินเดียถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอนเซนเตอร์ในกัมพูชากว่า 5,000 คน ในช่วงครึ่งปีแรกสามารถหลอกลวงเงินไปได้ถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือออกมา ระบุว่า ถูกหลอกลวงว่าจะให้ไปทำงานกรอกข้อมูล แต่กลับถูกจับไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ คนเหล่านี้จะถูกสั่งให้สร้างโปรไฟล์ในโซเซียลมีเดียเพื่อไปหลอกคนอินเดียอีกทอดหนึ่ง โดยมีการวางพล็อตบทพูดต่าง ๆ จะมีลักษณะคล้ายที่คนไทยพบเช่น มีพัสดุผิดกฎหมายในชื่อของเหยื่อ หรือเป็นตำรวจโทรหา หากใครทำยอดไม่ถึงเป้าก็จะถูกทำร้ายร่างกาย รัฐบาลอินเดียแถลงถึงความสำเร็จในการช่วยเหลือชาวอินเดียที่ถูกหลอกให้ไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ในกัมพูชา โดยรวมแล้วสามารถช่วยเหลือได้ 250 คน แต่ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ และเหยื่อที่ได้รับการช่วยเหลือให้ข้อมูลว่า ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเป็นชาวจีน และมีผู้ช่วยชาวมาเลเซียคอยแปลคำสั่งให้ ต่อมา ยังพบว่ามีชาวอินเดีย จำนวนไม่น้อย ได้ถูกหลอกให้เข้ามาทำงาน ในจ.เมียวดี ในพื้นที่ที่ พล.ต.หม่อง ชิตตู ดูแล โดยถูกบังคับให้เป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ และโรแมนซ์สแกม ตั้งแต่ปี 2565-ปัจจุบัน จนรัฐบาลอินเดียต้องประกาศเตือนประชาชนของตนเองให้ระวังการถูกหลอกลวง สำหรับการออกหมายจับ พล.ต.หม่อง ชิตตู นั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรเสีย ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน คงไม่เพลี่ยงพล้ำ เดินเข้ามาให้จับกุมแน่นอน แต่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า รายงานการสืบสวนสอบสวน พบว่า พล.ต.หม่อง ชิตตู มีพฤติกรรมมักเดินทางเข้า-ออก ระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลอาการป่วยจากโรคประจำตัว “การที่ถูกออกหมายจับจะทำให้บุคคลไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ อีกทั้งหมายจับจะมีผลให้เกิดการปัดกวาด ไม่ให้มีการสนับสนุนเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์อีกต่อไป ซึ่งเราหวังผลส่วนนี้ และหาก พล.ต.หม่อง ชิตตู เดินทางมาที่ประเทศไทยเมื่อใดก็จะถูกจับกุมตามหมายจับทันที” อธิบดีดีเอสไอ กล่าว ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า การออกหมายจับหม่อง ชิตตู เป็นเรื่องเก่า และมีการพาดพิงถึง หม่องชิตตู ในประเด็นเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และไม่ได้ออกหมายจับแค่คนเดียว แต่มีชาวต่างชาติคนอื่นด้วย "คดีนี้จะขยายไปยังคดีฟอกเงินด้วย ...เชื่อว่าการนำตัวหม่อง ชิตตู มาดำเนินคดีไม่ใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับผู้นำของทางเมียนมา เพราะรัฐบาลไทยมีความจริงใจอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่าขณะนี้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์" แม้การค้ามนุษย์ คอลเซนเตอร์ และฉ้อโกงออนไลน์ โรแมนซ์สแกม จะเป็นปัญหาความมั่นคงของทั่วโลก แต่ที่ชายแดนไทย-เมียนมา ถือว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงยิ่งกว่า และหากยังลูบหน้า-ปะจมูก คงยากจะแก้ไขปัญหา อ่านข่าว : สะเทือน "ล้างจีนเทา" เมียวดี งานหินกว่า "เล้าก์ก่าย" โมเดล "มั่นคง" ส่องชายแดนไทย-เมียนมา หลังตัดไฟ-อินเทอร์เน็ต เมียวดี
วันนี้ (16 มิ.ย.2565) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แ