พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศสมาชิก แม่โขง-ล้านช้าง

วันนี้ (11 ส.ค.2566) พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 มีคดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงินกว่า 20,000 เคส ข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดก

วันนี้ (27 เม.ย.2564) ภายหลัง นพ.ศรีศักดิ์ ตั้งจิตธรรม สาธารณสุขจังหวัดอ่างทอง พร้อมด้วย นายวัฒนา เจ

ความคืบหน้ากรณีเว็บไซต์ www.change.org เปิด แคมเปญ Ask the President of Sri Lanka to sign off the retirement of abused Muthu Raja เพื่อเรียกร้องให้นำพลายศักดิ์สุรินทร์ หรือ Muthu Raja ช้างไทยอายุ 30 ป

วันนี้ (11 ส.ค.2566) พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 มีคดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงินกว่า 20,000 เคส ข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดกว่า 2,000 เคส ซึ่งเดิมเป็นการโทรศัพท์หลอกบุคคลทั่วไปให้โอนเงิน แต่ช่วงนี้มี 4 เคสที่มีรูปแบบการกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน โดยมิจฉาชีพใช้วิธีการโทรศัพท์หาพ่อแม่ แล้วส่งรูปลูกหลานที่ถูกควบคุมตัวไว้ไปให้ โดยที่พ่อแม่ไม่สามารถติดต่อลูกหลานได้ จึงจำเป็นต้องโอนเงินให้ไป ซึ่งหลังจากโอนเงินแล้ว ลูกหลานก็สามารถติดต่อกลับมาได้ ซึ่งเบื้องต้นพ่อแม่คาดว่าเป็นเรื่องการเรียกค่าไถ่ เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนเชิงลึก พบว่า เป็นคดีที่ลูกหลานถูกแก็งค์คอลเซ็นเตอร์โทรมาข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดและบังคับให้ถ่ายคลิปหรือภาพถ่าย ส่งให้กลุ่มมิจฉาชีพนำไปเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่อีกครั้ง โดยให้โอนเงินผ่านบัญชีลูกหลานของตนเอง หรือเข้าบัญชีม้า แล้วหลบหนีไป สำหรับแผนประทุษกรรมคดีนี้ กลุ่มมิจฉาชีพใช้วิธีการโทรศัพท์ผ่านระบบ Voip (Voice Over Internet Protocol) หรือระบบ Internet โทรเข้าโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย โดยสุ่มหรือเลือกกลุ่มนักศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนดี โดยมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อข่มขู่ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีหมายจับต่างๆ และมีความผิดมูลฐานฟอกเงิน จากนั้นมิจฉาชีพจะทำทีอ้างว่าสามารถช่วยเหลือไม่ให้ถูกดำเนินคดีได้และเสนอให้ความช่วยเหลือ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินมายังบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) ที่กลุ่มมิจฉาชีพจัดเตรียมไว้และหลอกลวงเงินของผู้เสียหายไป หากไม่มีเงิน กลุ่มมิจฉาชีพจะแนะนำให้ผู้เสียหายย้ายหรือออกจากห้องพัก หรือที่พักปัจจุบัน และให้ผู้เสียหายไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่ ซื้อเชือกมัด ผ้าเทปกาวจากร้านค้า เพื่อใช้พูดคุยโต้ตอบกับมิจฉาชีพ อีกทั้งยังสั่งการให้ผู้เสียหายทำทีปิดโทรศัพท์ และให้ผู้เสียหายใช้ผ้าเทปและเชือกมัดมือมัดเท้าตัวเอง ถ่ายคลิปวิดีโอโดยใช้เครื่องของผู้เสียหายเอง เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าถูกลักพาตัวและส่งคลิปดังกล่าวให้มิจฉาชีพทางแอปพลิเคชันหรือทางโทรศัพท์ จากนั้นมิจฉาชีพจะส่งคลิปไปให้พ่อแม่หรือผู้ปกครอง เพื่อเรียกค่าไถ่ โดยการโอนเงินมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1.พ่อแม่โอนเงินไปให้ผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายโอนเงินต่อไปให้มิจฉาชีพ และ 2. พ่อแม่โอนเงินให้มิจฉาชีพ 1. มิจฉาชีพอาจหาข้อมูลหรือสุ่มคัดเลือกผู้เสียหายเป็นกลุ่มนักศึกษาระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งพักอาศัยอยู่ตามหอพัก หรือที่พักใกล้สถานศึกษา โดยเป็นบุคคลที่อยู่หอพักหรือที่พักเพียงคนเดียว ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง 2. มิจฉาชีพวางแผนและมีสคริปต์เพื่อเตรียมการพูดหลอกลวง และใช้ถ้อยคำที่มีประสบการณ์มาก เพื่อข่มขู่และชักจูงให้ตกใจกลัว เช่น อ้างเป็นเจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีพัสดุตกค้าง แจ้งว่ามีหมายจับ หรือมีคนเอาข้อมูลไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วเอาบัญชีไปใช้ในการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และขู่ว่าถ้าถูกดำเนินคดีจะไม่ได้เรียนต่อ 3. มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์ผ่านระบบ Internet (VOIP : Voice Over Internet Protocol) ซึ่งหมายเลขดังกล่าวจะมีหมายเลขไม่ถึง 10 หลัก และมีเครื่องหมาย +697 +698 ซึ่งสังเกตได้ว่าน่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรมาจากต่างประเทศ หรือโทรผ่านระบบ Internet หากผู้เสียหายโทรย้อนกลับไปยังเบอร์ของมิจฉาชีพจะไม่สามารถติดต่อได้ และหมายเลขดังกล่าวอาจไม่มีอยู่จริง เป็นการสร้างหมายเลขโทรศัพท์ หรือปลอมเบอร์ 4. มิจฉาชีพพัฒนารูปแบบการหลอกลวง โดยผสมผสานระหว่างแผนประทุษกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับแผนประทุษกรรมการเรียกค่าไถ่ เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มนักศึกษา เพื่อทดแทนปริมาณเหยื่อที่ปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยเชื่อถือของแผนประทุษกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม 5. มิจฉาชีพเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มนักศึกษา เพราะนักศึกษาพักอยู่คนเดียวห่างจากครอบครัว มีการสั่งซื้อของ มีการเริ่มลงทุน มีการยุ่งเกี่ยวกับการพนัน จึงทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้าถึงได้ง่าย และข้อมูลที่ใช้ข่มขู่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นจริง 1. สังเกตเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนรับสาย หากเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือเป็นเบอร์ที่มีเครื่องหมาย +697 +698 นำหน้า ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ 2. สังเกตความผิดปกติของปลายสายได้จากคำถาม เช่น การถามชื่อ และข้อมูลส่วนตัวโดยตรง หรือการใช้ข้อความอัตโนมัติในการตอบรับ แล้วให้เรากดเบอร์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ถ้ามีการสนทนาทาง Video call ให้มีสติและสังเกตปากกับเสียงตรงกันหรือไม่ หรือภาพและท่าทางมีความผิดปกติหรือไม่ (มิจฉาชีพสามารถใช้โปรแกรมปลอมใบหน้าขณะสนทนาได้) 3. หากคนร้ายข่มขู่ว่ากระทำผิด และต้องไปแจ้งความหรือติดต่อเจ้าหน้าที่ ให้นัดหมายไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งความ สอบสวนปากคำ ชี้แจง หรือยื่นพยานเอกสารพยานวัตถุ ณ สถานที่เกิดเหตุหรือสถานที่ราชการด้วยตนเอง หากมั่นใจว่าปลายสายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพ วางสายทันที แจ้งเบาะแส กับหน่วยงานที่ดูแล เช่น ตำรวจ ธนาคาร ค่ายมือถือ หรือ กสทช. 4. หากมิจฉาชีพให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ ให้สันนิษฐานว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจากข้อมูลบัญชีมีเพียงธนาคารที่ตรวจสอบได้ ห้ามบอกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน รวมถึงห้ามโอนเงินตามคำกล่าวอ้าง 5. โหลดแอปฯ Who’s call ซึ่งสามารถตรวจสอบหมายเลข และจะระบุหมายเลขที่ไม่รู้จัก ช่วยให้ทราบว่าใครโทรมาทันที ​6. หากมิจฉาชีพส่งเอกสารมาข่มขู่ ให้ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ออกเอกสารนั้นๆ โดยตรง หรือโทรหาตำรวจท้องที่ เบอร์ 191 หรือเบอร์ 1441 และเบอร์ 081-866-3000 หรือเข้าพบพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ หรือปรึกษากับผู้ปกครอง 1. หากมิจฉาชีพข่มขู่ให้โอนเงินพร้อมส่งคลิปมาให้ดู ให้รีบปรึกษาบุคคลที่ไว้วางใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หรือโทรสายด่วน 191 ,1441 และเบอร์ 081-866-3000 เพื่อพิจารณาแยกแยะว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ หรือมีการจับตัวเรียกค่าไถ่จริงๆ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ให้ความช่วยเหลือถูกวิธี 2. ก่อนโอนเงินให้ดูว่าเป็นบัญชีที่อยู่ในแบล็กลิสต์ที่ใช้กระทำความผิด หรือบัญชีม้าหรือไม่ พล.ต.อ.สมพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้มิจฉาชีพจะเลือกผู้เสียหายที่เป็นนักศึกษา ซึ่งอาจจะไม่รู้เท่าทัน อีกทั้งเป็นจุดอ่อนไหวของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีความรักและห่วงใยลูกหลานของตนเป็นทุนเดิม โดยมีแผนประทุษกรรม ดังนี้ - หลอกให้ผู้เสียหายย้ายหรือเปลี่ยนที่พัก ไปหาเช่าที่พักใหม่ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองตามหาตัวได้ และหลอกผู้เสียหายว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบสะกดรอยเฝ้าดูอยู่ ห้ามออกไปจากห้องเช่าที่พักใหม่ - หลอกให้ผู้เสียหายลบแอปฯ ที่เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารออกจากเครื่อง เช่น Line FB Twitter TikTok เป็นต้น เพื่อไม่ให้ติดต่อกับคนอื่น - หลอกให้ผู้เสียหายปิดมือถือเบอร์เดิม เพื่อไม่ให้พ่อแม่ติดต่อได้ และหลอกให้เปิดเบอร์ใหม่ใช้ติดต่อกับมิจฉาชีพ รวมถึงให้สแกน QR Code เพื่อใช้และควบคุม Line ของผู้เสียหายผ่าน Pc-iPad ตลอดเวลา ทั้งนี้ แจ้งเตือนให้ได้รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพที่พัฒนาวิธีหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ รวมถึงรู้เท่าทันภัยออนไลน์รูปแบบใหม่ โดยสามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com, เฟซบุ๊ก httไลฟ์ สกอร์ todayps://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์, หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 กรณีถูกมิจฉาชีพหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.com อ่านข่าวอื่นๆ เตือนภัย 7 กลวิธีมิจฉาชีพ "Scam TikTok" ผู้ประกาศข่าวถูกหลอกติดตั้งแอปฯ ดูดเงินสูญกว่า 1 ล้านบาท เช็กด่วน! 10 แอปมัลแวร์อันตรายบน Android ยอดโหลดทะลุล้านครั้ง

วันนี้ (17 ธ.ค.2565) พสกนิกรจำนวนมาก ข้าราชการ รวมถึงภาคธุรกิจ เดินทางไปลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา บริเวณชั้น 1 อาคารภ