Bandung dan sekitarnya - Kesimpulancuacahari ini m

วันนี้ (12 พ.ย.2564) เพจเฟซบุ๊กหมอแลบแพนด้า ของทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ หัวหน้างานตรวจโรคติดเชื้อทางโลหิตวิธีอณูชีววิทยาศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โพสต์ภาพที่มีลักษณะของการเจาะเลือดบริเวณ
วันนี้ (1 มิ.ย.2564) พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบที่เสียชีวิตที่บ้านกกกอก จ.มุกดาหารว่า ไม่เกินวันที่ 15 มิ.ย.นี้จะมีความชัดเจนเก
วันนี้ (3 มิ.ย.2568) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) โดย นายธนกร อังควัฒนะ เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร. เปิดเผยว่า มีรายงานจาก National Oceanic and Atmospheric Administration หรือ NOAA เมื่อ 1 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ได้ตรวจพบการปลดปล่อยมวลสารโคโรนาของดวงอาทิตย์ (Coronal Mass Ejections: CMEs) ที่เดินทางมาถึงโลกเมื่อเวลาประมาณ 12.23 น. ตามเวลาประเทศไทย ส่งผลให้เกิดพายุแม่เหล็กโลก (Geomagnetic storm) ที่ระดับความรุนแรง G3 และ G4 ทั้งนี้ ไม่มีรายงานการเกิดอันตรายและความเสียหายใด ๆ บนภาคพื้นโลก เพียงแต่เกิดปรากฏการณ์แสงออโรรา (แสงเหนือ-แสงใต้) ที่เข้มข้นและแผ่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยพายุสนามแม่เหล็กโลกจะทำให้เกิดผลกระทบ ดังนี้ 1.แสงออโรราที่ปรากฏสว่างชัดเจน (เฉพาะพื้นที่ละติจูดสูง-ใกล้ขั้วโลก) สนามแม่เหล็กโลกจะเบี่ยงให้อนุภาคมีประจุไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์เหล่านี้ลงมาสู่บรรยากาศโลกบริเวณใกล้ขั้วโลก เมื่ออนุภาคมีประจุดังกล่าวชนเข้ากับอนุภาคแก๊สในบรรยากาศชั้นบนของโลก อนุภาคแก๊สจะปล่อยพลังงานในรูปของแสง เกิดเป็นแสงเหนือ-แสงใต้ (Aurora) ที่ปรากฏชัดเจนเหนือประเทศแถบละติจูดสูง หรือใกล้ขั้วโลก 2.ความเสี่ยงต่อระบบส่งไฟฟ้า และไฟดับเป็นบริเวณกว้าง (เฉพาะพื้นที่ละติจูดสูง-ใกล้ขั้วโลก) ฝูงอนุภาคมีประจุใน CMEs ที่รบกวน-ปะทะเข้ากับสนามแม่เหล็กโลก ทำให้เกิดความปั่นป่วนในสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งเรียกว่า “พายุแม่เหล็กโลก (Geomagnetic storm)” ซึ่งความปั่นป่วนของสนามแม่เหล็กโลกจะสามารถเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าที่พื้นผิวโลก หากกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมส่วนนี้เข้าสู่ระบบส่งไฟฟ้า จะทำให้หม้อแปลงเกิดความเสียหาย และสามารถทำให้เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้าง เช่น ไฟดับนาน 9 ชั่วโมง ทางภาคตะวันออกของแคนาดา เมื่อปี ค.ศ. 1989 3.ความเสี่ยงต่อระบบดาวเทียม และระบบนำทาง เมื่อฝูงอนุภาคมีประจุใน CMEs มาปะทะเข้ากับดาวเทียม สามารถทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่ตัวดาวเทียม จนดาวเทียมเสียหายได้ และเกิดความเสี่ยงต่อเนื่องถึงระบบนำทาง-ระบุพิกัดตำแหน่ง (เช่น GPS) ที่ต้องใช้เครือข่ายดาวเทียมหลายดวง ขณะที่ “การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์” (Solar Flare) ซึ่งเป็นการปะทุปล่อยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้มข้นจากพื้นผิวดวงอาทิตย์ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ CMEs ในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อการสื่อสารทางวิทยุในแบบ “สภาวะสัญญาณคลื่นวิทยุขาดหายชั่วคราว” (Radio blackout) “สภาวะสัญญาณคลื่นวิทยุขาดหายชั่วคราว” เกิดขึ้นเมื่อรังสีจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลก ทำให้อนุภาคแก๊สในบรรยากาศชั้นบนของโลกมีประจุไฟฟ้า อนุภาคแก๊สมีประจุส่วนนี้ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สัญญาณคลื่นวิทยุช่วงความยาวคลื่นสั้นที่ใช้สื่อสารคมนาคมเดินทางผ่านได้ยากขึ้น เพราะเมื่อคลื่นวิทยุเดินทางผ่านชั้เดิมพันฟรี Fishing Master เกมยิงปลาบนมือถือนอนุภาคแก๊สมีประจุไฟฟ้า จะเสียพลังงานจากการชนกับอิเล็กตรอนที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนสัญญาณคลื่นวิทยุอ่อนลงหรือถูกดูดกลืนไปทั้งหมด ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ “สภาวะสัญญาณคลื่นวิทยุขาดหายชั่วคราว” (ผลกระทบจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์) และระบบนำทาง (ผลกระทบจาก CMEs) ร่วมกันทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบิน (เครื่องบินที่ต้องใช้ระบบนำทางและสัญญาณคลื่นวิทยุสื่อสาร) ด้วย Kp 0-2 : ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อเทคโนโลยีหรือมนุษย์ แสงออโรราจะอยู่ใกล้ขั้วโลกเท่านั้น Kp 3-4 : เริ่มมีแสงออโรราขยายมานอกเขตขั้วโลกเล็กน้อย ยังไม่มีผลกระทบต่อระบบสื่อสาร Kp 5 (G1) : ระบบไฟฟ้าอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อยในบางพื้นที่ เช่น ขั้วโลก ดาวเทียมอาจมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อย แสงออโรราอาจเห็นได้ในละติจูดกลาง เช่น สหรัฐตอนเหนือ Kp 6 (G2) : อาจส่งผลกระทบต่อแรงดันในสายส่งไฟฟ้า ระบบนำทาง GNSS เริ่มผิดพลาดเล็กน้อย Kp 7 (G3) : ส่งผลต่อดาวเทียมอย่างมีนัยสำคัญ ระบบนำทาง GPS มีความคลาดเคลื่อนสูงขึ้น เครื่องบินต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางขั้วโลก Kp 8 (G4) : อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนดาวเทียมได้รับผลกระทบอย่างมาก สัญญาณวิทยุ HF รบกวนรุนแรงทั่วโลก Kp 9 (G5) : ผลกระทบรุนแรงที่สุด: ระบบไฟฟ้าอาจล่ม ดาวเทียมเสียหาย การนำทางหยุดชะงัก การบินเสี่ยงสูง แสงออโรราอาจมองเห็นได้ในละติจูดต่ำ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะผ่านพ้นช่วงที่มีการปลดปล่อยพลังงานมากที่สุดในรอบวัฏจักร หรือเรียกว่า “Solar Maximum” เป็นช่วงที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์จะปรากฏจุด (Sunspot) มากที่สุด เกิดจากความแปรปรวนสนามแม่เหล็กบริเวณพื้นผิวดาว และพบการปลดปล่อย CMEs มากที่สุดในช่วงนี้ โดยหลังจากนี้ดวงอาทิตย์จะค่อย ๆ สงบลง และจะปลดปล่อยพลังงานน้อยที่สุดในช่วงปี 2030-2031 เรียกว่าช่วง “Solar Minimum” เกิดเป็นวัฏจักรที่เรียกว่า “วัฏจักรสุริยะ” (Solar Cycle) ที่มีคาบประมาณ 11 ปี การแจ้งเตือนของ NOAA ถึงการปลดปล่อยมวลของดวงอาทิตย์ และการเกิดพายุสนามแม่เหล็กโลก เป็นการรายงานข้อมูลจากดาวเทียมตามปกติอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นการแจ้งเตือนให้เกิดความตกใจ และเนื่องจากช่วงนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะผ่าน Solar Maximum มาได้ไม่นาน จึงทำให้มีการรายงานค่อนข้างเยอะ ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลดังกล่าวได้ที่ https://www.spaceweather.gov/ อ้างอิง : https://www.spaceweather.gov/.../cme-arrived-g3-strong
สภาพของนกกระทาที่รอดตายจากน้ำท่วม 300,000 ตัว จากทั้งหมด 500,000 ตัว พวกมันถูกเลี้ยงไว้ในเอนกฟาร์ม ห
กรณี "ฟ้าวันใหม่ ช.ไทยเศรษฐ์" นักมวยดังรับสารภาพว่าถูกว่าจ้างให้ล้มมวย โดยการพลิกเเพ้น็อกให้กับ หลาน
วันนี้ (3 มิ.ย.2568) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) โดย นายธนกร อังควัฒนะ เจ้าหน้าที่สารสนเทศ
วันนี้ (3 มิ.ย.2568) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) โดย นายธนกร อังควัฒนะ เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร. เปิดเผยว่า มีรายงานจาก National Oceanic and Atmospheric Administration หรือ NOAA เมื่อ 1 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ได้ตรวจพบการปลดปล่อยมวลสารโคโรนาของดวงอาทิตย์ (Coronal Mass Ejections: CMEs) ที่เดินทางมาถึงโลกเมื่อเวลาประมาณ 12.23 น. ตามเวลาประเทศไทย ส่งผลให้เกิดพายุแม่เหล็กโลก (Geomagnetic storm) ที่ระดับความรุนแรง G3 และ G4 ทั้งนี้ ไม่มีรายงานการเกิดอันตรายและความเสียหายใด ๆ บนภาคพื้นโลก เพียงแต่เกิดปรากฏการณ์แสงออโรรา (แสงเหนือ-แสงใต้) ที่เข้มข้นและแผ่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยพายุสนามแม่เหล็กโลกจะทำให้เกิดผลกระทบ ดังนี้ 1.แสงออโรราที่ปรากฏสว่างชัดเจน (เฉพาะพื้นที่ละติจูดสูง-ใกล้ขั้วโลก) สนามแม่เหล็กโลกจะเบี่ยงให้อนุภาคมีประจุไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์เหล่านี้ลงมาสู่บรรยากาศโลกบริเวณใกล้ขั้วโลก เมื่ออนุภาคมีประจุดังกล่าวชนเข้ากับอนุภาคแก๊สในบรรยากาศชั้นบนของโลก อนุภาคแก๊สจะปล่อยพลังงานในรูปของแสง เกิดเป็นแสงเหนือ-แสงใต้ (Aurora) ที่ปรากฏชัดเจนเหนือประเทศแถบละติจูดสูง หรือใกล้ขั้วโลก 2.ความเสี่ยงต่อระบบส่งไฟฟ้า และไฟดับเป็นบริเวณกว้าง (เฉพาะพื้นที่ละติจูดสูง-ใกล้ขั้วโลก) ฝูงอนุภาคมีประจุใน CMEs ที่รบกวน-ปะทะเข้ากับสนามแม่เหล็กโลก ทำให้เกิดความปั่นป่วนในสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งเรียกว่า “พายุแม่เหล็กโลก (Geomagnetic storm)” ซึ่งความปั่นป่วนของสนามแม่เหล็กโลกจะสามารถเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าที่พื้นผิวโลก หากกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมส่วนนี้เข้าสู่ระบบส่งไฟฟ้า จะทำให้หม้อแปลงเกิดความเสียหาย และสามารถทำให้เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้าง เช่น ไฟดับนาน 9 ชั่วโมง ทางภาคตะวันออกของแคนาดา เมื่อปี ค.ศ. 1989 3.ความเสี่ยงต่อระบบดาวเทียม และระบบนำทาง เมื่อฝูงอนุภาคมีประจุใน CMEs มาปะทะเข้ากับดาวเทียม สามารถทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่ตัวดาวเทียม จนดาวเทียมเสียหายได้ และเกิดความเสี่ยงต่อเนื่องถึงระบบนำทาง-ระบุพิกัดตำแหน่ง (เช่น GPS) ที่ต้องใช้เครือข่ายดาวเทียมหลายดวง ขณะที่ “การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์” (Solar Flare) ซึ่งเป็นการปะทุปล่อยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้มข้นจากพื้นผิวดวงอาทิตย์ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ CMEs ในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อการสื่อสารทางวิทยุในแบบ “สภาวะสัญญาณคลื่นวิทยุขาดหายชั่วคราว” (Radio blackout) “สภาวะสัญญาณคลื่นวิทยุขาดหายชั่วคราว” เกิดขึ้นเมื่อรังสีจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลก ทำให้อนุภาคแก๊สในบรรยากาศชั้นบนของโลกมีประจุไฟฟ้า อนุภาคแก๊สมีประจุส่วนนี้ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สัญญาณคลื่นวิทยุช่วงความยาวคลื่นสั้นที่ใช้สื่อสารคมนาคมเดินทางผ่านได้ยากขึ้น เพราะเมื่อคลื่นวิทยุเดินทางผ่านชั้เดิมพันฟรี Fishing Master เกมยิงปลาบนมือถือนอนุภาคแก๊สมีประจุไฟฟ้า จะเสียพลังงานจากการชนกับอิเล็กตรอนที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนสัญญาณคลื่นวิทยุอ่อนลงหรือถูกดูดกลืนไปทั้งหมด ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ “สภาวะสัญญาณคลื่นวิทยุขาดหายชั่วคราว” (ผลกระทบจากการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์) และระบบนำทาง (ผลกระทบจาก CMEs) ร่วมกันทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบิน (เครื่องบินที่ต้องใช้ระบบนำทางและสัญญาณคลื่นวิทยุสื่อสาร) ด้วย Kp 0-2 : ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อเทคโนโลยีหรือมนุษย์ แสงออโรราจะอยู่ใกล้ขั้วโลกเท่านั้น Kp 3-4 : เริ่มมีแสงออโรราขยายมานอกเขตขั้วโลกเล็กน้อย ยังไม่มีผลกระทบต่อระบบสื่อสาร Kp 5 (G1) : ระบบไฟฟ้าอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อยในบางพื้นที่ เช่น ขั้วโลก ดาวเทียมอาจมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อย แสงออโรราอาจเห็นได้ในละติจูดกลาง เช่น สหรัฐตอนเหนือ Kp 6 (G2) : อาจส่งผลกระทบต่อแรงดันในสายส่งไฟฟ้า ระบบนำทาง GNSS เริ่มผิดพลาดเล็กน้อย Kp 7 (G3) : ส่งผลต่อดาวเทียมอย่างมีนัยสำคัญ ระบบนำทาง GPS มีความคลาดเคลื่อนสูงขึ้น เครื่องบินต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางขั้วโลก Kp 8 (G4) : อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนดาวเทียมได้รับผลกระทบอย่างมาก สัญญาณวิทยุ HF รบกวนรุนแรงทั่วโลก Kp 9 (G5) : ผลกระทบรุนแรงที่สุด: ระบบไฟฟ้าอาจล่ม ดาวเทียมเสียหาย การนำทางหยุดชะงัก การบินเสี่ยงสูง แสงออโรราอาจมองเห็นได้ในละติจูดต่ำ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะผ่านพ้นช่วงที่มีการปลดปล่อยพลังงานมากที่สุดในรอบวัฏจักร หรือเรียกว่า “Solar Maximum” เป็นช่วงที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์จะปรากฏจุด (Sunspot) มากที่สุด เกิดจากความแปรปรวนสนามแม่เหล็กบริเวณพื้นผิวดาว และพบการปลดปล่อย CMEs มากที่สุดในช่วงนี้ โดยหลังจากนี้ดวงอาทิตย์จะค่อย ๆ สงบลง และจะปลดปล่อยพลังงานน้อยที่สุดในช่วงปี 2030-2031 เรียกว่าช่วง “Solar Minimum” เกิดเป็นวัฏจักรที่เรียกว่า “วัฏจักรสุริยะ” (Solar Cycle) ที่มีคาบประมาณ 11 ปี การแจ้งเตือนของ NOAA ถึงการปลดปล่อยมวลของดวงอาทิตย์ และการเกิดพายุสนามแม่เหล็กโลก เป็นการรายงานข้อมูลจากดาวเทียมตามปกติอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นการแจ้งเตือนให้เกิดความตกใจ และเนื่องจากช่วงนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะผ่าน Solar Maximum มาได้ไม่นาน จึงทำให้มีการรายงานค่อนข้างเยอะ ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลดังกล่าวได้ที่ https://www.spaceweather.gov/ อ้างอิง : https://www.spaceweather.gov/.../cme-arrived-g3-strong
วันนี้ (22 ก.ค.2567) ประชาชนนับหมื่นคนรวมตัวเดินขบวนไปตามถนนในเมืองปัลมา เด มายอร์กา บนเกาะมายอร์กา