หวย 1611 62
JAKARTA – Pengamat Hubungan Internasional dari Uni
฿61384
บาท1
ห้องนอน
00
ห้องน้ำ
981
ตร.ม.
฿ 3844
/ ตารางเมตร
หวย 1611 62
JAKARTA — Di tengah pesatnya perkembangan era digi
UID: 35107
วันนี้ (7 มิ.ย.2564) นางพังงา เทียนทอง อายุ 99 ปี 5 เดือน อดีตข้าราชการครู โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
วันนี้ (23 เม.ย.2567) ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ปฏิบัติการทลายเว็บพนันออนไลน์
จากเรื่องไข่ไก่ถึงการยกเลิกภาษีบ้าน และรถ ผูกขาดทางการค้า หรือให้ค่าประโยชน์ประชาชน !! จากเรื่องไข่ไก่ถึงการยกเลิกภาษีบ้าน และรถ ผูกขาดทางการค้า หรือให้ค่าประโยชน์ประชาชน !! ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนดัชนีชี้วัดค่าครองชีพที่คลาสสิคที่สุดหนีไม่พ้นราคา “ไข่ไก่” ด้วยเพราะ “ไข่ไก่” เป็นวัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารที่ทุกบ้านทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยเพียงใดจะต้องมี “ไข่ไก่” สำรองไว้ในครัวอยู่เสมอแต่ใครเลยจะเชื่อว่าประเทศไทยที่เป็นทั้งประเทศเกษตรกรรม เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และเป็นครัวของโลก แต่คนในประเทศกลับต้องควักกระเป๋าซื้อ “ไข่ไก่”ในราคาแพง โดยเฉพาะราคาไข่ ในช่วงรัฐบาลของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่พุ่งสูงถึงฟองละ 4 บาทกว่า จนนำไปสู่การออกมาตรการ “ชั่งไข่”และแม้ว่าขณะนี้จะมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การบริหารงานของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะแก้ไข ปัญหา “ไข่ทองคำ”ได้ ก่อนหน้านี้ได้มีงานวิจัยของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปอยู่หนึ่งชิ้นที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษากลไกและกระบวนการของการผูกขาดทางการค้าไว้อย่างละเอียด โดย “กฤดิกร เผดิมเกื้อกูลพงศ์” ผู้วิจัย ได้ทำการศึกษา พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และการผูกขาดในภาคเกษตร : กรณีศึกษาตลาดไข่ไก่” ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่ทำให้เห็นภาพของการกีดกันทางการค้าและการผูกขาดตลาดของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น เพราะงานวิจัยชิ้นนี้เป็นต้นแบบของการชำแหละกฏหมายเรื่องการผูกขาดทางการค้าในหลากหลายธุรกิจ ในงานวิจัยของ“กฤดิกร” ระบุว่าปัจจัยสำคัญของการกีดกันและผูกขาดทางการค้ามาจากข้อบกพร่องของพระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ที่ไม่สามารถเข้าไปจัดการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในตลาดได้ เพราะแม้ว่าจะมีข้อกำหนดเพื่อกำกับและควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการจำกัดแข่งขันทางการค้าทั้ง 4 กลุ่มประกอบด้วย 1.การใช้อำนาจเหนือตลาด 2.การควบรวมธุรกิจ 3.การกระทำการตกลงร่วมกัน และ 4.การกระทำที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมก็ตาม กระนั้นพ.ร.บ.ฉบับนี้กลับมีปัญหาในทางปฎิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า มีปัญหาในเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เนื่องจากโครงสร้างของคณะกรรมการชุดนี้ ถูกกำหนดให้มีจำนวนกรรมการทั้งสิ้น 18 คน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ และมีตัวแทนจากภาคเอกชนถึง 6 คน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บริหารอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งสิ้น แต่ในจำนวนกรรมการทั้งหมดกลับไม่มีตัวแทนของผู้บริโภคแม้แต่รายเดียว ด้วยเหตุนี้เองทำให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าถูกแทรกแซงจากการเมืองได้ง่าย ในอดีตพบกรณีบริษัทที่ถูกร้องเรียนมีความเกี่ยวโยงกับนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ทั้งในรูปแบบของการที่ญาติของนักการเมืองเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการในบริษัท หรือการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทหรือตัวบริษัทเองบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ปัญหาราคาไข่ไก่ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่แพงได้ มาจากการ “ผูกขาด” ในตลาดไข่ไก่ โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องดังกล่าวเริ่มขึ้นในปี 2544 ได้เกิดปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดทำราคาไข่ไก่ตกต่ำ ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าว่ามีการทุ่มตลาดในตลาดไข่ไก่โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ กระทั่งเกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย จนนำไปสู่การเกิดระบบโควตามาใช้จำกัดปริมาณพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ เพื่อลดจำนวนไก่สาวและปริมาณไข่ไก่ในตลาด โดยมีการคณะกรรมการกำหนดแนวทางการผลิตและการตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ในการจัดสรรโควตาปรากฏว่ามีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เพียง 9 รายเท่านั้น ประกอบไปด้วย บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) บ.อาหารเบทเทอร์ จำกัด ในเครือเบทาโกร บ.แหลมทองฟาร์ม จำกัด บ.ฟาร์มไก่พันธุ์เกิดเจริญ จำกัด บ.ฟาร์มกรุงไทย จำกัด บ.สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด บ.ยูไนเต็ดฟิดดิ้ง จำกัด บ.ยุ่สูงอาหารสัตว์ จำกัด หจก.อุดมชัยฟาร์ม โดยบ.เจริญโภคภัณฑ์ ฯ ได้รับการจัดสรรโควตาถึงร้อยละ 41 จากจำนวนพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ที่สามารถนำเข้าได้ทั้งหมด พฤติกรรมเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนยังไม่จบสิ้น เพราะในปีพ.ศ. 2549 ในสมัยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 โดยระเบียบดังกล่าวกำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง คือ คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Egg Board ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ทั้งระบบโดยที่ยังคงโควตาให้เดิมเอาไว้ พร้อมทั้งแต่งตั้งตัวแทนบริษัททั้ง 9 มานั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาของกรรมการชุดนี้อีกด้วย ปฎิเสธไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 9 รายมีอำนาจการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ไว้ในมือ ซึ่งทำให้เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ได้ด้วยตนเอง ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการซื้อลูกไก่พันธุ์ไข่จากบริษัททั้ง 9 ในสถานการณ์ดังกล่าวทำให้อำนาจการต่อรองตกอยู่ที่อยู่ที่ผู้ขาย(บริษัทยักษ์ใหญ่) ขณะที่ผู้ซื้อ(เกษตรกร)ไม่มีทางเลือก จึงเป็นที่มาของ “การขายพ่วง” (Tie-in Sales) คือการซื้อลูกไก่พ่วงอาหารสัตว์ แทนที่เกษตรกรจะมีช่องทางในการลดต้นทุนการผลิตโดยการผลิตอาหารสัตว์ใช้เอง แต่กลับต้องซื้ออาหารสัตว์พ่วงไปด้วย เพราะหากไม่ซื้ออาหารสัตว์กับทางบริษัทผู้ขายลูกไก่จะทำให้บริษัทนั้นไม่ยอมขายลูกไก่ให้กับเกษตรกรทำให้เกษตรกรไม่มีทางเลือกต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอม ในขณะเดียวกันทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่และเกษตรกรรายย่อยล้วนผลิตไข่ไก่เพื่อนำไปขายในตลาดไข่ไก่เช่นเดียวกัน กรณีนี้จึงถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยให้ตายไปจากอาชีพนี้ เพื่อที่ตนเองจะสามารถแสวงหากำไรสูงสุดจากการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ได้ ปมปัญหาดังกล่าวทำให้จำนวนเกษตรกรระหว่างปี 2543-2547 ลดลงอย่างน่าใจหาย จาก 7,000 ราย เหลือเพียง 3,000 รายเท่านั้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จำนวน 113 ฟาร์ม ในนามบริษัท เอ เอฟ อี จำกัด ขอนำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ จำนวน 58,100 ตัว โดยแบ่งโควตามาจากโควตาจำนวน 405,721 ตัว จากบริษัทยักษ์ใหญ่ 9 รายเดิม กระนั้น Egg Board มีมติไม่อนุมัติคำขออนุญาต จนท้ายที่สุดบ.เอ เอฟ อี ฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่า Egg Board ไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งทางปกครองดังกล่าว อีกทั้งการกำหนดโควตายังไม่ชอบด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 จากการกดดันของสังคมทำให้ในที่สุดวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกเลิกระบบโควตาการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ รวมทั้งสั่งการให้ทบทวนบทบาทและแนวทางในการดำเนินงานของ Egg Board และให้กระทรวงพาณิชย์นำ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาบังคับใช้ในเรื่องการตกลงร่วมกันลดปริมาณการผลิตลูกไก่ไข่ และพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมทางการค้า เช่น การขายพ่วงลูกไก่กับอาหารสัตว์ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคการผูกขาดตลาดไข่ไก่อันเกิดจากการใช้ระบบโควตาของรัฐบาล แม้ว่าระบบโควตาที่ถือเป็นกรงจองจำศักยภาพในการแข่งขันของเกษตรกรจะหมดไปแล้ว แต่ยังมีโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลชุดใหม่ จะต้องเข้ามาแก้ไข ซึ่งก็คือการปรับปรุงพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ในงานวิจัยของ “กฤดิกร” ที่นำเสนอต่อคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปนั้นได้นำเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งดำเนินการคือ 1.ให้เพิ่มความผิดทางปกครองเพื่อให้สามารถเอาผิดกับพฤติกรรมการกีดกันทางการค้าซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจรัฐได้ 2.ยกเลิกการจำกัดสิทธิในการฟ้องร้องกันเองของเอกชนเพื่อให้เอกชนสามารถหยิบกฎหมายฉบับนี้ไปบังคับใช้และส่งเสริมการแข่งขันในตลาดให้มากขึ้น 3. ให้กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมการกระทำขององค์กรของรัฐ 4.แก้ไขประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด โดยลดสัดส่วนส่วนแบ่งตลาด 5.แก้ไขบทกำหนดโทษของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้บทลงโทษในส่วนที่เป็นค่าปรับเป็นสัดส่วนกับขนาดของธุรกิจที่ทำการละเมิดกฎหมายฉบับนี้ 6.ยกเลิกการปกปิดข้อมูลที่สำนักแข่งขันทางการค้าได้มาจากผู้ประกอบการ 7.เปลี่ยนสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้เป็นองค์กรอิสระ โดยไม่ขึ้นกับการเมือง รวมถึงข้อเสนอเพื่อการส่งเสริมการแข่งขันในตลาดไข่ไก่ โดยขอให้เปิดให้มีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่อย่างเสรีและไม่นำระบบโควตาจำกัดปริมาณการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่กลับมาใช้อีก และภาครัฐควรเข้าไปมีบทบาทส่งเสริมการแข่งขันและควบคุมการผูกขาดในตลาดอาหารสัตว์ เรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายรัฐบาลว่าจะกล้าเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็น “ทุน”สำคัญให้กับทุกพรรคการเมืองได้หรือไม่ เพราะนอกจาก “ไข่ไก่” แล้ว ยังมีสินค้าการเกษตรอีกหลายชนิดที่จะได้รับอานิสสงส์ด้วย อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลจะอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนมากกว่าการลดภาษีสิ่งของเพียงชิ้นหรือสองชิ้นเท่านั้น!! ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนดัชนีชี้วัดค่าครองชีพที่คลาสสิคที่สุดหนีไม่พ้นราคา “ไข่ไก่” ด้วยเพราะ “ไข่ไก่” เป็นวัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารที่ทุกบ้านทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยเพียงใดจะต้องมี “ไข่ไก่” สำรองไว้ในครัวอยู่เสมอแต่ใครเลยจะเชื่อว่าประเทศไทยที่เป็นทั้งประเทศเกษตรกรรม เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และเป็นครัวของโลก แต่คนในประเทศกลับต้องควักกระเป๋าซื้อ “ไข่ไก่”ในราคาแพง โดยเฉพาะราคาไข่ ในช่วงรัฐบาลของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่พุ่งสูงถึงฟองละ 4 บาทกว่า จนนำไปสู่การออกมาตรการ “ชั่งไข่”และแม้ว่าขณะนี้จะมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การบริหารงานของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะแก้ไข ปัญหา “ไข่ทองคำ”ได้ ก่อนหน้านี้ได้มีงานวิจัยของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปอยู่หนึ่งชิ้นที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษากลไกและกระบวนการของการผูกขาดทางการค้าไว้อย่างละเอียด โดย “กฤดิกร เผดิมเกื้อกูลพงศ์” ผู้วิจัย ได้ทำการศึกษา พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และการผูกขาดในภาคเกษตร : กรณีศึกษาตลาดไข่ไก่” ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่ทำให้เห็นภาพของการกีดกันทางการค้าและการผูกขาดตลาดของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น เพราะงานวิจัยชิ้นนี้เป็นต้นแบบของการชำแหละกฏหมายเรื่องการผูกขาดทางการค้าในหลากหลายธุรกิจ ในงานวิจัยของ“กฤดิกร” ระบุว่าปัจจัยสำคัญของการกีดกันและผูกขาดทางการค้ามาจากข้อบกพร่องของพระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ที่ไม่สามารถเข้าไปจัดการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในตลาดได้ เพราะแม้ว่าจะมีข้อกำหนดเพื่อกำกับและควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการจำกัดแข่งขันทางการค้าทั้ง 4 กลุ่มประกอบด้วย 1.การใช้อำนาจเหนือตลาด 2.การควบรวมธุรกิจ 3.การกระทำการตกลงร่วมกัน และ 4.การกระทำที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมก็ตาม กระนั้นพ.ร.บ.ฉบับนี้กลับมีปัญหาในทางปฎิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า มีปัญหาในเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เนื่องจากโครงสร้างของคณะกรรมการชุดนี้ ถูกกำหนดให้มีจำนวนกรรมการทั้งสิ้น 18 คน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ และมีตัวแทนจากภาคเอกชนถึง 6 คน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บริหารอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งสิ้น แต่ในจำนวนกรรมการทั้งหมดกลับไม่มีตัวแทนของผู้บริโภคแม้แต่รายเดียว ด้วยเหตุนี้เองทำให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าถูกแทรกแซงจากการเมืองได้ง่าย ในอดีตพบกรณีบริษัทที่ถูกร้องเรียนมีความเกี่ยวโยงกับนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ทั้งในรูปแบบของการที่ญาติของนักการเมืองเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการในบริษัท หรือการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทหรือตัวบริษัทเองบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ปัญหาราคาไข่ไก่ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่แพงได้ มาจากการ “ผูกขาด” ในตลาดไข่ไก่ โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องดังกล่าวเริ่มขึ้นในปี 2544 ได้เกิดปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดทำราคาไข่ไก่ตกต่ำ ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าว่ามีการทุ่มตลาดในตลาดไข่ไก่โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ กระทั่งเกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย จนนำไปสู่การเกิดระบบโควตามาใช้จำกัดปริมาณพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ เพื่อลดจำนวนไก่สาวและปริมาณไข่ไก่ในตลาด โดยมีการคณะกรรมการกำหนดแนวทางการผลิตและการตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ในการจัดสรรโควตาปรากฏว่ามีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เพียง 9 รายเท่านั้น ประกอบไปด้วย บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) บ.อาหารเบทเทอร์ จำกัด ในเครือเบทาโกร บ.แหลมทองฟาร์ม จำกัด บ.ฟาร์มไก่พันธุ์เกิดเจริญ จำกัด บ.ฟาร์มกรุงไทย จำกัด บ.สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด บ.ยูไนเต็ดฟิดดิ้ง จำกัด บ.ยุ่สูงอาหารสัตว์ จำกัด หจก.อุดมชัยฟาร์ม โดยบ.เจริญโภคภัณฑ์ ฯ ได้รับการจัดสรรโควตาถึงร้อยละ 41 จากจำนวนพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ที่สามารถนำเข้าได้ทั้งหมด พฤติกรรมเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนยังไม่จบสิ้น เพราะในปีพ.ศ. 2549 ในสมัยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 โดยระเบียบดังกล่าวกำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง คือ คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Egg Board ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ทั้งระบบโดยที่ยังคงโควตาให้เดิมเอาไว้ พร้อมทั้งแต่งตั้งตัวแทนบริษัททั้ง 9 มานั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาของกรรมการชุดนี้อีกด้วย ปฎิเสธไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 9 รายมีอำนาจการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ไว้ในมือ ซึ่งทำให้เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ได้ด้วยตนเอง ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการซื้อลูกไก่พันธุ์ไข่จากบริษัททั้ง 9 ในสถานการณ์ดังกล่าวทำให้อำนาจการต่อรองตกอยู่ที่อยู่ที่ผู้ขาย(บริษัทยักษ์ใหญ่) ขณะที่ผู้ซื้อ(เกษตรกร)ไม่มีทางเลือก จึงเป็นที่มาของ “การขายพ่วง” (Tie-in Sales) คือการซื้อลูกไก่พ่วงอาหารสัตว์ แทนที่เกษตรกรจะมีช่องทางในการลดต้นทุนการผลิตโดยการผลิตอาหารสัตว์ใช้เอง แต่กลับต้องซื้ออาหารสัตว์พ่วงไปด้วย เพราะหากไม่ซื้ออาหารสัตว์กับทางบริษัทผู้ขายลูกไก่จะทำให้บริษัทนั้นไม่ยอมขายลูกไก่ให้กับเกษตรกรทำให้เกษตรกรไม่มีทางเลือกต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอม ในขณะเดียวกันทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่และเกษตรกรรายย่อยล้วนผลิตไข่ไก่เพื่อนำไปขายในตลาดไข่ไก่เช่นเดียวกัน กรณีนี้จึงถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยให้ตายไปจากอาชีพนี้ เพื่อที่ตนเองจะสามารถแสวงหากำไรสูงสุดจากการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ได้ ปมปัญหาดังกล่าวทำให้จำนวนเกษตรกรระหว่างปี 2543-2547 ลดลงอย่างน่าใจหาย จาก 7,000 ราย เหลือเพียง 3,000 รายเท่านั้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จำนวน 113 ฟาร์ม ในนามบริษัท เอ เอฟ อี จำกัด ขอนำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ จำนวน 58,100 ตัว โดยแบ่งโควตามาจากโควตาจำนวน 405,721 ตัว จากบริษัทยักษ์ใหญ่ 9 รายเดิม กระนั้น Egg Board มีมติไม่อนุมัติคำขออนุญาต จนท้ายที่สุดบ.เอ เอฟ อี ฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่า Egg Board ไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งทางปกครองดังกล่าว อีกทั้งการกำหนดโควตายังไม่ชอบด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 จากการกดดันของสังคมทำให้ในที่สุดวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกเลิกระบบโควตาการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ รวมทั้งสั่งการให้ทบทวนบทบาทและแนวทางในการดำเนินงานของ Egg Board และให้กระทรวงพาณิชย์นำ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาบังคับใช้ในเรื่องการตกลงร่วมกันลดปริมาณการผลิตลูกไก่ไข่ และพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมทางการค้า เช่น การขายพ่วงลูกไก่กับอาหารสัตว์ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคการผูกขาดตลาดไข่ไก่อันเกิดจากการใช้ระบบโควตาของรัฐบาล แม้ว่าระบบโควตาที่ถือเป็นกรงจองจำศักยภาพในการแข่งขันของเกษตรกรจะหมดไปแล้ว แต่ยังมีโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลชุดใหม่ จะต้องเข้ามาแก้ไข ซึ่งก็คือการปรับปรุงพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ในงานวิจัยของ “กฤดิกร” ที่นำเสนอต่อคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปนั้นได้นำเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งดำเนินการคือ 1.ให้เพิ่มความผิดทางปกครองเพื่อให้สามารถเอาผิดกับพฤติกรรมการกีดกันทางการค้าซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจรัฐได้ 2.ยกเลิกการจำกัดสิทธิในการฟ้องร้องกันเองของเอกชนเพื่อให้เอกชนสามารถหยิบกฎหมายฉบับนี้ไปบังคับใช้และส่งเสริมการแข่งขันในตลาดให้มากขึ้น 3. ให้กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมการกระทำขององค์กรของรัฐ 4.แก้ไขประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด โดยลดสัหวย 1611 62ดส่วนส่วนแบ่งตลาด 5.แก้ไขบทกำหนดโทษของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้บทลงโทษในส่วนที่เป็นค่าปรับเป็นสัดส่วนกับขนาดของธุรกิจที่ทำการละเมิดกฎหมายฉบับนี้ 6.ยกเลิกการปกปิดข้อมูลที่สำนักแข่งขันทางการค้าได้มาจากผู้ประกอบการ 7.เปลี่ยนสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้เป็นองค์กรอิสระ โดยไม่ขึ้นกับการเมือง รวมถึงข้อเสนอเพื่อการส่งเสริมการแข่งขันในตลาดไข่ไก่ โดยขอให้เปิดให้มีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่อย่างเสรีและไม่นำระบบโควตาจำกัดปริมาณการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่กลับมาใช้อีก และภาครัฐควรเข้าไปมีบทบาทส่งเสริมการแข่งขันและควบคุมการผูกขาดในตลาดอาหารสัตว์ เรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายรัฐบาลว่าจะกล้าเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็น “ทุน”สำคัญให้กับทุกพรรคการเมืองได้หรือไม่ เพราะนอกจาก “ไข่ไก่” แล้ว ยังมีสินค้าการเกษตรอีกหลายชนิดที่จะได้รับอานิสสงส์ด้วย อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลจะอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนมากกว่าการลดภาษีสิ่งของเพียงชิ้นหรือสองชิ้นเท่านั้น!!
จากเรื่องไข่ไก่ถึงการยกเลิกภาษีบ้าน และรถ ผูกขาดทางการค้า หรือให้ค่าประโยชน์ประชาชน !! จากเรื่องไข่ไ
วันนี้ (7 มิ.ย.2564) นางพังงา เทียนทอง อายุ 99 ปี 5 เดือน อดีตข้าราชการครู โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
วันนี้ (23 เม.ย.2567) ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ปฏิบัติการทลายเว็บพนันออนไลน์
จากเรื่องไข่ไก่ถึงการยกเลิกภาษีบ้าน และรถ ผูกขาดทางการค้า หรือให้ค่าประโยชน์ประชาชน !! จากเรื่องไข่ไก่ถึงการยกเลิกภาษีบ้าน และรถ ผูกขาดทางการค้า หรือให้ค่าประโยชน์ประชาชน !! ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนดัชนีชี้วัดค่าครองชีพที่คลาสสิคที่สุดหนีไม่พ้นราคา “ไข่ไก่” ด้วยเพราะ “ไข่ไก่” เป็นวัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารที่ทุกบ้านทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยเพียงใดจะต้องมี “ไข่ไก่” สำรองไว้ในครัวอยู่เสมอแต่ใครเลยจะเชื่อว่าประเทศไทยที่เป็นทั้งประเทศเกษตรกรรม เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และเป็นครัวของโลก แต่คนในประเทศกลับต้องควักกระเป๋าซื้อ “ไข่ไก่”ในราคาแพง โดยเฉพาะราคาไข่ ในช่วงรัฐบาลของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่พุ่งสูงถึงฟองละ 4 บาทกว่า จนนำไปสู่การออกมาตรการ “ชั่งไข่”และแม้ว่าขณะนี้จะมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การบริหารงานของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะแก้ไข ปัญหา “ไข่ทองคำ”ได้ ก่อนหน้านี้ได้มีงานวิจัยของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปอยู่หนึ่งชิ้นที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษากลไกและกระบวนการของการผูกขาดทางการค้าไว้อย่างละเอียด โดย “กฤดิกร เผดิมเกื้อกูลพงศ์” ผู้วิจัย ได้ทำการศึกษา พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และการผูกขาดในภาคเกษตร : กรณีศึกษาตลาดไข่ไก่” ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่ทำให้เห็นภาพของการกีดกันทางการค้าและการผูกขาดตลาดของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น เพราะงานวิจัยชิ้นนี้เป็นต้นแบบของการชำแหละกฏหมายเรื่องการผูกขาดทางการค้าในหลากหลายธุรกิจ ในงานวิจัยของ“กฤดิกร” ระบุว่าปัจจัยสำคัญของการกีดกันและผูกขาดทางการค้ามาจากข้อบกพร่องของพระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ที่ไม่สามารถเข้าไปจัดการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในตลาดได้ เพราะแม้ว่าจะมีข้อกำหนดเพื่อกำกับและควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการจำกัดแข่งขันทางการค้าทั้ง 4 กลุ่มประกอบด้วย 1.การใช้อำนาจเหนือตลาด 2.การควบรวมธุรกิจ 3.การกระทำการตกลงร่วมกัน และ 4.การกระทำที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมก็ตาม กระนั้นพ.ร.บ.ฉบับนี้กลับมีปัญหาในทางปฎิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า มีปัญหาในเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เนื่องจากโครงสร้างของคณะกรรมการชุดนี้ ถูกกำหนดให้มีจำนวนกรรมการทั้งสิ้น 18 คน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ และมีตัวแทนจากภาคเอกชนถึง 6 คน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บริหารอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งสิ้น แต่ในจำนวนกรรมการทั้งหมดกลับไม่มีตัวแทนของผู้บริโภคแม้แต่รายเดียว ด้วยเหตุนี้เองทำให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าถูกแทรกแซงจากการเมืองได้ง่าย ในอดีตพบกรณีบริษัทที่ถูกร้องเรียนมีความเกี่ยวโยงกับนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ทั้งในรูปแบบของการที่ญาติของนักการเมืองเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการในบริษัท หรือการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทหรือตัวบริษัทเองบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ปัญหาราคาไข่ไก่ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่แพงได้ มาจากการ “ผูกขาด” ในตลาดไข่ไก่ โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องดังกล่าวเริ่มขึ้นในปี 2544 ได้เกิดปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดทำราคาไข่ไก่ตกต่ำ ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าว่ามีการทุ่มตลาดในตลาดไข่ไก่โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ กระทั่งเกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย จนนำไปสู่การเกิดระบบโควตามาใช้จำกัดปริมาณพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ เพื่อลดจำนวนไก่สาวและปริมาณไข่ไก่ในตลาด โดยมีการคณะกรรมการกำหนดแนวทางการผลิตและการตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ในการจัดสรรโควตาปรากฏว่ามีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เพียง 9 รายเท่านั้น ประกอบไปด้วย บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) บ.อาหารเบทเทอร์ จำกัด ในเครือเบทาโกร บ.แหลมทองฟาร์ม จำกัด บ.ฟาร์มไก่พันธุ์เกิดเจริญ จำกัด บ.ฟาร์มกรุงไทย จำกัด บ.สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด บ.ยูไนเต็ดฟิดดิ้ง จำกัด บ.ยุ่สูงอาหารสัตว์ จำกัด หจก.อุดมชัยฟาร์ม โดยบ.เจริญโภคภัณฑ์ ฯ ได้รับการจัดสรรโควตาถึงร้อยละ 41 จากจำนวนพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ที่สามารถนำเข้าได้ทั้งหมด พฤติกรรมเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนยังไม่จบสิ้น เพราะในปีพ.ศ. 2549 ในสมัยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 โดยระเบียบดังกล่าวกำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง คือ คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Egg Board ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ทั้งระบบโดยที่ยังคงโควตาให้เดิมเอาไว้ พร้อมทั้งแต่งตั้งตัวแทนบริษัททั้ง 9 มานั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาของกรรมการชุดนี้อีกด้วย ปฎิเสธไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 9 รายมีอำนาจการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ไว้ในมือ ซึ่งทำให้เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ได้ด้วยตนเอง ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการซื้อลูกไก่พันธุ์ไข่จากบริษัททั้ง 9 ในสถานการณ์ดังกล่าวทำให้อำนาจการต่อรองตกอยู่ที่อยู่ที่ผู้ขาย(บริษัทยักษ์ใหญ่) ขณะที่ผู้ซื้อ(เกษตรกร)ไม่มีทางเลือก จึงเป็นที่มาของ “การขายพ่วง” (Tie-in Sales) คือการซื้อลูกไก่พ่วงอาหารสัตว์ แทนที่เกษตรกรจะมีช่องทางในการลดต้นทุนการผลิตโดยการผลิตอาหารสัตว์ใช้เอง แต่กลับต้องซื้ออาหารสัตว์พ่วงไปด้วย เพราะหากไม่ซื้ออาหารสัตว์กับทางบริษัทผู้ขายลูกไก่จะทำให้บริษัทนั้นไม่ยอมขายลูกไก่ให้กับเกษตรกรทำให้เกษตรกรไม่มีทางเลือกต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอม ในขณะเดียวกันทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่และเกษตรกรรายย่อยล้วนผลิตไข่ไก่เพื่อนำไปขายในตลาดไข่ไก่เช่นเดียวกัน กรณีนี้จึงถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยให้ตายไปจากอาชีพนี้ เพื่อที่ตนเองจะสามารถแสวงหากำไรสูงสุดจากการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ได้ ปมปัญหาดังกล่าวทำให้จำนวนเกษตรกรระหว่างปี 2543-2547 ลดลงอย่างน่าใจหาย จาก 7,000 ราย เหลือเพียง 3,000 รายเท่านั้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จำนวน 113 ฟาร์ม ในนามบริษัท เอ เอฟ อี จำกัด ขอนำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ จำนวน 58,100 ตัว โดยแบ่งโควตามาจากโควตาจำนวน 405,721 ตัว จากบริษัทยักษ์ใหญ่ 9 รายเดิม กระนั้น Egg Board มีมติไม่อนุมัติคำขออนุญาต จนท้ายที่สุดบ.เอ เอฟ อี ฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่า Egg Board ไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งทางปกครองดังกล่าว อีกทั้งการกำหนดโควตายังไม่ชอบด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 จากการกดดันของสังคมทำให้ในที่สุดวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกเลิกระบบโควตาการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ รวมทั้งสั่งการให้ทบทวนบทบาทและแนวทางในการดำเนินงานของ Egg Board และให้กระทรวงพาณิชย์นำ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาบังคับใช้ในเรื่องการตกลงร่วมกันลดปริมาณการผลิตลูกไก่ไข่ และพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมทางการค้า เช่น การขายพ่วงลูกไก่กับอาหารสัตว์ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคการผูกขาดตลาดไข่ไก่อันเกิดจากการใช้ระบบโควตาของรัฐบาล แม้ว่าระบบโควตาที่ถือเป็นกรงจองจำศักยภาพในการแข่งขันของเกษตรกรจะหมดไปแล้ว แต่ยังมีโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลชุดใหม่ จะต้องเข้ามาแก้ไข ซึ่งก็คือการปรับปรุงพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ในงานวิจัยของ “กฤดิกร” ที่นำเสนอต่อคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปนั้นได้นำเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งดำเนินการคือ 1.ให้เพิ่มความผิดทางปกครองเพื่อให้สามารถเอาผิดกับพฤติกรรมการกีดกันทางการค้าซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจรัฐได้ 2.ยกเลิกการจำกัดสิทธิในการฟ้องร้องกันเองของเอกชนเพื่อให้เอกชนสามารถหยิบกฎหมายฉบับนี้ไปบังคับใช้และส่งเสริมการแข่งขันในตลาดให้มากขึ้น 3. ให้กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมการกระทำขององค์กรของรัฐ 4.แก้ไขประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด โดยลดสัดส่วนส่วนแบ่งตลาด 5.แก้ไขบทกำหนดโทษของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้บทลงโทษในส่วนที่เป็นค่าปรับเป็นสัดส่วนกับขนาดของธุรกิจที่ทำการละเมิดกฎหมายฉบับนี้ 6.ยกเลิกการปกปิดข้อมูลที่สำนักแข่งขันทางการค้าได้มาจากผู้ประกอบการ 7.เปลี่ยนสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้เป็นองค์กรอิสระ โดยไม่ขึ้นกับการเมือง รวมถึงข้อเสนอเพื่อการส่งเสริมการแข่งขันในตลาดไข่ไก่ โดยขอให้เปิดให้มีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่อย่างเสรีและไม่นำระบบโควตาจำกัดปริมาณการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่กลับมาใช้อีก และภาครัฐควรเข้าไปมีบทบาทส่งเสริมการแข่งขันและควบคุมการผูกขาดในตลาดอาหารสัตว์ เรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายรัฐบาลว่าจะกล้าเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็น “ทุน”สำคัญให้กับทุกพรรคการเมืองได้หรือไม่ เพราะนอกจาก “ไข่ไก่” แล้ว ยังมีสินค้าการเกษตรอีกหลายชนิดที่จะได้รับอานิสสงส์ด้วย อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลจะอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนมากกว่าการลดภาษีสิ่งของเพียงชิ้นหรือสองชิ้นเท่านั้น!! ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนดัชนีชี้วัดค่าครองชีพที่คลาสสิคที่สุดหนีไม่พ้นราคา “ไข่ไก่” ด้วยเพราะ “ไข่ไก่” เป็นวัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารที่ทุกบ้านทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยเพียงใดจะต้องมี “ไข่ไก่” สำรองไว้ในครัวอยู่เสมอแต่ใครเลยจะเชื่อว่าประเทศไทยที่เป็นทั้งประเทศเกษตรกรรม เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และเป็นครัวของโลก แต่คนในประเทศกลับต้องควักกระเป๋าซื้อ “ไข่ไก่”ในราคาแพง โดยเฉพาะราคาไข่ ในช่วงรัฐบาลของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่พุ่งสูงถึงฟองละ 4 บาทกว่า จนนำไปสู่การออกมาตรการ “ชั่งไข่”และแม้ว่าขณะนี้จะมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การบริหารงานของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะแก้ไข ปัญหา “ไข่ทองคำ”ได้ ก่อนหน้านี้ได้มีงานวิจัยของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปอยู่หนึ่งชิ้นที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษากลไกและกระบวนการของการผูกขาดทางการค้าไว้อย่างละเอียด โดย “กฤดิกร เผดิมเกื้อกูลพงศ์” ผู้วิจัย ได้ทำการศึกษา พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และการผูกขาดในภาคเกษตร : กรณีศึกษาตลาดไข่ไก่” ซึ่งถือเป็นงานวิจัยที่ทำให้เห็นภาพของการกีดกันทางการค้าและการผูกขาดตลาดของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น เพราะงานวิจัยชิ้นนี้เป็นต้นแบบของการชำแหละกฏหมายเรื่องการผูกขาดทางการค้าในหลากหลายธุรกิจ ในงานวิจัยของ“กฤดิกร” ระบุว่าปัจจัยสำคัญของการกีดกันและผูกขาดทางการค้ามาจากข้อบกพร่องของพระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ที่ไม่สามารถเข้าไปจัดการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในตลาดได้ เพราะแม้ว่าจะมีข้อกำหนดเพื่อกำกับและควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการจำกัดแข่งขันทางการค้าทั้ง 4 กลุ่มประกอบด้วย 1.การใช้อำนาจเหนือตลาด 2.การควบรวมธุรกิจ 3.การกระทำการตกลงร่วมกัน และ 4.การกระทำที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมก็ตาม กระนั้นพ.ร.บ.ฉบับนี้กลับมีปัญหาในทางปฎิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า มีปัญหาในเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เนื่องจากโครงสร้างของคณะกรรมการชุดนี้ ถูกกำหนดให้มีจำนวนกรรมการทั้งสิ้น 18 คน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ และมีตัวแทนจากภาคเอกชนถึง 6 คน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บริหารอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งสิ้น แต่ในจำนวนกรรมการทั้งหมดกลับไม่มีตัวแทนของผู้บริโภคแม้แต่รายเดียว ด้วยเหตุนี้เองทำให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าถูกแทรกแซงจากการเมืองได้ง่าย ในอดีตพบกรณีบริษัทที่ถูกร้องเรียนมีความเกี่ยวโยงกับนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ทั้งในรูปแบบของการที่ญาติของนักการเมืองเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการในบริษัท หรือการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทหรือตัวบริษัทเองบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ปัญหาราคาไข่ไก่ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่แพงได้ มาจากการ “ผูกขาด” ในตลาดไข่ไก่ โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องดังกล่าวเริ่มขึ้นในปี 2544 ได้เกิดปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดทำราคาไข่ไก่ตกต่ำ ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าว่ามีการทุ่มตลาดในตลาดไข่ไก่โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ กระทั่งเกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย จนนำไปสู่การเกิดระบบโควตามาใช้จำกัดปริมาณพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ เพื่อลดจำนวนไก่สาวและปริมาณไข่ไก่ในตลาด โดยมีการคณะกรรมการกำหนดแนวทางการผลิตและการตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ในการจัดสรรโควตาปรากฏว่ามีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่เพียง 9 รายเท่านั้น ประกอบไปด้วย บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) บ.อาหารเบทเทอร์ จำกัด ในเครือเบทาโกร บ.แหลมทองฟาร์ม จำกัด บ.ฟาร์มไก่พันธุ์เกิดเจริญ จำกัด บ.ฟาร์มกรุงไทย จำกัด บ.สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด บ.ยูไนเต็ดฟิดดิ้ง จำกัด บ.ยุ่สูงอาหารสัตว์ จำกัด หจก.อุดมชัยฟาร์ม โดยบ.เจริญโภคภัณฑ์ ฯ ได้รับการจัดสรรโควตาถึงร้อยละ 41 จากจำนวนพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ที่สามารถนำเข้าได้ทั้งหมด พฤติกรรมเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนยังไม่จบสิ้น เพราะในปีพ.ศ. 2549 ในสมัยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 โดยระเบียบดังกล่าวกำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง คือ คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Egg Board ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลตลาดไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ทั้งระบบโดยที่ยังคงโควตาให้เดิมเอาไว้ พร้อมทั้งแต่งตั้งตัวแทนบริษัททั้ง 9 มานั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาของกรรมการชุดนี้อีกด้วย ปฎิเสธไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 9 รายมีอำนาจการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ไว้ในมือ ซึ่งทำให้เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ได้ด้วยตนเอง ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการซื้อลูกไก่พันธุ์ไข่จากบริษัททั้ง 9 ในสถานการณ์ดังกล่าวทำให้อำนาจการต่อรองตกอยู่ที่อยู่ที่ผู้ขาย(บริษัทยักษ์ใหญ่) ขณะที่ผู้ซื้อ(เกษตรกร)ไม่มีทางเลือก จึงเป็นที่มาของ “การขายพ่วง” (Tie-in Sales) คือการซื้อลูกไก่พ่วงอาหารสัตว์ แทนที่เกษตรกรจะมีช่องทางในการลดต้นทุนการผลิตโดยการผลิตอาหารสัตว์ใช้เอง แต่กลับต้องซื้ออาหารสัตว์พ่วงไปด้วย เพราะหากไม่ซื้ออาหารสัตว์กับทางบริษัทผู้ขายลูกไก่จะทำให้บริษัทนั้นไม่ยอมขายลูกไก่ให้กับเกษตรกรทำให้เกษตรกรไม่มีทางเลือกต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอม ในขณะเดียวกันทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่และเกษตรกรรายย่อยล้วนผลิตไข่ไก่เพื่อนำไปขายในตลาดไข่ไก่เช่นเดียวกัน กรณีนี้จึงถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยให้ตายไปจากอาชีพนี้ เพื่อที่ตนเองจะสามารถแสวงหากำไรสูงสุดจากการผูกขาดในตลาดไข่ไก่ได้ ปมปัญหาดังกล่าวทำให้จำนวนเกษตรกรระหว่างปี 2543-2547 ลดลงอย่างน่าใจหาย จาก 7,000 ราย เหลือเพียง 3,000 รายเท่านั้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จำนวน 113 ฟาร์ม ในนามบริษัท เอ เอฟ อี จำกัด ขอนำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ จำนวน 58,100 ตัว โดยแบ่งโควตามาจากโควตาจำนวน 405,721 ตัว จากบริษัทยักษ์ใหญ่ 9 รายเดิม กระนั้น Egg Board มีมติไม่อนุมัติคำขออนุญาต จนท้ายที่สุดบ.เอ เอฟ อี ฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่า Egg Board ไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งทางปกครองดังกล่าว อีกทั้งการกำหนดโควตายังไม่ชอบด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 จากการกดดันของสังคมทำให้ในที่สุดวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกเลิกระบบโควตาการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ รวมทั้งสั่งการให้ทบทวนบทบาทและแนวทางในการดำเนินงานของ Egg Board และให้กระทรวงพาณิชย์นำ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาบังคับใช้ในเรื่องการตกลงร่วมกันลดปริมาณการผลิตลูกไก่ไข่ และพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมทางการค้า เช่น การขายพ่วงลูกไก่กับอาหารสัตว์ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคการผูกขาดตลาดไข่ไก่อันเกิดจากการใช้ระบบโควตาของรัฐบาล แม้ว่าระบบโควตาที่ถือเป็นกรงจองจำศักยภาพในการแข่งขันของเกษตรกรจะหมดไปแล้ว แต่ยังมีโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลชุดใหม่ จะต้องเข้ามาแก้ไข ซึ่งก็คือการปรับปรุงพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2542 ในงานวิจัยของ “กฤดิกร” ที่นำเสนอต่อคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปนั้นได้นำเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งดำเนินการคือ 1.ให้เพิ่มความผิดทางปกครองเพื่อให้สามารถเอาผิดกับพฤติกรรมการกีดกันทางการค้าซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจรัฐได้ 2.ยกเลิกการจำกัดสิทธิในการฟ้องร้องกันเองของเอกชนเพื่อให้เอกชนสามารถหยิบกฎหมายฉบับนี้ไปบังคับใช้และส่งเสริมการแข่งขันในตลาดให้มากขึ้น 3. ให้กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมการกระทำขององค์กรของรัฐ 4.แก้ไขประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด โดยลดสัหวย 1611 62ดส่วนส่วนแบ่งตลาด 5.แก้ไขบทกำหนดโทษของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้บทลงโทษในส่วนที่เป็นค่าปรับเป็นสัดส่วนกับขนาดของธุรกิจที่ทำการละเมิดกฎหมายฉบับนี้ 6.ยกเลิกการปกปิดข้อมูลที่สำนักแข่งขันทางการค้าได้มาจากผู้ประกอบการ 7.เปลี่ยนสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้เป็นองค์กรอิสระ โดยไม่ขึ้นกับการเมือง รวมถึงข้อเสนอเพื่อการส่งเสริมการแข่งขันในตลาดไข่ไก่ โดยขอให้เปิดให้มีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่อย่างเสรีและไม่นำระบบโควตาจำกัดปริมาณการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่กลับมาใช้อีก และภาครัฐควรเข้าไปมีบทบาทส่งเสริมการแข่งขันและควบคุมการผูกขาดในตลาดอาหารสัตว์ เรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายรัฐบาลว่าจะกล้าเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็น “ทุน”สำคัญให้กับทุกพรรคการเมืองได้หรือไม่ เพราะนอกจาก “ไข่ไก่” แล้ว ยังมีสินค้าการเกษตรอีกหลายชนิดที่จะได้รับอานิสสงส์ด้วย อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลจะอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนมากกว่าการลดภาษีสิ่งของเพียงชิ้นหรือสองชิ้นเท่านั้น!!
จากเรื่องไข่ไก่ถึงการยกเลิกภาษีบ้าน และรถ ผูกขาดทางการค้า หรือให้ค่าประโยชน์ประชาชน !! จากเรื่องไข่ไ
สิ่งอำนวยความสะดวก
การตกแต่ง
เครื่องปรับอากาศ
ชั้นบน
เตาอบ/ไมโครเวฟ
ความสะดวกโดยรอบ
กล้องวงจรปิด
เครืองปรับอากาศ
โถงรอลิฟท์ร้านอาหาร
ทางเข้าหลัก
ยอดสินเชื่อโดยประมาณ
รายละเอียดสินเชื่อ
ยอดสินเชื่อที่ต้องชำระต่อเดือนโดยประมาณ
฿ 0 / เดือน
฿ 0 เงินต้น
฿ 0 ดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายที่อาจต้องมีเบื้องต้น
เงินดาวน์ทั้งหมด
฿ 0
เงินดาวน์
จำนวนสินเชื่อ ฿ 0 ในอัตรา 0% ของสินเชื่อต่อราคาบ้าน (Loan-to-value)
Kota Malang dan sekitarnya - Hari ini, 1 Februari

Arsenal mulai sulit dihentikan di pentasLiga Primer Inggrismusim 2023/24. The Gunners selalu menang dalam tujuh pertandingan terakhir di kompetisi tersebut. Selama periode itu, skuat polesan Mikel Art
ดูรายละเอียดโครงการคำถามที่พบบ่อย
Seorang pria Lebanon yang menjalani 18 tahun di penjara di bawah pemerintahan Assad yang jatuh di Su
Bogor dan sekitarnya. Hari ini, cuaca di daerah Bogor terbilang cukup stabil dan beragam; sejak pagi
Kota Yogyakarta dan sekitarnya - Hari ini, sebagian besar wilayah di Daerah Istimewa Yogyakarta meng
Korlantas Polri menghentikan penerapan rekayasa lalu lintascontraflowdi ruas jalan tol KM 47 - KM 70
LONDON – Organisasi TellMAMA (Measuring Anti-Muslim Attacks) yang berbasis di Inggris mengungkapkan,
ค้นหาประกาศอื่นรอบๆ ทุ่งพญาไท
จากสิ่งที่คุณค้นหา คุณอาจจะสนใจตัวเลือกต่อไปนี้
บา คา ร่า ฟรี เครดิต ไม่ ต้อง แชร์
ฝาก ขั้น ต่ํา 10