ความคืบหน้าเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลครั้งรุ

วันนี้ (9 ม.ค.2568) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ผบช.สอท. เปิดเผยถึงกรณีที่มีชายไทยตกจากตึกสูง 18 ชั้น ในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ว่าจากข้อมูลเบื้องต้น
วันนี้ (28 ก.พ.2565) เที่ยวบิน SV846 สายการบิน Saudia ซึ่งเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ จากซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 32 ปี บินตรงจาก เมืองเจดดาห์ กรุงริยาร์ด ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้ว เมื่อเวลา 18.05 น. และมีผู้
“เราจะนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” คำถามนี้อาจจะเหมือนคำถามง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างซับซ้อน ในขั้นแรกเราอาจจะมองคำถามนี้เหมือนคำถามเช่น “เราจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” หรือ “เราจะนำแมวมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” ซึ่งคำตอบก็อาจจะดูง่ายมาก เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ก็คือการนำเอาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ การนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ หรือการนำแมวมาใช้ในชีวิตประจำวันก็อาจจะคือการนำมาใช้จับหนู แต่นั่นคือคำตอบในลักษณะที่เรามองว่า เทคโนโลยีหรือแมวเป็นผลิตภัณฑ์ (Product) แต่จริง ๆ แล้วหากเรามองทุกอย่างเป็นกระบวนการ เราอาจต้องถอยย้อนกลับมาหนึ่งก้าวแล้วมองสิ่งที่เป็นกระบวนการมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ ริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman) ได้เคยเปรียบเทียบการมองวิทยาศาสตร์เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ว่า มันเหมือนกับลัทธิบูชาสินค้าที่หลงลืมกระบวนการที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์ ซึ่งนั่นหมายความว่าแท้จริงแล้วการตอบคำถามว่า “เราจะนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” ไม่ใช่การตอบคำถามเชิงการนำเอาผลิตภัณฑ์ของวิทยาศาสตร์ (ซึ่งอาจจะเหมารวมถึง AI หุ่นยนต์ หรือการตัดต่อดีเอ็นเอ) มาใช้ แต่เป็นการนำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกระบวนการมาใช้นั่นเอง นั่นหมายความว่าหากเราต้องการนำเอากระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ เราต้องเข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เสียก่อน แต่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ หากผ่านการส่งต่อมาหลายยุคหลายสมัย โดยที่เราอาจมองได้ว่าวิทยาศาสตร์คือศาสตร์ที่พยายามอธิบายความจริงของธรรมชาติ ซึ่งหลักการและกระบวนการของมันอาจเปลี่ยนไปเพื่ออุดช่องโหว่ในอดีต แต่สุดท้ายปลายทางของมันก็คือความพยายามสร้างหลักการที่ใช้ในการอธิบายธรรมชาติให้ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ปัจจุบันกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้นสอนให้เราอธิบายสิ่งรอบตัวโดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมหรือความเป็นไปของสิ่งรอบตัว และตีความถึงผลที่จะนำไปสู่หรือจะทำให้เกิดขึ้น กล่าวคือ ความเชื่อมโยงของมัน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องอาศัยขอบเขตในการอธิบาย และถ้าหากเราอธิบาย 3 สิ่งนี้ตามสิ่งที่เราเรียนกันมาในชั้นประถมฯ หรือมัธยมฯ มันจะถูกแทนที่ด้วยคำ 3 คำได้แก่ “ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม” โดยเราจะอธิบายความเชื่อมโยงผ่านสิ่งที่เราเรียกเบื้องต้นว่าสมมติฐาน ก่อนที่จะมีกระบวนการบางอย่างเพื่อพิสูจน์สิ่งนั้น โดยที่การพิสูจน์ก็จำเป็นจะต้องบอกขอบเขตด้วยเช่นกัน ว่าในบริบทใดที่จะทำให้สิ่งนั้นเป็นดังเช่นที่เรากล่าวอ้างมา ยกตัวอย่างเช่น หากเราสังเกตว่าน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เราอาจจะต้องอธิบายว่าเหตุใดน้ำจึงไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำได้ด้วย สมมติฐานของเราอาจบอกว่าเพราะโลกมีแรงดึงดูด นั่นหมายความว่าหากเรานำน้ำไปอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงน้ำจะไม่ได้ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ หรืออาจจะต้องอธิบายว่าที่สูงหรือที่ต่ำคืออะไร เช่น “ที่สูง” คือบริเวณที่อยู่ไกลจุดศูนย์กลางของโลกมากกว่า (รัศมีเยอะกว่า) “ที่ต่ำ” คือบริเวณที่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของโลกมากกว่า ดังนั้นบริเวณขั้วโลกเหนือ กับขั้วโลกใต้ จึงไม่ใช่นิยามความสูงต่ำของโลก นั่นอาจทำให้เราตีความต่อได้ว่า หากมีคนกล่าวอ้างว่า “น้ำไหลจากขั้วโลกเหนือลงสู่ขั้วโลกใต้” จะไม่สมเหตุสมผล เพราะหากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อยู่ในบริเวณที่มีรัศมีห่างจากจุดศูนย์กลางของโลกเท่ากัน น้ำก็จะไม่ได้ไหลจากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้ หากแต่จะไหลลงในบริเวณที่ต่ำกว่าตามนิยามเรื่องรัศมี และนั่นคือตัวอย่างของการนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คือการอธิบายความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราสามารถสังเกตได้ โดยการคำนึงถึงขอบเขตหนึ่ง หรือระบบหนึ่ง ดังนั้นเราสามารถนำวิทยาศาสตร์มาใช้ได้กับชีวิตของเรา เพราะชีวิตของเราล้วนต้องสังเกตสิ่งต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมของธรรมชาติ พฤติกรรมของคน พฤติกรรมของสัตว์ และความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งต่อกัน โปรแกรมเมอร์ก็ต้องสังเกตพฤติกรรมของคอมพิวเตอร์ เชฟหรือพ่อครัวก็ต้องสังเกตพฤติกรรมของอาหารและความเชื่อมโยงในการหุง อุ่น ตุ๋น ต้ม นึ่งอาหาร ว่าอะไรส่งผลต่ออะไร หรือนักข่าวก็อาจต้องพยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตามแบบที่มันเป็นจริง ๆ และระวังการตีความที่เป็นตรรกะวิบัติ (Faทาง เข้า slot1234pgllacy) หากมองตามนี้แล้ว เราอาจสังเกตได้ว่าหากเรามองวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ เราจะสามารถนำวิทยาศาสตร์มาใช้กับอะไรก็ได้ และจากความจริงที่ว่าวิทยาศาสตร์พยายามอุดช่องโหว่ของตัวเองในการอธิบายธรรมชาติ ก็อาจนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า วิทยาศาสตร์อาจเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถหยิบยกมาใช้ในการอธิบายโลกใบนี้ได้ และแม้มันจะยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่มันก็คือเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เรามีในปัจจุบันนั่นเอง “รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
“เราจะนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” คำถามนี้อาจจะเหมือนคำถามง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้วเราส
เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2565 หลังจากได้รับแจ้งจากเรือประมงว่า พบบุคคลไม่ทราบสัญชาติ เพศชาย บนเรือยางเป่า
วานนี้ ( 6 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงาน นายสาวิทย์ แก้วหวาน อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร
“เราจะนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” คำถามนี้อาจจะเหมือนคำถามง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างซับซ้อน ในขั้นแรกเราอาจจะมองคำถามนี้เหมือนคำถามเช่น “เราจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” หรือ “เราจะนำแมวมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” ซึ่งคำตอบก็อาจจะดูง่ายมาก เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ก็คือการนำเอาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ การนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ หรือการนำแมวมาใช้ในชีวิตประจำวันก็อาจจะคือการนำมาใช้จับหนู แต่นั่นคือคำตอบในลักษณะที่เรามองว่า เทคโนโลยีหรือแมวเป็นผลิตภัณฑ์ (Product) แต่จริง ๆ แล้วหากเรามองทุกอย่างเป็นกระบวนการ เราอาจต้องถอยย้อนกลับมาหนึ่งก้าวแล้วมองสิ่งที่เป็นกระบวนการมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ ริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman) ได้เคยเปรียบเทียบการมองวิทยาศาสตร์เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ว่า มันเหมือนกับลัทธิบูชาสินค้าที่หลงลืมกระบวนการที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์ ซึ่งนั่นหมายความว่าแท้จริงแล้วการตอบคำถามว่า “เราจะนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร” ไม่ใช่การตอบคำถามเชิงการนำเอาผลิตภัณฑ์ของวิทยาศาสตร์ (ซึ่งอาจจะเหมารวมถึง AI หุ่นยนต์ หรือการตัดต่อดีเอ็นเอ) มาใช้ แต่เป็นการนำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกระบวนการมาใช้นั่นเอง นั่นหมายความว่าหากเราต้องการนำเอากระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ เราต้องเข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เสียก่อน แต่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ หากผ่านการส่งต่อมาหลายยุคหลายสมัย โดยที่เราอาจมองได้ว่าวิทยาศาสตร์คือศาสตร์ที่พยายามอธิบายความจริงของธรรมชาติ ซึ่งหลักการและกระบวนการของมันอาจเปลี่ยนไปเพื่ออุดช่องโหว่ในอดีต แต่สุดท้ายปลายทางของมันก็คือความพยายามสร้างหลักการที่ใช้ในการอธิบายธรรมชาติให้ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ปัจจุบันกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้นสอนให้เราอธิบายสิ่งรอบตัวโดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมหรือความเป็นไปของสิ่งรอบตัว และตีความถึงผลที่จะนำไปสู่หรือจะทำให้เกิดขึ้น กล่าวคือ ความเชื่อมโยงของมัน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องอาศัยขอบเขตในการอธิบาย และถ้าหากเราอธิบาย 3 สิ่งนี้ตามสิ่งที่เราเรียนกันมาในชั้นประถมฯ หรือมัธยมฯ มันจะถูกแทนที่ด้วยคำ 3 คำได้แก่ “ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม” โดยเราจะอธิบายความเชื่อมโยงผ่านสิ่งที่เราเรียกเบื้องต้นว่าสมมติฐาน ก่อนที่จะมีกระบวนการบางอย่างเพื่อพิสูจน์สิ่งนั้น โดยที่การพิสูจน์ก็จำเป็นจะต้องบอกขอบเขตด้วยเช่นกัน ว่าในบริบทใดที่จะทำให้สิ่งนั้นเป็นดังเช่นที่เรากล่าวอ้างมา ยกตัวอย่างเช่น หากเราสังเกตว่าน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เราอาจจะต้องอธิบายว่าเหตุใดน้ำจึงไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำได้ด้วย สมมติฐานของเราอาจบอกว่าเพราะโลกมีแรงดึงดูด นั่นหมายความว่าหากเรานำน้ำไปอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงน้ำจะไม่ได้ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ หรืออาจจะต้องอธิบายว่าที่สูงหรือที่ต่ำคืออะไร เช่น “ที่สูง” คือบริเวณที่อยู่ไกลจุดศูนย์กลางของโลกมากกว่า (รัศมีเยอะกว่า) “ที่ต่ำ” คือบริเวณที่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของโลกมากกว่า ดังนั้นบริเวณขั้วโลกเหนือ กับขั้วโลกใต้ จึงไม่ใช่นิยามความสูงต่ำของโลก นั่นอาจทำให้เราตีความต่อได้ว่า หากมีคนกล่าวอ้างว่า “น้ำไหลจากขั้วโลกเหนือลงสู่ขั้วโลกใต้” จะไม่สมเหตุสมผล เพราะหากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อยู่ในบริเวณที่มีรัศมีห่างจากจุดศูนย์กลางของโลกเท่ากัน น้ำก็จะไม่ได้ไหลจากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้ หากแต่จะไหลลงในบริเวณที่ต่ำกว่าตามนิยามเรื่องรัศมี และนั่นคือตัวอย่างของการนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คือการอธิบายความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราสามารถสังเกตได้ โดยการคำนึงถึงขอบเขตหนึ่ง หรือระบบหนึ่ง ดังนั้นเราสามารถนำวิทยาศาสตร์มาใช้ได้กับชีวิตของเรา เพราะชีวิตของเราล้วนต้องสังเกตสิ่งต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมของธรรมชาติ พฤติกรรมของคน พฤติกรรมของสัตว์ และความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งต่อกัน โปรแกรมเมอร์ก็ต้องสังเกตพฤติกรรมของคอมพิวเตอร์ เชฟหรือพ่อครัวก็ต้องสังเกตพฤติกรรมของอาหารและความเชื่อมโยงในการหุง อุ่น ตุ๋น ต้ม นึ่งอาหาร ว่าอะไรส่งผลต่ออะไร หรือนักข่าวก็อาจต้องพยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตามแบบที่มันเป็นจริง ๆ และระวังการตีความที่เป็นตรรกะวิบัติ (Faทาง เข้า slot1234pgllacy) หากมองตามนี้แล้ว เราอาจสังเกตได้ว่าหากเรามองวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ เราจะสามารถนำวิทยาศาสตร์มาใช้กับอะไรก็ได้ และจากความจริงที่ว่าวิทยาศาสตร์พยายามอุดช่องโหว่ของตัวเองในการอธิบายธรรมชาติ ก็อาจนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า วิทยาศาสตร์อาจเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถหยิบยกมาใช้ในการอธิบายโลกใบนี้ได้ และแม้มันจะยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่มันก็คือเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เรามีในปัจจุบันนั่นเอง “รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
วันนี้ (11 ม.ค.2564) ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่ง โพสต์ภาพอาหารที่มีข้าวอยู่ในกล่องพลาสติกใส มีก