สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เปิดเผยว่า การผลิตฝิ่นในเมียนมาเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยเมื่อปีที่ผ่านมา จำนวนรวมเพิ่มขึ้นแตะ 795 ตัน หรือเกือบ 2 เท่า ของยอดเมื่อปี 2021
วันนี้ (31 ธ.ค.2566) "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน กรณี "ที่สุดแห่
เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2565 บขส.จัดรถโดยสารทั้งรถ บขส., รถร่วมบริการ และรถตู้ ให้บริการประชาชนเดินทางออกจากกรุงเทพฯ รองรับผู้โดยสารได้กว่า 35,000 คน โดยพบเดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือสูงที่สุด รองลงมาภาค
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เปิดเผยว่า การผลิตฝิ่นในเมียนมาเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยเมื่อปีที่ผ่านมา จำนวนรวมเพิ่มขึ้นแตะ 795 ตัน หรือเกือบ 2 เท่า ของยอดเมื่อปี 2021 คือ 423 ตัน พื้นที่เพาะปลูกฝิ่นในปี 2022 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 33% หรือราว 1 ใน 3 เป็นมากกว่า 250,000 ไร่ และยังมีผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด นับตั้งแต่ที่ UNODC เริ่มเก็บข้อมูลเมื่อปี 2002 UNODC เชื่อว่า ปัจจัยที่ทำให้การผลิตฝิ่นเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งคือปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงความมั่นคงและประกอบกับราคายางฝิ่นที่นำไปผลิตเฮโรอีนในตลาดโลกยังเพิ่มสูงขึ้น ก่อนหน้านี้ปริมาณการปลูกฝิ่นในเมียนมาลดน้อยลง หลังจากเศรษฐกิจเมียนมาฟื้นตัวขึ้น และประชาชนมีโอกาสในการประกอบอาชีพอื่น ๆ มากขึ้น จากเดิมที่คนจำนวนไม่น้อยทำงานในไร่ฝิ่น เนื่องจากเป็นพืชที่อาศัยแรงงานค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ยังมีโครงการสนับสนุนเกษตรกรให้หันไปทำเกษตรพืชอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี ประกอบกับเพราะเครือข่ายยาเสพติดหันไปผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ชนิดอื่น ๆ อย่างยาไอซ์มากกว่า ยอดปลูกฝิ่นจึงลดลง แต่การรัฐประหารเมื่อ ก.พ.2021 นำมาซึ่งปัญหาปากท้อง ที่ทำให้เกษตรกรในพื้นที่ชนบทแถบเหนือและแถบชายแดนไทยและลาว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ไม่มีทางเลือกทำมาหากิน จึงหันกลับไปพึ่งพาการปลูกฝิ่น ผู้แทนจาก UNODC ระบุว่า อาจเรียกได้ว่า สามเหลี่ยมทองคำกลับเข้าสู่ธุรกิจฝิ่นอีกครั้ง หลังจากปัญหานี้เบาบางลงหลายปี โดยเมื่อปี 2020 ยอดผลิตฝิ่นเมียนมาลดลงต่ำสุดเหลือ 400 ตัน อีกทั้งปัญหาความไม่สงบที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร ยังทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลเพื่อปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดได้ นอกจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว เศรษฐกิจในเมียนมายังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกด้วย เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง ทาง UNODC มองว่า ปริมาณการปลูกฝิ่นสะท้อนถึงปัญหาปากท้องอย่างชัดเจน เพราะการปลูกพืชชนิดนี้ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก และเมื่อคนไม่มีทางเลือกอื่นในการประกอบอาชีพ จึงหันกลับไปเป็นแรงงานในไร่ฝิ่น เมียนมาเป็นประเทศที่ผลิตฝิ่นมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอัฟกานิสถาน ซึ่ง 2 ประเทศนี้เป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับผลิตเฮโรอีนส่วนใหญ่ของโลก การประมาณการของยูเอ็นชี้ว่า เม็ดเงินที่หมุนเวียนในธุรกิจฝิ่นของเมียนมา อาจสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 65,600 ล้านบาท ส่วนการค้ผล บอล ตารางาเฮโรอีนทั่วภูมิภาคนี้ คาดว่ามีมูลค่าสูงถึงกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 330,000 ล้านบาท เมื่อปีที่ผ่านมา คาดว่า ผู้ที่ปลูกฝิ่นในเมียนมา ขายฝิ่นได้ถึงกิโลกรัมละ 280 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 9,200 บาท การทำลายพืชเหล่านี้ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่จะกลับทำให้สถานการณ์เปราะบางลงอีก ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นๆ หรือยังไร้ซึ่งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากแนวโน้มความมั่นคงเป็นแบบนี้ต่อไป การปลูกฝิ่นและผลิตยาเสพติดอย่างเฮโรอีนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง UNODC ยังระบุด้วยว่า ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาควรร่วมประเมินสถานการณ์และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ วิเคราะห์ : วินิจฐา จิตร์กรี
วันนี้ (13 พ.ย.2565) นายอรรณพ บัวนวล นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยสัตวบาลจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราช