วันที่ 30 เมษายนของทุกปี เป็นวันยุติการลงโทษทางร่างกายต่อเด็กสากล โดยในปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยที่มีการประกาศใช้ “กฎหมายไม่ตีเด็ก”ผ่านพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบ
เพราะภาพที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ สะท้อนบุคคลสำคัญทางการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมตัวอยู่ในงานเด
วันนี้ (30 ต.ค.2567) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอี ร่วมกับสำนัก งานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ส
วันที่ 30 เมษายนของทุกปี เป็นวันยุติการลงโทษทางร่างกายต่อเด็กสากล โดยในปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยที่มีการประกาศใช้ “กฎหมายไม่ตีเด็ก”ผ่านพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ.2568 ซึ่งห้ามมิให้มีการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบ และ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา สาระสำคัญ คือ กำหนดให้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง มีสิทธิทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือ ปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือ ทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกายหรือจิตใจรู เล็ ต ทดลอง เล่น หรือ กระทำโดยมิชอบ ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ประธานกรรมการมูลนิธิศานติวัฒนธรรม บอกว่ามีงานวิจัย และ การศึกษาต่างๆมากมาย ที่ยืนยันว่าการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก ไม่เฉพาะการเฆี่ยนตี แต่รวมถึงการทำร้ายจิตใจจะมีผลต่อเด็กไปตลอดชีวิต ทำให้เด็กรู้สึกสูญเสียความรู้สึกการมีคุณค่าในตัวเอง สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง ความรู้สึกที่ไม่ดีที่มันทับถมอยู่เรื่อยๆ สะสมไปนานๆ หลายๆปี มีผลต่อการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ประธานกรรมการมูลนิธิศานติวัฒนธรรม ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ประธานกรรมการมูลนิธิศานติวัฒนธรรม หลักฐานเหล่านี้ทำให้มีพยายามจะเคลื่อนไหวเพื่อให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากคนรอบตัวที่ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าเป็นแค่เรื่องสนุก เช่น ล้อเลียนเด็ก ด้อยค่าเด็ก แม้ยังไม่ถึงขั้นเฆี่ยนตี แต่ก็ทำให้เด็กเจ็บปวด นานๆเข้าก็อาจจะมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล สงสัยในคุณค่าตัวเอง หรือ อาจจะเป็นสะสมความโกรธ ความก้าวร้าว หรือ ความเกลียดชัง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็จะเริ่มแสดงออกด้วยความรุนแรงต่างๆ เป็นเหมือนกันสืบทอดความรุนแรงต่อไปในสังคม แม้ว่าโลกจะตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงจากการใช้ความรุนแรงต่อเด็กมานานแล้ว แต่ประเทศไทยก็เพิ่งประกาศกฎหมายห้ามลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงเมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นประเทศที่ 68 ของโลก ขณะที่ประเทศแรกอย่างสวีเดนทำมาตั้งแต่เกือบ 40 ปีก่อน และแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ก็ประกาศไปก่อนเรา ประธานกรรมการมูลนิธิศานติวัฒนธรรม บอกว่าการบังคับใช้ “กฎหมายไม่ตีเด็ก” เป็นสิ่งที่ดี เพราะกฎหมายที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีความคลุมเครือ แม้ว่าอาจจะยังไม่มีบทลงโทษ แต่เมื่อเป็นกฎหมายคนก็จะรู้สึกว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ พยายามปฏิบัติตาม แต่การมีกฎหมายอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ เราต้องให้ความรู้กับสาธารณชนด้วยว่าการเลี้ยงดูเด็กเชิงบวก ไม่ต้องใช้ความรุนแรง มีคุณประโยชน์ยังไง แล้วการใช้ความรุนแรงต่อเด็กทำให้เกิดผลร้ายยังไง ประธานกรรมการมูลนิธิศานติวัฒนธรรมยังให้ความเห็นถึงการแก้ปัญหาการใช้ความรุนแรงกับเด็กของหน่วยงานภาครัฐที่ยังอาจไม่ครอบคลุม อย่างเช่น กระทรวงศึกษาธิการ แม้จะออกระเบียบห้ามเฆี่ยนตีเด็กมานานร่วม 20 ปีแล้ว แต่เราก็ยังเห็นว่าครูก็ยังตีเด็กอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าจะน้อยลง แต่ยังไม่หมด ยังมีข่าวเรื่องครูทำร้ายเด็กเกิดขึ้นที่นั่นที่นี่ รวมไปถึงเรื่องการทำร้ายจิตใจซึ่งยังพบได้ค่อนข้างเยอะ เหตุผลก็เพราะว่ากระทรวงศึกษาธิการออกระเบียบมา แต่ไม่ได้ทุ่มเทให้กับเรื่องการให้ความรู้กับครู และ ไม่มีเครื่องมือใหม่ๆ หลังถูกยึดไม้เรียวไป ครูที่ยังติดกับความเชื่อเดิมๆ ก็เลยยังแอบใช้ไม้เรียวอยู่ ขณะเดียวกันเรามีสถานพินิจสำหรับลงโทษเด็ก ควบคุมเด็กทั่วประเทศ แต่ขณะเดียวกันกลับไม่มีศูนย์ฝึกอบรมผู้ปกครอง เพราะส่วนใหญ่เด็กที่ไปเข้าสถานพินิจ ก็เพราะว่าการเลี้ยงดูที่บกพร่อง ทำให้เด็กเติบโตมาด้วยภาวะที่ไม่ปกติ แน่นอนว่าเด็กส่วนหนึ่งก็จะต้องใช้ความรุนแรงต่อไป สร้างปัญหาสังคมต่อไป ถ้าเราได้มีศูนย์อบรมผู้ปกครองอย่างเป็นหลักเป็นฐาน มีงบประมาณรองรับ ทำให้เป็นเหมือนบริการปกติ ของกระทรวงสาธารณสุข หรือ กระทรวงอื่นๆ เราก็จะป้องกันปัญหาสังคมได้ดีขึ้น ที่ผ่านมา มูลนิธิศานติวัฒนธรรมได้พัฒนา หลักสูตรการเลี้ยงดูเชิงบวก ที่ไม่ใช้ความรุนแรง และมีงานวิจัยรองรับผลลัพธ์จริง ผู้ปกครองหลายพันคนใน 6-7 จังหวัดได้เข้าร่วมอบรม และพบว่าเมื่อลองใช้วิธีเหล่านี้แล้ว พวกเขาสามารถเลี้ยงดูลูกได้โดยไม่ใช้การลงโทษแบบเดิม ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งมีคณะทำงานในเรื่องการป้องกันความรุนแรง และ การเลี้ยงดูเด็กเชิงบวก ก็แนะนำว่าเราควรจะร่วมมือกันในระดับภูมิภาคกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจริงๆแล้ว เราก็มีเครือข่าย และ เริ่มออกไปแลกเปลี่ยนกัน มีการฝึกอบรมให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เยอะขึ้น จริงๆแล้วในประเทศไทยเรา ได้สร้างชุมชนผู้ปฏิบัติงานด้านการเลี้ยงดูเด็กเชิงบวก มีสมาชิกอยู่หลายร้อยคน มีสัมมนาออนไลน์กันทุกๆ 2 เดือน มีจดหมายข่าว เว็บไซต์แลกเปลี่ยนความรู้กัน ถ้าเราทำเป็นเครือข่ายที่เป็นระดับภูมิภาคอย่างเป็นทางการ สถานการณ์ก็น่าจะดียิ่งขึ้น ผศ.ดร.สมบัติ ยังแสดงความห่วงใย ความรุนแรงกลายเป็นวัฒนธรรม เพราะในสังคมไทย เราเติบโตมากับความเชื่อจำนวนมากที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” ซึ่งบางเรื่องเป็นสิ่งดีงาม เช่น ความกตัญญู การเคารพผู้ใหญ่ การรู้จักเกรงใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายพฤติกรรมที่ถูกมองเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ความจริงแล้ว มันไม่ควรจะเป็น นั้นคือ ความรุนแรงต่อเด็ก ในอดีต การตีลูกถูกมองว่าเป็นการสั่งสอน “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ซึ่งสำนวนที่คนท่องจำ และ เชื่อว่าการลงโทษทางกาย คือ การแสดงความรัก แต่ในความเป็นจริงแผลจากไม้อาจจะฝังลึกลงไปในใจของเด็กไปอีกนาน
วันนี้ (14 เม.ย.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์บัญชาการสถานการณ์การระบาดโรค COVID-19 จ.เชียงใหม่ นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงสาธาร
- รู เล็ ต ทดลอง เล่น
- เกมคาสิโนได้เงินจริง
- วิเคราะห์ บอล มีเสียง
- pg ฝาก ถอน วอ เลท pg ฝาก ถอน วอ เลท
- slotxo แจ็ ค พอ ต
- โจ๊ก เกอร์ ส ล๊ อ ต