เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน 2 พี่น้อง เลียมและเจสซิน ฟิชเชอร์ (อายุ 7 ขวบและ 10 ขวบ) และลูกพี่ลูกน้อง ไคเด็น แมดเซน (อายุ 9 ขวบ) ขณะที่เด็ก ๆ ทั้ง 3 คนกำลังเดินป่าในรัฐนอร์ทดาโคต
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2568 ตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 2 ห้อง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ พบชาวเวียดนาม 2 คนอาศัยอยู่ภายใน หลังจากสืบทราบว่ามีแก๊งคอลเซนเตอร์เข้ามาพักอาศัยอยู่ใน จ.
กลุ่มขบวนการที่ถูกเปิดออกมาใน “คดีทุจริตยา โรงพยาบาลทหารผ่านศึก” ขณะนี้แบ่งออกเป็น กลุ่มผู้มีสิทธิเบิกตรง นายหน้าจัดแจง และบุคลากรในโรงพยาบาล และ ยังมีกลุ่มอื่นอีกหรือไม่ ที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ข้อมูลของ ป.ป.ท.พบว่า ในคดีที่ผ่านมา ๆ พบว่า การทุจริตยามีการโยงใยไปถึงผู้รับผลประโยชน์ 3 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน รวมถึง ตัวละครที่ยังไม่ถูกพูดถึงในกรณีของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก คือ “บริษัทขายยา” ซึ่งแต่ละคดี อาจจะไม่ได้มีโครงสร้างกลุ่มคน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ตายตัว เหมือนกันไปทุกคดี ขณะที่ 3 กลุ่มใหญ่ ที่ ป.ป.ท.พบว่า มักจะโยงใยอยู่ในขบวนการทุจริตเบิกจ่ายยา กลุ่มแรก คือ ผู้ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว กลุ่มที่ 2 คือ บุคลากรในโรงพยาบาล และกลุ่มสุดท้ายที่ดูเหมือนจะได้ผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ ในคดีที่ผ่าน ๆ มา คือ “บริษัทขายยา” พฤติกรรมในคดีทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึกที่มักพบ คือ การนัดแนะให้ทานอาหารแสลงเพืsuper slot joker5g slotxo่อให้ในวันที่ไปตรวจจะได้มีอาการของโรคชัดขึ้น รวมถึงนัดแนะคำพูดเพื่อขอให้หมอสั่งยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่มีราคาแพง พฤติกรรมเช่นนี้เมื่อเทียบกับคดีเก่าเรียกว่า “การยิงยา” การยิงยา ถือเป็น 1 ใน 3 วิธี ที่ผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการทั้งที่เป็นผู้ป่วยจริง ผู้แกล้งป่วย หรือ ป่วยเล็ก ป่วยน้อย มักใช้ เพื่อให้ได้ยาที่ต้องการออกไปขายต่อ และวิธีการนี้เจ้าหน้าที่ระบุว่า มักจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนไปถึงบริษัทขายยา หรือ ตัวแทนจำหน่าย แต่ยังมีอีก 2 วิธี คือ การสวมสิทธิ โดยการสวมรอยไปใช้สิทธิแทน และอีกแบบคือ การชอปปิ้งยา คือ ตระเวนไปโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อให้ได้ยาจำนวนมากและนำไปขายต่อ ขณะที่บุคลากรในโรงพยาบาล การศึกษาของ ป.ป.ท. ในคดีที่ผ่านมา ๆ ระบุว่า เป็นกลุ่มใหญ่ที่มีช่องโหว่ ให้ทุจริตได้หลายรูปแบบ และในทางคดีการพิสูจน์ เพื่อเอาผิดทำได้ยาก หรือไม่ก็กลายเป็นแค่คดีฉ้อโกง ไม่ใช่คดีทุจริต มาถึงกลุ่มใหญ่อีกกลุ่ม คือ “บริษัทขายยา” กรณีจะยกเฉพาะทุจริตที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า กลุ่มบริษัทจำหน่ายยา มีความเกี่ยวพันกับโรงพยาบาล คือ มีการจ่ายค่าคอมมิชชั่น ให้กับโรงพยาบาลและแพทย์ในรูปแบบต่าง ๆ โดยเจ้าหน้าที่ยกตัวอย่างว่า ในปีที่มีการตรวจสอบพบว่า ตัวเลขงบประมาณการรักษาพยาบาลจากทั้งหมด 61,000 ล้านบาท เป็นค่ายากว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินจำนวนมาก แต่จริง ๆ การจะตัดสินใจซื้อยาของแต่ละโรงพยาบาล นั้นมีขั้นตอนในการดำเนินการ โดยโรงพยาบาลรัฐจะผ่านกรรมการกลั่นกรอง ซึ่งเรียกว่า คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด ซึ่งมีทั้งแพทย์จากทุกแผนก และผู้บริหารเพื่อร่วมกันพิจารณาว่า ยาที่แต่ละแผนกเสนอมา ยาใดควรเข้าบัญชียาของโรงพยาบาล ก่อนที่จะไปถึงการคัดเลือกว่าจะซื้อจากบริษัท หรือแหล่งขายใด ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร อดีตรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า (กรณีจะผลักดันยา) เขาก็ต้องมาคุยกันก่อนว่า แผนกเขาจะเลือกใช้อะไรแต่ต้องเข้าไปในบัญชีก่อน แต่ถ้าบอร์ดแข็งแรง ทั้งผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ และเภสัชกร ถ้าแข็งแรง หากจะดันแต่ไม่มีเหตุผลก็ไม่ผ่านนะ จากคดีในอดีตก็พอจะเห็นภาพว่า “การทุจริตเบิกจ่าย-ยา” มีใครอยู่ตรงไหน ที่สำคัญ ดูเหมือนวิธีการเดิม ๆ แบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ โดยที่ผู้เสียผลประโยชน์ ก็คือประชาชน อ่านข่าว : เตรียมแจ้งความปมทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก ผลสอบพบมีมูล "บิ๊กเต่า" จ่อลงพื้นที่ลพบุรี สอบคดีทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก กรมบัญชีกลางจ่อฟ้องร่วมเรียกค่าเสียหาย "ทุจริตยา"
กลุ่มขบวนการที่ถูกเปิดออกมาใน “คดีทุจริตยา โรงพยาบาลทหารผ่านศึก” ขณะนี้แบ่งออกเป็น กลุ่มผู้มีสิทธิเบิกตรง นายหน้าจัดแจง และบุคลากรในโรงพยาบาล และ ยังมีกลุ่มอื่นอีกหรือไม่ ที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ในกลุ่ม "พวกเราคือผู้บริโภค" ในลักษณะแจ้งเตือนผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ระบุ ว่า