วันนี้ (15 พ.ย.2567) ช่วงเย็นที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com โพสต์ข้อมูลในเฟซบุ๊ก Pawoot Pom Pongvitayapanu ตั้งข้อสังเกตถึง บริษัท TikTok ประเทศไทย ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ท
วันนี้ (29 ก.ค.2567) ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม กรุงเทพมหานคร รายงานเมื่อเวลา 17.30 น.ฝนเล็กน้อยถึงปานกลางพื้นที่ฝั่งธนบุรี พื้นที่พระนครชั้นใน ฝนปานกลาง ดินแดง ห้วยขวาง วังทองหลาง บึงกุ่ม คันนายาว จตุจักร ห
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com โพสต์ข้อมูลในเฟซบุ๊ก Pawoot Pom Pongvitayapanu ตั้งข้อสังเกตถึง บริษัท TikTok ประเทศไทย ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลกว่า ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com บริษัท TikTok ประเทศไทย ใช้ชื่อบริษัทว่า "บริษัท ติ๊กต๊อก เทคโนโลยีส์ จำกัด" ทุนจดทะเบียน 210 ล้านบาท (เปิดมา 2 ปีกว่า) ปีที่แล้วมีรายได้ 786 ล้านบาท มีกำไร 46.9 ล้านบาท (สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT ประกาศว่า คนไทยจ่ายเงิน TikTok Ads 840 ล้านบาท) เข้าใจว่าเป็นบริษัทมีการจ้างคนทำงาน และจ่ายเงินเดือนจากบริษัทนี้ ข้อสังเกตของ เจ้าพ่อ E-Commerce ไอคอนวงการธุรกิจออนไลน์ของไทย คือ ภาวุธยกตัวอย่าง บริษัทข้ามชาติจากฝั่งเอเชียและตะวันตกมาเปรียบเทียบกัน คือ บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ที่เมื่อปี 2565 บันทึกรายได้ในประเทศไทย 6,396 ล้านบาท กำไร 268 ล้านบาท เรียกว่า รายได้เกิดในประเทศเท่าไหร่ ก็บันทึกลงในประเทศเท่านั้น โดย ภาวุธมองว่าเป็นการกระทำที่โปร่งใสและน่ายกย่อง ในขณะที่บริษัทข้ามชาติที่ทำมาหากินกับคนไทย แล้วเอาเงินขนออกไปนอกประเทศ บันทึกรายได้ในประเทศนิดเดียว เช่น Facebook (Thailand) มีรายได้ปี 65 จำนวน 463 ล้านบาท ได้กำไร 5 ล้านบาท แต่เมื่อเช็กข้อมูลจาก DAAT ระบุว่าคนไทยจ่ายโฆษณากับ Facebook มากถึง 8,691 ล้านบาท หรือ Google (Thailand) ที่ปีที่แล้วมีรายได้ 1,336 ล้านบาท มีกำไร 59 ล้านบาท แต่ทาง DAAT บอกว่าคนไทยจ่ายเงิน Youtube และ Google รวมกันกว่า 5,435 ล้านบาท ทั้ง 2 บริษัทนี้ สร้างรายได้จากคนไทยจริงๆ รวมๆ กันนับหมื่นล้าน แต่โยกรายได้ออกไป เหลือนิดเดียว เสียภาษีให้ประเทศไทยนิดเดียว เจ้าพ่อ E-Commerce ระบุว่ารัฐไทยรู้อยู่นานแล้ว ผมกับคนออนไลน์เข้าไปคุยกับสรรพากรมาหลายปีแล้ว จนผลักดันออกมาเป็นกฎหมาย E-Service Tax ที่เก็บภาษี VAT กับบริษัทต่างชาติที่สร้างรายได้กับคนไทย แต่เก็บได้แค่ร้อยละ 7 เท่านั้น แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย พร้อมกับชี้ให้เห็นตัวเลขที่แท้จริงว่า คนไทยจ่ายเงินให้บริษัทออนไลน์ต่างชาติรวมๆ กันประมาณเองว่าปีนึงประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าไทยส่งออกข้าวทั้งปีอีก นี่คือ "การขาดดุลการค้าดิจิทัล" ที่รัเครดิต ฟรี 50 บาท ไม่ ต้อง ฝาก 2020 ล่าสุดแอ พ สล็อต ยืนยัน ตัว ตน รับ เครดิต ฟรี123xbet เครดิต ฟรีฐบาลไม่เคยนำตัวเลขนี้มารวมกับตัวเลขการขาดดุลการค้าของประเทศเลย และพยายามพูดเรื่องนี้กับภาครัฐมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนออกมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เลย ข้อมูลจาก Pawoot Personal Blog & Think Tank เริ่มต้นตั้งคำถามย้อนกลับไปหาผู้อ่านว่า เราจ่ายเงินให้กับบริการออนไลน์ของบริษัทต่างประเทศเดือนหนึ่งกี่บาท ทั้ง Apple iCloud, Google, Youtube, Netflix, Spotify และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมยกค่าใช้จ่ายเดือนละ 2,000 บาท หรือปีละ 24,000 บาทของตัวเองเป็นตัวอย่างเพิ่ม แน่นอนว่า ผู้ให้บริการต่างก็พยายามหารายได้จากการเก็บค่าบริการต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเราปล่อยให้เป็นไปมากกว่านี้ นั่นหมายถึงคนไทยจะจ่ายเงินออกนอกประเทศโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ถ้าเทียบดูแล้วปีนึงคนไทยจ่ายเงินให้กับบริษัทบริการออนไลน์ต่างประเทศสูงถึง 200,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปปี 64 ที่มีเพียงแค่ 172,750 ล้านบาท หรือ เทียบกับการส่งออกข้าวไทยในปี 2564 มีเพียง 107,758 ล้านบาท "ขายข้าวทั้งปี ยังไม่ได้เท่ากับคนไทยขาดดุลดิจิทัล" ภาวุธให้ข้อเสนอแนะว่า รัฐควรเพิ่มการขาดดุลสินค้าดิจิทัล เข้าไปในการคำนวนเชิงเศรษฐกิจของประเทศ เพราะไทยกำลังสูญเสียเงินมหาศาลให้กับผู้ให้บริการออนไลน์ต่างประเทศ และจะเป็นจุดที่ทำให้นักธุรกิจไทยได้คิดว่า ทำไมถึงปล่อยให้เงินจำนวนมหาศาลนี้ หลุดออกไปให้ต่างประเทศ ? จะสามารถสร้างบริการลักษณะเดียวกันได้ไหม ? หรือควรจะทำอย่างไรต่อ ?
เมื่อไม่ได้เจอครูในห้องเรียน พัฒนาการด้านต่างๆ เด็กวัยนี้จะทำได้อย่างไร เป็นคำถามและที่มาของแนวทางกา
วันนี้ (17 ส.ค.2566) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแ
จากกรณีเพจ “ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน” โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความว่า “ขาดราชการ 60 วัน นอนกินเงินเดือนฉ่ำ”
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com โพสต์ข้อมูลในเฟซบุ๊ก Pawoot Pom Pongvitayapanu ตั้งข้อสังเกตถึง บริษัท TikTok ประเทศไทย ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลกว่า ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com บริษัท TikTok ประเทศไทย ใช้ชื่อบริษัทว่า "บริษัท ติ๊กต๊อก เทคโนโลยีส์ จำกัด" ทุนจดทะเบียน 210 ล้านบาท (เปิดมา 2 ปีกว่า) ปีที่แล้วมีรายได้ 786 ล้านบาท มีกำไร 46.9 ล้านบาท (สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT ประกาศว่า คนไทยจ่ายเงิน TikTok Ads 840 ล้านบาท) เข้าใจว่าเป็นบริษัทมีการจ้างคนทำงาน และจ่ายเงินเดือนจากบริษัทนี้ ข้อสังเกตของ เจ้าพ่อ E-Commerce ไอคอนวงการธุรกิจออนไลน์ของไทย คือ ภาวุธยกตัวอย่าง บริษัทข้ามชาติจากฝั่งเอเชียและตะวันตกมาเปรียบเทียบกัน คือ บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ที่เมื่อปี 2565 บันทึกรายได้ในประเทศไทย 6,396 ล้านบาท กำไร 268 ล้านบาท เรียกว่า รายได้เกิดในประเทศเท่าไหร่ ก็บันทึกลงในประเทศเท่านั้น โดย ภาวุธมองว่าเป็นการกระทำที่โปร่งใสและน่ายกย่อง ในขณะที่บริษัทข้ามชาติที่ทำมาหากินกับคนไทย แล้วเอาเงินขนออกไปนอกประเทศ บันทึกรายได้ในประเทศนิดเดียว เช่น Facebook (Thailand) มีรายได้ปี 65 จำนวน 463 ล้านบาท ได้กำไร 5 ล้านบาท แต่เมื่อเช็กข้อมูลจาก DAAT ระบุว่าคนไทยจ่ายโฆษณากับ Facebook มากถึง 8,691 ล้านบาท หรือ Google (Thailand) ที่ปีที่แล้วมีรายได้ 1,336 ล้านบาท มีกำไร 59 ล้านบาท แต่ทาง DAAT บอกว่าคนไทยจ่ายเงิน Youtube และ Google รวมกันกว่า 5,435 ล้านบาท ทั้ง 2 บริษัทนี้ สร้างรายได้จากคนไทยจริงๆ รวมๆ กันนับหมื่นล้าน แต่โยกรายได้ออกไป เหลือนิดเดียว เสียภาษีให้ประเทศไทยนิดเดียว เจ้าพ่อ E-Commerce ระบุว่ารัฐไทยรู้อยู่นานแล้ว ผมกับคนออนไลน์เข้าไปคุยกับสรรพากรมาหลายปีแล้ว จนผลักดันออกมาเป็นกฎหมาย E-Service Tax ที่เก็บภาษี VAT กับบริษัทต่างชาติที่สร้างรายได้กับคนไทย แต่เก็บได้แค่ร้อยละ 7 เท่านั้น แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย พร้อมกับชี้ให้เห็นตัวเลขที่แท้จริงว่า คนไทยจ่ายเงินให้บริษัทออนไลน์ต่างชาติรวมๆ กันประมาณเองว่าปีนึงประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าไทยส่งออกข้าวทั้งปีอีก นี่คือ "การขาดดุลการค้าดิจิทัล" ที่รัเครดิต ฟรี 50 บาท ไม่ ต้อง ฝาก 2020 ล่าสุดแอ พ สล็อต ยืนยัน ตัว ตน รับ เครดิต ฟรี123xbet เครดิต ฟรีฐบาลไม่เคยนำตัวเลขนี้มารวมกับตัวเลขการขาดดุลการค้าของประเทศเลย และพยายามพูดเรื่องนี้กับภาครัฐมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนออกมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เลย ข้อมูลจาก Pawoot Personal Blog & Think Tank เริ่มต้นตั้งคำถามย้อนกลับไปหาผู้อ่านว่า เราจ่ายเงินให้กับบริการออนไลน์ของบริษัทต่างประเทศเดือนหนึ่งกี่บาท ทั้ง Apple iCloud, Google, Youtube, Netflix, Spotify และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมยกค่าใช้จ่ายเดือนละ 2,000 บาท หรือปีละ 24,000 บาทของตัวเองเป็นตัวอย่างเพิ่ม แน่นอนว่า ผู้ให้บริการต่างก็พยายามหารายได้จากการเก็บค่าบริการต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเราปล่อยให้เป็นไปมากกว่านี้ นั่นหมายถึงคนไทยจะจ่ายเงินออกนอกประเทศโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ถ้าเทียบดูแล้วปีนึงคนไทยจ่ายเงินให้กับบริษัทบริการออนไลน์ต่างประเทศสูงถึง 200,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปปี 64 ที่มีเพียงแค่ 172,750 ล้านบาท หรือ เทียบกับการส่งออกข้าวไทยในปี 2564 มีเพียง 107,758 ล้านบาท "ขายข้าวทั้งปี ยังไม่ได้เท่ากับคนไทยขาดดุลดิจิทัล" ภาวุธให้ข้อเสนอแนะว่า รัฐควรเพิ่มการขาดดุลสินค้าดิจิทัล เข้าไปในการคำนวนเชิงเศรษฐกิจของประเทศ เพราะไทยกำลังสูญเสียเงินมหาศาลให้กับผู้ให้บริการออนไลน์ต่างประเทศ และจะเป็นจุดที่ทำให้นักธุรกิจไทยได้คิดว่า ทำไมถึงปล่อยให้เงินจำนวนมหาศาลนี้ หลุดออกไปให้ต่างประเทศ ? จะสามารถสร้างบริการลักษณะเดียวกันได้ไหม ? หรือควรจะทำอย่างไรต่อ ?
วันนี้ (14 ก.ย.2564) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า การตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษเป็นไปตามคำแนะนำของหัวห