เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามในคำสั่งพรรคพลังประช

หลังสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ส่งหนังสือให้ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ชี้แจง ข้อเท็จจริง และข้อมูลเกี่ยวกับการจำหน่ายเหล็ก โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม

วันนี้ (28 ก.พ.2568) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงจดหมายที่ชาวอุยกูร์ 48 คน รวมตัวกันและเขียนจดหมายฉบับหนึ€ƒ่งส่งไปยัง UNHCR โดยส่งไปขอให้เข้ามาช่วยคุ้มครองระหว่างประเทศ หรือการพิจารณาสถานะผู้ลี้ภัย และระบุชัดต้องการกลับประเทศจีน เพราะหากกลับจะถูกประหัสประหาร การกักขัง การทรมาน ทำให้ชีวิตเผชิญกับอันตราย ถูกทำร้ายจนถึงชีวิต แต่จดหมายฉบับดังกล่าหวย วัน ศุกร์ว ไปไม่ถึง UNHCR และอ้างว่า ชาวอุยกูร์ ถูกถ่ายรูปเชื่อว่าเป็นการเตรียมความพร้อม ในการผลักดันกลับประเทศจีน จึงมีการประท้วงการอดอาหาร ส่วนจดหมายฉบับที่สอง เป็นของญาติชาวอุยกูร์ ที่ถูกแยกครอบครัว ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ในประเทศตุรกี ส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีของไทย ว่า “ขอให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยหยิบยกกรณีบิดาของนายกรัฐมนตรีลี้ภัยไปในต่างประเทศมาชี้เห็น ขอให้มีการพิจารณารวมครอบครัวได้ ณ ประเทศใดก็ได้” และเป็นการส่งในช่วงต้นปี 2568 สำหรับจดหมายฉบับที่สาม ส่งในช่วงต้นปี 2568 เนื้อหาขอร้องว่า “อย่าให้ถูกผลักดันกลับประเทศจีน ขอให้มีชีวิตและอยู่ด้วยกันได้” ที่เรียกว่าเป็นจดหมาย SOS ซึ่งจดหมายทั้งสามฉบับชัดเจนว่า ชาวอุยกูร์ ไม่ได้สมัครใจ หรือเต็มใจที่จะเดินทาง,กลับประเทศจีน ด้วยยังกังวลอันตรายที่จะเกิดขึ้น และสะท้อนว่า การแถลงข่าวของรัฐบาลไทย ที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2568 เป็นเท็จ อ้างว่า เดินทางกลับด้วยความสมัครใจ “ลองดูว่าความร่วมมือกับประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตย ที่มองเรื่องนี้อย่างหนักหน่วงว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ไทยทำไปแล้ว จะมีการเกิดขึ้นหรือไม่ ความร่วมมือที่กำลังจะมีหรือมีอยู่แล้วจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ทั้งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การศึกษา นวัตกรรมจะมีผลกระทบแน่นอน” นายกัณวีร์กล่าว นายกัณวีร์กล่าวว่า ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ในฐานะ UNHCR ได้ติดตามมาโดยตลอด และมีการประสานผลักดันให้มีการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ซึ่งเอกอัครราชทูตตุรกีประจำประเทศไทยเมื่อปี 2557 ประสานโดยตรงกับนายกรัฐมนตรีตุรกีในขณะนั้น ว่ามีชาวอุยกูร์ 200 คน ต้องการตั้งถิ่นฐานใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ตอบรับทันทีภายใน 5 นาที ส่งเครื่องบินมารับชาวอุยกูร์ดังกล่าวไปตุรกีทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาสถานะผู้ลี้ภัย แต่รัฐบาลไทยในสมัยนั้น หรือรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แจ้งว่า ยังมีชาวอุยกูร์ อีกกว่า 100 คน ขอเป็นเครื่องบินเช่าเหมาลำ 2 ลำ มารับได้หรือไม่ สุดท้ายมีการแทรกแซงจากรัฐบาลจีน ห้ามส่งกลุ่มคนนี้ไปยังประเทศที่สามของคน 400 คนชาวอุยกูร์ โดยในปี 2558 มีการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้กับกลุ่มเด็กและผู้หญิงไปอยู่ตุรกี และมีการผลักดัน 109 คน กลับจีน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบชะตากรรมว่าที่ใด และประเทศไทยทั้งที่ทราบถึงประวัติเหตุการณ์ดังกล่าว ยังไปทำใหŸä้เกิดเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นอีก โดยชาวอุยกูร์ 40 คน มีความพยายาม ที่จะร้องขออย่าส่งกลับไปยังจีน แต่รัฐบาลยืนยันว่า กลุ่มคนดังกล่าวต้องการกลับจีน นายกัณวีร์กล่าวต่อ ถึงคำแถลงการณ์ของรัฐบาลว่า สามารถติดตามชีวิตความเป็นอยู่ชาวอุยกูร์ได้ โดยรมว.ยุติธรรม จะเดินทางไปเยี่ยม โดยเห็นว่า เหตุการณ์อาจจะซ้ำรอยในอดีต ที่สุดท้ายไม่สามารถจะติดตามได้ พร้อมกันนี้ได้อธิบายถึงขั้นตอนการเดินทางกลับมาตุภูมิโดยสมัครใจ ว่าผู้ลี้ภัยต้องตัดสินใจเอง ที่ต้องมีการดำเนินการ Go and see come and tell หรือการมีตัวแทนเดินทางไปยังประเทศต้นกำเนิดว่าจะกลับไปอยู่ที่ใด และกลับมาบอกกลุ่มผู้ลี้ภัยบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและให้ผู้ลี้ภัยตัดสินใจด้วยตัวเอง “รัฐไทยไม่สามารถไปบอกแทนว่า เขาสมัครใจกันเอง ต้องให้เค้าเป็นคนพูด แต่นี่รัฐไทยทำอุ๊บอิ๊บ เงียบทุกอย่างเป็นภารกิจลับ และส่งกลับไปแล้วแล้วบอกว่า ทุกคนอยากกลับเอง ใครจะเชื่อคำพูดของคุณเมื่อมีหลักฐาน ใกล้ยืนยันว่าเค้าอยากกลับเองในเมื่อหลักฐานอยู่ตรงนี้€ƒ” นายกัณวีร์กล่าว อ่านข่าว : "อังคณา" ประณามรัฐบาลส่งอุยกูร์กลับจีน ห่วงไทยโดนประท้วง "แพทองธาร" ยอมรับรู้ขั้นตอนส่งกลับอุยกูร์-คุยจีนระดับผู้นำ อเมริกา-อังกฤษประณามไทยส่ง 40 อุยกูร์กลับจีน

วันนี้ (28 ก.พ.2568) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงจดหมายที่ชาวอุยกูร์ 48 คน รวมตัวกันและเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยัง UNHCR โดยส่งไปขอให้เข้ามาช่วยคุ้มครองระหว่างประเทศ หรือการพิจารณาสถานะ