วันนี้ (3 พ.ย.2567) บรรยากาศการเลือกตั้งนายกองค์กา

วันที่ 18 พ.ค.2566 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กขอบคุณประชาชน ผู้สนับสนุน ที่ลงคะแนนให้พรรครวมไทยสร้างชาติ และตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค พร้อมระบุถึงการเดินหน้าทำ
วันนี้ (28 ส.ค.2566) นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 และคาดว่าเศรษฐกิจในช่วงค
มีการคาดการณ์ว่า คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ ฟูมิโอะ คิชิดะ น่าจะรับรองแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่นี้อย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.2565) หลังจากมีการหารือกันมานานแล้วหลายเดือน และข่าวคืบหน้าในเรื่องนี้ก็ทยอยออกมาให้เห็นตามสื่อต่างๆ อยู่เป็นระยะ ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่ภาพกองทัพรัสเซียส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-95 ที่สามารถทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ บินลาดตระเวนเหนือน่านน้ำสากลบริเวณทะเลญี่ปุ่น การลาดตระเวนในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ญี่ปุ่นต้องส่งเครื่องบินรบขึ้นไปสกัดเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ของรัสเซียและจีน ซึ่งร่วมทำภารกิจลาดตระเวนเหนือทะเลญี่ปุ่น ดังนั้นสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น จึงเล็งเห็นถึงความเร่งด่วนของการยกระดับขีดความสามารถทางการทหาร ญี่ปุ่นไม่ได้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังเป็นคู่กรณีหลักในประเด็นพิพาทกับรัสเซียเรื่องหมู่เกาะคูริล และทะเลาะกับจีนเรื่องหมู่เกาะเซ็งกากุ หรือ เตียวหยู ในภาษาจีนอีกด้วย ในขณะที่รัสเซียและจีนเป็นมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 2 และ 3 ของโลก แต่ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นมหาอำนาจด้านนี้ได้ เพราะจะถือว่าขัดกับรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นหลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องใฝ่สันติและไม่สามารถมีกองทัพเป็นของตัวเองได้ แต่ยุทธศาสตร์กลาโหมฉบับใหม่นี้จะพลิกบทบาทกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ให้มีขีดความสามารถในการ "โจมตีกลับ" ซึ่งขีดความสามารถนี้จะเปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถยิงโจมตีฐานปล่อยขีปนาวุธที่อาจเป็นภัยคุกคามประเทศได้ หรือแม้กระทั่งการชิงโจมตีก่อน เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังมีภัย ประเด็นนี้กลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญมาตั้งแต่เริ่มมีการร่างยุทธศาสตร์แล้ว แต่ผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนชี้ว่า ชาวญี่ปุ่นมากกว่าร้อยละ 60 สนับสนุนแนวคิดนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเผชิญกับภัยคุกคามรอบด้าน ที่ยังไม่นับสงครามในยูเครน ที่ทำให้ทั่วโลกหันมาสั่งสมอาวุธกันมากขึ้น ขณะที่ตลอดทั้งปีนี้ คาบสมุทรเกาหลีเต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธหลายระลอก รวมแล้วใกล้แตะ 100 ลูก ในจำนวนนี้หลายลูกลอยข้ามเกาะญี่ปุ่น จนทำให้ต้องมีการเปิดสัญญาณเตือนภัย สถานการณ์เหล่านี้ยิ่งโหมกระพือความกังวลของญี่ปุ่นในประเด็นขีปนาวุธ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ โดยเฉพาะจีนและเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่นถือว่าตามหลังอยู่มาก ทั้งในด้านจำนวนและศักยภาพของอาวุธที่มีอยู่ เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นครอบครองเพียงแค่ขีปนาวุธพิสัยใกล้ ที่มีระยะยิง 200-300 กิโลเมตร เท่านั้นแต่ยุทธศาสตร์ฉบับใหม่จะทำให้ญี่ปุ่นสามารถเพิ่มศักยภาพในด้านนี้ได้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลมากกว่า 1,000 ลูก ซึ่งจะสามารถยิงไปได้ไกลถึงเกาหลีเหนือและพื้นที่ชายฝั่งของจีน รวมทั้งยังเตรียมพิจารณาจัดซื้อขีปนาวุธโทมาฮอว์ก ที่มีพิสัยยิงมากกว่า 1,200 กิโลเมตร จากสหรัฐฯ มากถึง 500 ลูกด้วย เมื่อมีขีปนาวุธเพิ่มก็ต้องเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ โดยญี่ปุ่นเตรียมสร้างคลังอาวุธ 130 แห่ง ภายในปี ค.ศ. 2035 หลังจากกังวลว่าประเทศอาจมีอาวุธในคลังแสงไม่เพียงพอต่อการทำสงครามในระยะยาว ซึ่งก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่า มีขีปนาวุธเพียงแค่ร้อยละ 60โปร ฝาก 50 รับ 150 ถอน ไม่ อั้น วอ เลท ของที่จำเป็นต้องใช้เพื่อสกัดขีปนาวุธของศัตรู ขณะที่การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม จากเดิมที่อยู่ราวๆร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 2 ของ GDP ตามเกณฑ์เดียวกับ NATO กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในเรื่องที่มาของเงินก้อนนี้ ว่าจะเก็บจากภาษี หรือตัดลดงบประมาณตัวอื่นๆ ของรัฐบาลลง นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมา ญี่ปุ่นยังเตรียมปรับรูปแบบการบัญชาการ โดยจะจัดตั้งศูนย์บัญชาการร่วมแห่งแรก เพื่อให้ทั้ง 3 เหล่าทัพประสานงานกันได้ดีมากยิ่งขึ้น เพิ่มกำลังทหารและระบบสกัดขีปนาวุธ ไปจนถึงการตั้งกองกำลังโดรน ซึ่งกำลังกลายเป็นอาวุธสำคัญในเกมรบหลายสมรภูมิทั่วโลก ขณะที่การยกระดับความร่วมมือทางการทหารกับชาติพันธมิตร เป็นอีกหนึ่งแผนยุทธศาสตร์สำคัญของญี่ปุ่น โดยความร่วมมือที่เกิดขึ้น มีทั้งการจับมือพัฒนาอาวุธล้ำสมัยและซ้อมรบร่วมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ การยกเครื่องยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ในรอบนี้ ชัดเจนว่าเป็นผลสะท้อนมาจากการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนและความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า โลกของเรากำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ วิเคราะห์โดย : ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์
วันนี้ (27 มิ.ย.2567) หลังผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกเป็น สว.บางส่วนเ
เมื่อวานนี้ (12 พ.ย.2566) "นายกฯ นิด" เศรษฐา ทวีสิน มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอ
วันหยุดราชการ 6 พ.ค. "ชดเชยวันฉัตรมงคล" หยุดแล้วได้เงินหรือไม่? เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ
มีการคาดการณ์ว่า คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ ฟูมิโอะ คิชิดะ น่าจะรับรองแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่นี้อย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.2565) หลังจากมีการหารือกันมานานแล้วหลายเดือน และข่าวคืบหน้าในเรื่องนี้ก็ทยอยออกมาให้เห็นตามสื่อต่างๆ อยู่เป็นระยะ ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่ภาพกองทัพรัสเซียส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-95 ที่สามารถทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ บินลาดตระเวนเหนือน่านน้ำสากลบริเวณทะเลญี่ปุ่น การลาดตระเวนในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ญี่ปุ่นต้องส่งเครื่องบินรบขึ้นไปสกัดเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ของรัสเซียและจีน ซึ่งร่วมทำภารกิจลาดตระเวนเหนือทะเลญี่ปุ่น ดังนั้นสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น จึงเล็งเห็นถึงความเร่งด่วนของการยกระดับขีดความสามารถทางการทหาร ญี่ปุ่นไม่ได้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังเป็นคู่กรณีหลักในประเด็นพิพาทกับรัสเซียเรื่องหมู่เกาะคูริล และทะเลาะกับจีนเรื่องหมู่เกาะเซ็งกากุ หรือ เตียวหยู ในภาษาจีนอีกด้วย ในขณะที่รัสเซียและจีนเป็นมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 2 และ 3 ของโลก แต่ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นมหาอำนาจด้านนี้ได้ เพราะจะถือว่าขัดกับรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นหลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องใฝ่สันติและไม่สามารถมีกองทัพเป็นของตัวเองได้ แต่ยุทธศาสตร์กลาโหมฉบับใหม่นี้จะพลิกบทบาทกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ให้มีขีดความสามารถในการ "โจมตีกลับ" ซึ่งขีดความสามารถนี้จะเปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถยิงโจมตีฐานปล่อยขีปนาวุธที่อาจเป็นภัยคุกคามประเทศได้ หรือแม้กระทั่งการชิงโจมตีก่อน เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังมีภัย ประเด็นนี้กลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญมาตั้งแต่เริ่มมีการร่างยุทธศาสตร์แล้ว แต่ผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนชี้ว่า ชาวญี่ปุ่นมากกว่าร้อยละ 60 สนับสนุนแนวคิดนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเผชิญกับภัยคุกคามรอบด้าน ที่ยังไม่นับสงครามในยูเครน ที่ทำให้ทั่วโลกหันมาสั่งสมอาวุธกันมากขึ้น ขณะที่ตลอดทั้งปีนี้ คาบสมุทรเกาหลีเต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธหลายระลอก รวมแล้วใกล้แตะ 100 ลูก ในจำนวนนี้หลายลูกลอยข้ามเกาะญี่ปุ่น จนทำให้ต้องมีการเปิดสัญญาณเตือนภัย สถานการณ์เหล่านี้ยิ่งโหมกระพือความกังวลของญี่ปุ่นในประเด็นขีปนาวุธ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ โดยเฉพาะจีนและเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่นถือว่าตามหลังอยู่มาก ทั้งในด้านจำนวนและศักยภาพของอาวุธที่มีอยู่ เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นครอบครองเพียงแค่ขีปนาวุธพิสัยใกล้ ที่มีระยะยิง 200-300 กิโลเมตร เท่านั้นแต่ยุทธศาสตร์ฉบับใหม่จะทำให้ญี่ปุ่นสามารถเพิ่มศักยภาพในด้านนี้ได้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลมากกว่า 1,000 ลูก ซึ่งจะสามารถยิงไปได้ไกลถึงเกาหลีเหนือและพื้นที่ชายฝั่งของจีน รวมทั้งยังเตรียมพิจารณาจัดซื้อขีปนาวุธโทมาฮอว์ก ที่มีพิสัยยิงมากกว่า 1,200 กิโลเมตร จากสหรัฐฯ มากถึง 500 ลูกด้วย เมื่อมีขีปนาวุธเพิ่มก็ต้องเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ โดยญี่ปุ่นเตรียมสร้างคลังอาวุธ 130 แห่ง ภายในปี ค.ศ. 2035 หลังจากกังวลว่าประเทศอาจมีอาวุธในคลังแสงไม่เพียงพอต่อการทำสงครามในระยะยาว ซึ่งก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่า มีขีปนาวุธเพียงแค่ร้อยละ 60โปร ฝาก 50 รับ 150 ถอน ไม่ อั้น วอ เลท ของที่จำเป็นต้องใช้เพื่อสกัดขีปนาวุธของศัตรู ขณะที่การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม จากเดิมที่อยู่ราวๆร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 2 ของ GDP ตามเกณฑ์เดียวกับ NATO กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในเรื่องที่มาของเงินก้อนนี้ ว่าจะเก็บจากภาษี หรือตัดลดงบประมาณตัวอื่นๆ ของรัฐบาลลง นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมา ญี่ปุ่นยังเตรียมปรับรูปแบบการบัญชาการ โดยจะจัดตั้งศูนย์บัญชาการร่วมแห่งแรก เพื่อให้ทั้ง 3 เหล่าทัพประสานงานกันได้ดีมากยิ่งขึ้น เพิ่มกำลังทหารและระบบสกัดขีปนาวุธ ไปจนถึงการตั้งกองกำลังโดรน ซึ่งกำลังกลายเป็นอาวุธสำคัญในเกมรบหลายสมรภูมิทั่วโลก ขณะที่การยกระดับความร่วมมือทางการทหารกับชาติพันธมิตร เป็นอีกหนึ่งแผนยุทธศาสตร์สำคัญของญี่ปุ่น โดยความร่วมมือที่เกิดขึ้น มีทั้งการจับมือพัฒนาอาวุธล้ำสมัยและซ้อมรบร่วมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ การยกเครื่องยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ในรอบนี้ ชัดเจนว่าเป็นผลสะท้อนมาจากการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนและความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า โลกของเรากำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ วิเคราะห์โดย : ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์
มีการคาดการณ์ว่า คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ ฟูมิโอะ คิชิดะ น่าจะรับรองแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่นี้อย่างเร