Home
|
,,&#;,da vin›ç”cŒi¬ç§s gold casino

da vincis gold casinoวัน&#;นี้ (30 ก.ย.2567) กรมอุตนิยมวิทยา ออกป›ç”ระ¬ç§กาศฉบับ

,,&#;,da vin›ç”cŒi¬ç§s gold casino

วันนี้ (11 มิ.ย.2567) ทีมวิเคราะห์ข้อมูลจากธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า กฎหมายสินค้าปลอดกา📸รตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation-free Regulations: EUDR) หรือ กฎหมายที่เกี่ยวกับลดการผลิตและการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ ที่ได้จากการตัดไม้ทำลายป่า และทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่า มีผลบังคับใช้ในสินค้า 7 ชนิด ได้แก่ วัว กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และ ไม้รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. 2566 แต่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม อีกทั้งยังอยู่ระหว่างรวบ🧁รวมข้อมูล เพื่อระบุความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศต้นทาง ที่ส่งออกสินค้า ที่อยู่ภายใต้มาตรการมายัง EU โดยในช่วงปลายปีนี้คณะกรรมาธิการยุโรป จะประกาศรายชื่อประเทศตามความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่า 3 ระดับ คือ ความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงมาตรฐาน และความเสี่ยงต่ำ โดยในแต่ละกลุ่มประเทศจะถูกตรวจสอบว่าปฏิบัติตามเงื่อนไขของ EUDR หรือไม่ สำหรับการนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำ จะมีการสุ่มตรวจ 1 % ของจำนวนผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาจำหน่ายใน EU ขณะที่การนำเข้าจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงมาตรฐานและสูงจะถูกสุ่มตรวจที่ 3 % และ 9 % ตามลำดับ อย่างไรก็ตามมาตรการ EUDR จะมีผลในทางปฏิบัติ วันที่ 30 ธ.ค.2567 สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ใน EU และจะบังคับใช้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (SME) ภายในวันที่ 30 มิ.ย.2568 แม้ในระยะแรกของมาตรการจะเริ่มบังคับใช้ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ทำธุรกิจใน EU แต่ในมุมมองของประเทศต้นทางที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าทั้ง 7 ชนิด ไปยัง EU มาตรการดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกทุกรายในทุกขนาดธุรกิจ สำหรับยางพาราไทย เป็น1 ใน 7 สินค้าที่ได้รับผลกระทบ เพราะพื้นที่ปลูกยางพาราของไทยที่ตรงตามหลักเกณฑ์ของมาตรการ EUDR ยังมีน้อย แม้🦦ว่าพื้นที่ปลูกยางพาราของไทยส่วนใหญ่กว่า 25 ล้านไร่ หรda vincis gold casinoือ 83.3 % ของพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศ จากทั้งหมด 30 ล้านไร่ จะได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการบุกรุกป่า แต่จากเงื่อนไขสำคัญของ EUDR ไม่เพียงกำหนดว่าสินค้าภายใต้มาตรการต้องปลอดการตัดไม้ทำลายป่าเท่านั้น แต่ยังต้องมาจากกระบวนการผลิตที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต เช่น กฎหมายที่ดิน กฎหมายแรงงานและสิทธิมนุษยชน กฎหมายสิ่งแวดล้อมและภาษี เป็นต้น หากอ้างอิงพื้นที่สวนยาง ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ 🧩EUDR อย่างมาตรฐานการจัดการป่าอย่างยั่งยืนของ Forest Stewardship Council (FSC) และ Program for the Endorsement of Forest Certification (PEFC) พบว่า พื้นที่สวนยางของไทยที่ได้รับการรับรองจาก FSC และ PEFC มีจำนวนเพียง 6.4 แสนไร่ หรือคิดเป็นเพียง 2.1 % ของพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศ ปัจจุบันการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบย้อนกลับผลผลิตยางพารา เพื่อจัดทำฐานข้อมูลสำหรับการตรวจสอบและประเมินที่มาของสินค้า รวมทั้งได้พัฒนาระบบ Thai Rubber Trade ซึ่งเป็นระบบการซื้อขายยางพาราที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของผลผลิต รวมทั้งหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่สอดคล้องกับมาตรการ EUDR เช่น ไม่มีการบุกรุกทำลายป่าไม้ รวมทั้งมีการใช้แรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน เป็นต้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการยางไทย อ่านข่าว: ทวงแชมป์ "ทุเรียนไทย" ส่งออกตลาดจีน 4 เดือน พุ่ง 2.25 แสนตัน ทั้งนี้ Krungthai COMPASS มองว่า ผู้ประกอบการยางพาราของไทย มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ EUDR มากที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในสินค้าอีก 6 ชนิด จาก 2 ปัจจัยหลักคือ 1มูลค่าการส่งออกสินค้าไปยัง EU และ 2ความพร้อมของผู้ประกอบการ ยางพาราเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปยัง EU มากที่สุดในบรรดาสินค้า 7 ชนิดสะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มยางพาราจากไทยไปยัง EU ในปี 2566 ที่มีมูลค่ารว🍩มกัน 1,322 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 48,305 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 93.4 % ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการจากไทยไป EU ขณะที่สินค้าอีก 6 ชนิด มีมูลค่าการส่งออกรวมกันเพียง 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3,438 ล🥗้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 6.6 % นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มยางยานยนต์ มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อเทียบกับสินค้ายางพาราในกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกไปยัง EU สูงที่สุดเมื่อเทียบกับสินค้ายางพาราในกลุ่มอื่นๆ และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สินค้ากลุ่มยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น รวมถึงถุงมือยางมีสัดส่วน 29.2 % และ 16.0 % นอกจากนี้ ไทยยังส่งออกยางยานยนต์ไปยังตลาด EU คิดเป็น 9.7 % ของการส่งออกยางยานยนต์ไปทั่วโลก รองจากสหรัฐอเมริกา สะท้อนให้เห็นว่าการส่งออกยางยานยนต์ของไทยยังคงพึ่งพาตลาด EU อยู่มาก ดังนั้น ผู้ประกอบการยางยานยนต์ จะต้องเร่งเตรียมพร้อมกับการประกาศใช้มาตรการ EUDR อย่างจริงจังสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตามในระยะยาวภาครัฐควรมีบทบาทในการยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราไทยให้สอดรับกับบริบทโลกที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลของมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับมาตรการทางการค้าและความท้าทายอื่นๆ ในอนาคต สำหรับมาตรการ EUDR ที่กำลังจะบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในสิ้นปีนี้ ทางหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะ กยท. ควรเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบการตรวจสอบย้อนกลับที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ EUDR ให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการบังคับใช้มาตรการนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการหันมาซื้อ-ขายยางผ่านระบบ Thai Rubber Trade เพิ่มมากขึ้น เช่น การจัดการเอกสารสิทธิที่ดินตามกฎหมาย สนับสนุนการรวมกลุ่ม เป็นต้น และกยท. ควรสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการยางของไทย ได้รับการรับรองมาตรฐานจัดการป่าไม้และผลิตภัณฑ์จากป่าไม้จากองค์กรระดับสากล ซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้การสนับสนุนทั้งด้านข้อมูลและเงินทุน โดยอาจต้องมีการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ อ่านข่าว: เปิดใจ "แสงชัย" ค่าแรง 400 บาท อย่ากระชากแรงจน SMEs ล้มตาย "ทองคำ" ผันผวน ตลาดจับตาประชุมเฟด แนะตัดขาย 40,000 บาท การค้าขานรับ "นเรนทรา โมดี” พณ.หนุนเอกชนใช้ FTA เจาะตลาด