ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับพิธีสาบานตน (Inauguration Day) ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่หวนคืนสู่ทำเนียบขาวในรอบที่ 2 จะเห็นได้ว่า บุคลิกของเขา ไม่ได้แตกต่างจากสมัยแรก ยังคง ก้าวร้าว ดุดั
ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับพิธีสาบานตน (Inauguration Day) ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่หวนคืนสู่ทำเนียบขาวในรอบที่ 2 จะเห็นได้ว่า บุคลิกของเขา ไม่ได้แตกต่างจากสมัยแรก ยังคง ก้าวร้าว ดุดัน และรุกราน หรือที่เรียกว่า " Aggressive " และไม่ยอมอ่อนข้อ จึงทำให้คำสาบานดูทรงพลัง น่าเกรงขาม สามารถซื้อใจมวลชน ซึ่งเทคะแนนเสียงให้ ดังวาทกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แม้พิธีการดังกล่าวจะใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่พิธีการนี้ กลับได้รับความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก มีการจับตามองทั้งก่อน ระหว่าง และหลังพิธีการ สำนักข่าวต่างประเทศต่างเฝ้ารายงานอย่างที่เรียกว่า "เกาะติด" อย่างใกล้ชิดทุกสถานการณ์ และเยาวชนเจนอัลฟา (Alpha) ที่เริ่มสนใจการเมือง ก็ไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้น แน่นอน พิธีการนี้นอกจากจะมีความสำคัญในฐานะที่ ประธานาธิบดีคนนี้ คือ สัญลักษณ์ของประเทศมหาอำนาจแล้ว การขยับแต่ละครั้งของ "ทรัมป์" โดยเฉพาะ "คำพูด" ด้านนโบายใหม่ ๆ ไม่ได้ซ่อนสัญญะอย่างเดียว หากยังมีนัยทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อทั่วโลกและภูมิภาคต่างๆ ซึ่งไม่อาจละเลยได้แม้แต่เสี้ยววินาที ThaiPBS Online สัมภาษณ์ ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (The Institute of Security and International Studies: ISIS) และอาจารย์ภาคความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการ ISIS กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ "ประเทศมหาอำนาจ (Great Power)" อย่างสหรัญอเมริกาที่ครองความเป็นเจ้าอาณาจักรมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที 2 ซึ่งผู้คนทั่วทุกมุมโลกจะให้ความสนใจต่อการสาบานตน ในตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ และสามารถอ่านนัยทางการเมืองที่สืบได้จากคำกล่าวของเขาได้ 3 ประเด็น คือ การอ่านสัญญะ (Symbolic) ที่ "จงใจ" ของประธานาธิบดีและทีมงาน ที่ต้อง การสื่อสารให้ประชาชนสหรัฐฯ รวมทั้งโลกได้เป็นที่ประจักษ์ อย่าลืมว่า การให้สัตยาบันเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ (Speech) รูปแบบหนึ่ง ซึ่งปกติจะมีการเตรียมการ เขียนสตริปต์ หรือตระเตรียมประเด็นล่วงหน้าได้ ประเด็นต่อมา การเปลี่ยนผู้นำสหรัฐฯ หมายถึง การเปลี่ยน "ผู้นำโลก" และ ประธานาธิบดีแต่ละคนมีวิถีทางและกระบวนการกำหนดนโยบายที่แตกต่างกัน แม้จะมาจากพรรคเดียวกันก็ตาม หมุดหมายสำคัญทางการเมืองของสหรัฐฯ จะเป็นเช่นไร จึงสามารถทำให้เราจับแนวทางได้ว่าประธานาธิบดีต้องการบอกกับสาธารณชน ว่า นโยบายจะเป็นไปเช่นใดผ่านพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประการท้ายสุด เราอาจสังเกตการเปลี่ยนแปลงของอำนาจสถาปนา ในที่นี้ คือ พรรครีปับลิกัน (Republican Establishment) ของทรัมป์ว่าเป็นกลุ่มใด โดยสังเกตได้จาก "แขกผู้มีเกียรติ" ในพิธีว่าเชิญใครมามากที่สุด ธุรกิจวงการใดมามากที่สุด เพราะบรรดาแขกเหล่านี้ล้วนเป็น "Lobbyist" หรือผู้สนับสนุนที่คอยเป็นลมใต้ปีกให้พรรคการเมืองอยู่เนือง ๆ หรือกระทั่ง "มุ้ง" ในพรรคแบบใด ที่มามากหรือมาน้อย ก็สามารถบอกได้ว่าผู้นำของพรรคเลือกจับขั้วการเมืองฝ่ายใดภายในพรรค "เราจะเห็นได้ว่า Tech Titans เช่น อีลอน มัสค์ ของ Tesla, เจฟฟ์ เบโซส์ ของ Amazons หรือกระทั่ง โจว จื่อ ชิว ของ TikTok ที่มีประเด็นกับสหรัฐฯ ยังได้รับโอกาสให้เข้าร่วมงาน แสดงว่า ทรัมป์ต้อห น sbobetงให้ความสำคัญกับวงการนี้เพื่ออะไรบางอย่าง อีกทั้ง บรรดามุ้งในพรรครีปับลิกันสายกลาง (Moderate) ไม่ค่อยมา มาแต่สายโหด (Extremist) หมายความว่า การเมืองสหรัฐฯ และการเมืองโลกจะมีความสุดโต่งมากยิ่งขึ้น และอาจจะดำเนินนโยบายหันกลับมาเน้นตัวเอง (Isolate) มากยิ่งขึ้น" เมื่อเข้าใจองค์ประกอบทั้ง 3 อย่างในการอ่านสัญญะพิธีสาบานตน จะเข้าใจได้ว่า เหตุใด การใช้อำนาจค่ำสั่งประธานาธิบดี (Executive Order) ครั้งแรก ๆ ของทรัมป์ จึงเลือกที่จะลงนาม "ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO)" หรือ เกี่ยวกับประเด็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ผู้อำนวยการ ISIS ชี้ว่า เพราะสหรัฐฯ เห็นว่าการอยู่ในองค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ กลับทำให้ลดทอนอำนาจของสหรัฐฯ ในฐานะ "โลกบาล" หรือผู้นำไปมาก ทั้งในด้านการจำกัดขอบเขตอำนาจ ต้องทำตามกฎระเบียบของ WHO ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน หรือกระทั่งเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่สหรัฐฯ ต้องควักเนื้อจ่ายให้องค์การเพื่อดำเนินกิจการต่อไปได้ "สหรัฐฯ ต้องจ่ายค่าสนับสนุนองค์การระหว่างประเทศ ทั้งหลายจำนวนมหาศาล และสมาชิกภาพอื่น ๆ ในองค์กรไม่ค่อยออกค่าใช้จ่ายหรือออกน้อยกว่ามาก (Free-riders) แถมยังขอเงินในการให้ความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ อีกด้วย จริง ๆ ไม่ได้มีเพียง WHO แต่ความร่วมมืออื่น ๆ ทรัมป์ก็ประกาศว่าจะออก เช่น Paris Agreement, COP หรือ WTO" แม้แต่การลงนาม "อภัยโทษ" กองกำลังก่อความวุ่นวายในทำเนียบขาวเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ไม่เพียงทำเพื่อการ "เอาใจ หรือ ซื้อใจ" เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึง "การใช้อำนาจ (Exercising Power)" เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ของฝ่ายบริหาร เหนืออำนาจตุลาการและกระบวนการยุติธรรม แม้จะเข้าใจได้ว่า พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เต็มไปด้วยสัญญะทางการเมืองที่เกี่ยวพันกับกระบวนการกำหนดนโยบายของประธานาธิบดีในอนาคต โดยเฉพาะการเน้นย้ำในการกลับมา "ยิ่งใหญ่" ของดินแดนแยงกี้ "นโยบายต่างประเทศ (Foreign Policy)" ของสหรัฐฯ ในสมัยที่สองของทรัมป์ ซึ่งเป็นเวทีโชว์อำนาจที่เห็นได้ชัดที่สุด จะเป็นไปในทิศทางใด ผู้อำนวยการ ISIS เสนอว่า ให้พิจารณากระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ เป็น "รัฐศิลป์ (Statecraft)" ที่ส่งผลทั้งในและนอกประเทศแบบหนึ่ง จากแรงขับเคลื่อนสำคัญ คือ การ "แบกคนเดียวไม่ไหว" ของสหรัฐฯ (Overstretched Superpower) นอกจากเรื่องการจ่ายเงินให้องค์การระหว่างประเทศที่มาจำกัดอำนาจของตนเองแล้ว ยังมีการขาดดุลการค้ามหาศาลให้แก่ประเทศพันธมิตรต่าง ๆ เช่น ในสมัยที่ยุโรปและญี่ปุ่นฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ ช่วงที่ 4 เสือแห่งเอเชีย (เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์) เจริญรุ่งเรืองในช่วงกลางสงครามเย็น ประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงท้ายสงครามเย็น หรือแม้แต่จีนและรัสเซียหลังสงครามเย็น แม้จะมีมาตรการป้องกันการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศอื่น ๆ เช่น Plaza Accord ที่กดดันให้ญี่ปุ่นและเยอรมนีแข็งค่าเงินเยนและมาร์คในปี 1985 เพื่อให้สหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้ามากขึ้น การขู่ตัดสิทธิพิเศษทางการค้า Generalized System of Preferences (GSP) หรือ เพิ่มอุปสรรคสินค้านำเข้าจากประเทศที่เน้นการผลิตเพื่อส่งออก รวมถึง Section 301 of the Trade Act 1974 ว่าด้วยการตั้งกำแพงภาษีหรือไม่ใช่ภาษี (Tariff or Non-tariff Barriers) สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ แต่ไม่ได้นำพา เพราะหลังจากจีนและรัสเซียพัฒนาเศรษฐกิจให้เข้มแข็งขึ้น ก็กลายมาเป็นคู่แข่งคอยแย่งตลาดสหรัฐฯ อยู่เนือง ๆ ทำให้คนสหรัฐฯ เริ่มหันมามองว่า การเปิดเสรีทางการค้า ที่ผ่านมาอาจไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สหรัฐฯ สูญเสียไป การคุมโลกาภิวัตน์ไม่ได้ ส่งผลให้การปกปักษ์สถานะมหาอำนาจของสหรับฯ เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น เราจึงได้เห็นเมืองอุตสาหกรรมทางตอนกลางของประเทศ รกร้างกันเป็นแถบ ๆ เช่น ดีทรอยด์ (Detroit) รัฐมิชิแกน (Michigan) ที่เคยได้รับสมญานามว่าเป็น "อุตมรัฐแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์" ผลจากการย้ายฐานไปยังดินแดนที่ค่าเช่าทางเศรษฐกิจและค่าแรงที่ถูกกว่า ทำให้กลายเป็น "นรกบนดิน" ของแรงงานไปเสียอย่างนั้น ดังนั้น ผู้อำนวยการ ISIS จึงชี้ว่า รัฐศิลป์ที่สำคัญที่สุดของทรัมป์ คือ รัฐศิลป์แบบ "สัจนิยม (Realism)" หมายถึง ต้องหันกลับมามองตนเอง เน้นรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ ซึ่งทำได้โดยการเชิดชูวิธีการ "เศรษฐกิจต้องมาก่อน (Economic First)" ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นที่ Silicon Valley เกิดขึ้นมาพัฒนายุทธภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพื่อส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ผู้อำนวยการ ISIS ย้ำว่า ขณะนี้ Silicon Valley เปลี่ยนมือมาเป็น Tech Titans เพราะความมั่นคงเปลี่ยนภูมิทัศน์ จากเดิมที่มีสงครามสองขั้วอำนาจ เน้นอุตสาหกรรมหนักมาเป็นความมั่นคงไซเบอร์ เน้นพัฒนาซอฟท์แวร์แทน ถือว่าสร้างความได้เปรียบทางเทคโนโลยีต่อประเทศอื่น ๆ และคาดหวังการได้ดุลการค้า ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ อธิบายว่า รัฐศิลป์ที่อิงกับหลักการหันกลับมามองตนเองผ่านการคิดเชิงเศรษฐกิจ ถือว่ามาแทนที่รัฐศิลป์แบบเดิม ที่นักวิชาการหลายคนเคยอาจวิจารณ์ว่าค่อนข้าง "ไร้เดียงสา (Naive)" ที่เป็นแบบ "เสรีนิยม (Liberalism)" มาปรับใช้กับการสร้างระเบียบโลกที่เน้นหลักการค้าเสรี ประชาธิไตย สิทธิมนุษยชน เน้นความช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ดั่ง "พ่อพระ" ที่มีแต่เสียกับเสียของสหรัฐฯ การส่งทหารไปตายในสงครามต่าง ๆ ไม่ว่าจะตั้งแต่สงครามเกาหลี เวียดนาม จนถึงอิรักและอัฟกานิสถานที่ผ่านมา ผู้อำนวยการ ISIS ระบุว่า สภาวะไร้ผู้นำในระเบียบโลก หรือที่เรียกว่า "G-zero" อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะภูมิภาคอื่น ๆ ไม่ได้มีความพร้อมที่จะขึ้นมาแทนที่สหรัฐฯ แต่อย่างใด "EU ก็เริ่มหันขวามากยิ่งขึ้น มีความไม่ลงรอยกันในสมาชิกภาพ เห็นจากการเกิด Brexit หรือ BRICS ที่มหาอำนาจในการรวมกลุ่ม คือ จีน อินเดีย และรัสเซีย ก็ยังไม่ได้มีเอกภาพ เพียงแค่เสนอตัวเป็นทางเลือกเศรษฐกิจ มากกว่าการเสนอระเบียบโลกหรือองค์กรโลกบาลใหม่ (Global Governance) อย่างน้อย จีน ที่ถือพันธบัตรและตราสารหนี้สหรัฐฯ มากที่สุดในโลก ไม่มีทางจะปล่อยให้สหรัฐฯ พ่ายแพ้จากการเป็นโลกบาลแน่ ๆ ทำได้มากที่สุดคือ กวนประสาท และ ท้าทาย สหรัฐฯ" แม้ในพิธีสาบานตนทำให้เกิดการคั้งคำถาม ถึงนโยบายต่างประเทศที่จะเกิดขึ้น และหากเป็นจริง โลกอาจถึงคราวระส่ำ โดยเฉพาะ ประเด็นด้านโลกบาล ที่มีคำถามต่อความเข้มแข็ง และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ดังนั้น นานาประเทศจึงไม่สามารถที่จะเล่นเกมแบบเดิม คือ เป็น Free-riders คอยดูดผลประโยชน์จากสหรัฐฯ ฝ่ายเดียวได้ โดยเฉพาะ ประเทศไทย ที่มีลักษณะเป็น "รัฐเล็ก ๆ (Small State)" ในเวทีโลก จะสามารถตระเตรียมการรับมือสหรัฐฯ ในรัฐศิลป์แบบ "เหล้าเก่าในขวดใหม่" นี้อย่างไร ผู้อำนวยการ ISIS ระบุว่า สำคัญที่สุดประเทศไทยต้อง "มีของ" เสียก่อน จึงจะสามารถ "โชว์ของ" ให้ทรัมป์ได้เห็น โดยวิธีการที่รัฐเล็ก ๆ มักใช้กัน คือ ยืมมือกฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) เพื่อเป็น "ตัวกลาง" ในการเจรจาสันติภาพต่าง ๆ เพื่อแสดงออกถึง "ความเป็นผู้นำ" ในภูมิภาค ASEAN "ยอมรับตามตรงว่า ภาพพจน์ของไทยเอนเอียงและพึ่งพาไปทางจีนค่อนข้างมาก เกินกว่าทศวรรษ จะให้ภาพลักษณ์แบบนั้นเปลี่ยนในทันทีลำบาก เราอาจต้องพิจารณาโอนอ่อนมาทางมาทางสหรัฐฯ ให้ได้บ้าง อย่างน้อย ๆ เรามีสถานะพันธมิตรทางความมั่นคงร่วมกัน ถือโอกาสใช้ประโยชน์ให้ได้เต็มที่ สถานการณ์แบบนี้เป็นโอกาสดีที่จะปรับสมดุลในนโยบายต่างประเทศไทย และในที่สุดจะเป็นผลดีแก่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยเองด้วย" ผู้อำนวยการ ISIS ทิ้งท้าย
วันนี้ (30 พ.ย.2566) วันสุดท้ายของการพักรบในฉนวนกาซา ซึ่งกำหนดสิ้นสุดลงในเวลา 07.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 12.00 น.ตามเวลาในประเทศ ไทย ท่ามกลางการเจรจาที่ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังขยายข้อตกล
จากกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกล เปิดโปงเกี่ยวกับการทุจริตส่วยสติกเกอร์ตำรวจทางหลวงนั้น
- ห น sbobet
- วิเคราะห์บอลเรอัล มาดริดวันนี้ วิเคราะห์บอลเรอัล มาดริดวันนี้
- ทีเด็ด วิเคราะห์ บอล คืน นี้
- สมัคร slot เครดิต ฟรี ไม่ ต้อง ฝาก
- ทีเด็ด บอล 88
- ยิ่ง ปลา 888ฝาก ถอน ออ โต้ joker
นิยายชีวิต โดย : Bilal Ramadhan
เรื่องและภาพโดย : Bilal Ramadhan
[[คลิก]] อ่านเรื่องราว “นิยายชีวิต” ได้ที่นี่..