อว.รับลูก "อนุทิน" สอบภาค ข.-ค. เพิ่มเนื้อหาจิตสำนึกรักชาติ

วันนี้ (29 มี.ค.2565) นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการซักซ้อมการปฏิบัติงานรับสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมา

กรณีเจ้าหน้าที่กู้ภัยและชาวบ้าน ช่วยกันล้อมจับ "ลูกเสือโคร่ง" ในซอยบางวัว-บางจาก 7 ต.บางวัว อ.บางปะก

จากกรณีที่ Facebook เพจ มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT เผยแพร่เรื่องราวของ ลูกสาวยืนยันต้องการให้พ่อรับโทษ เหตุขโมยแมวสุดที่รักไปทิ้งแล้วปล่อยให้โดนรถชนตาย ส่วนใหญ่จะได้ยิน

จากกรณีที่ Facebook เพจ มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT เผยแพร่เรื่องราวของ ลูกสาวยืนยันต้องการให้พ่อรับโทษ เหตุขโมยแมวสุดที่รักไปทิ้งแล้วปล่อยให้โดนรถชนตาย ส่วนใหญ่จะได้ยินข่าวของ บุพการีทำร้ายลูก ฟ้องร้องเป็นคดีความต่อลูกกันนักต่อนัก แต่เรื่องราวที่ ลูกต้องการเอาผิดกับบุพการี มักจะไม่ค่อยได้ยิน หรือเกิดขึ้นในสังคมไทยมากนักเพราะสิทธิในการฟ้องร้องบุพการี ถูกจำกัดไว้ด้วย กฎหมายมาตรา 1562 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาก็ตาม ผู้นั้นจะฟ้องบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด ชวด ที่สืบสายโลหิตโดยตรงของตนไม่ได้”ภาษากฎหมาย เรียกว่า คดี "อุทลุม" (อ่านว่า อุด-ทะ-ลุม)ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ ผู้เป็นลูก ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องจนเป็นคดีความทั้งทางแพ่งและอาญา ต่อ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด ชวด ที่สืบสายเลือดโดยตรงของตนได้ เมื่อพูดกันแบบนี้ แทบจะมองไม่เห็นถึงโอกาสที่ลูกจะฟ้องร้องบุพการีได้เลย ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม แต่กระนั้น กฎหมายจะมีข้อยกเว้นไว้ให้เสมอ นั่นคือ แต่หากผู้นั้นมีความประสงค์ที่จะฟ้องบุพการีของตนจริงๆ ผู้นั้นเองหรือญาติสนิทของผู้นั้นจะต้องร้องขอให้อัยการเป็นผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่บุพการีเป็นฝ่ายฟ้องเป็นคดีแต่อย่างใดแปลไทยเป็นไทยอีกได้ว่า ถ้าลูกอยากจะฟ้องบุพการีตัวเองจริงๆ ก็ต้องให้อัยการเป็นโจทก์ฟ้องให้แทนจึงเกิดเป็นข้อสงสัย ตั้งเป็นคำถามในสังคมยุคปัจจุบันนี้ขึ้นมาทันทีว่า แล้วในยุคนี้ ยุคที่เต็มไปด้วยข่าว บุพการีทำร้ายลูก ความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นเป็นข่าวแทบจะทุกวันข้อมูลจากการให้บริการของ “ศูนย์พึ่งได้” ในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปี 2554 พบว่า มีจำนวนผู้เข้าใช้บริการถึง 22,565 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 62 ราย หรือกล่าวได้ว่า ในทุกชั่วโมงมีเด็กและสตรีถูกกระทำความรุนแรง 3 ราย โดยเด็กถูกกระทำความรุนแรงทางเพศมากที่สุด ความเสี่ยงที่เด็กในครอบครัวจะต้องทนรับกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีมากแค่ไหนและต้องนานแค่ไหน? เมื่อเหตุเกิดจากบุพการีที่ทำร้ายเด็กในครอบครัวขึ้นมา ไม่ว่าจะทางแพ่ง เช่น ทำลายข้าวของ ทรัพย์สินส่วนตัวเสียหาย หรือทางอาญา เช่น การทำร้ายร่างกาย ข่มขืนกระทำชำเรา หรือการค้ามนุษย์ พาลูกเร่ขายบริการเพื่อแลกเงิน และเด็กต้องการใช้กฎหมายเข้าช่วย เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ แต่เด็กหรือผู้เป็นลูก กลับจะต้องถูก กฎหมายมาตรา 1562 เป็นตัว "จำกัดสิทธิ์" ในการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ตัวเองทุกครั้งไป แม้กฎหมายจะเว้นช่องไว้ให้ว่า ผู้เป็นลูกสามารถร้องขอให้อัยการเป็นโจทก์ในการฟ้องร้องบุพการีได้ แต่นั่นก็หมายถึง ก่อนที่ศาลจะพิพากษาความผิดที่บุพการีได้กระทำต่อผู้เป็นลูกนั้น ผู้เป็นลูกเองจะถูกสังคมพิพากษาไปก่อนแล้วว่าเป็น ลูกเนรคุณ ลูกทรพี ลูกอกตัญญู บางครั้ง การรวบรวมความกล้าหาญ เพื่อจะเรียกเอาความยุติธรรมกลับมาให้ตัวเอง อาจจะถูกสกัดกั้นด้วยกฎหมายที่ว่า “ลูกไม่มีสิทธิ์ฟ้องพ่อแม่” และทางจริยธรรมของสังคมว่า “ลูกเนรคุณ” ซึ่งเป็นคำถามย้อนกลับไปหาตัวเด็กเองว่า “คุ้มหรือไม่” กฎหมายมาตรา 1562 ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นส่วนหนึ่งของ กฎหมายตราสามดวง ในยุคสมัยนั้น ใช้คำว่า “คนอุทลุม” แทนคำว่าลูกที่ผล บอล พ รีต้องการฟ้องร้องต่อพ่อแม่ ซึ่งความหมายตามพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 คำว่า อุทลุม หมายความว่า “ผิดประเพณี ผิดธรรมะ นอกแบบ นอกทาง” ดังนั้น ในยุคสมัยนั้นจึงมองว่า ลูกที่ต้องการฟ้องร้องต่อพ่อแม่ บุพการี เป็นคนผิดประเพณี ผิดธรรมะ นอกแบบ นอกทาง และคดีอุทลุมในสมัยอดีต นอกจากจะยกฟ้องแล้วยังให้มีบทลงโทษเฆี่ยนให้คนทั่วไปดูเป็นเยี่ยงอย่างอีกด้วย เพราะถือว่าเป็นคน “ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่” บุญคุณของพ่อแม่กับสิทธิ์ในของการเรียกร้องความยุติธรรมของลูกหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าระบบครอบครัวในสังคมไทยยังอยู่บนพื้นฐานของคำว่า - พ่อแม่คือผู้ให้ชีวิต- บุญคุณพ่อแม่ใหญ่หลวง ชดใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด - ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่จนแก่เฒ่าคือลูกที่ดี อนาคตจะเจริญรุ่งเรือง - ฯลฯ การปลูกฝังเรื่องความกตัญญูไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เป็นเรื่องที่ดีและควรทำกับคนทุกคน และสิ่งเหล่านี้ “ไม่ใช่สิ่งที่ผิด” เพียงแต่ “ไม่สามารถใช้ได้กับทุกครอบครัว” บางกรณี “ความกตัญญู” ก็กลายเป็นดาบสองคม เป็นเครื่องจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงความยุติธรรมของลูก หรือเด็กในครอบครัว มากไปกว่านั้น การมีอยู่ของกฎหมายมาตรานี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ลูก หรือเด็กในครอบครัวต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัวแบบที่หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ และอาจนำไปความรุนแรงต่อสังคมในรูปแบบอื่นๆ หรือแม้กระทั่งการปลูกฝังความคิดให้กับตัวเด็กเองว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่มีช่องทางที่ทำให้เด็กได้เห็นว่า ตัวเองสามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองได้ การให้ความรู้ การรณรงค์ ปลูกฝังความคิดที่ว่า ครอบครัวต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการปลูกฝังชุดความคิดที่ดี พื้นฐานจิตใจที่อ่อนโยน มีเมตตา การให้เกียรติ ให้อภัยซึ่งกันและกันกับบุคคลในครอบครัว เพื่อลดโอกาสการสร้างความรุนแรงในครอบครัว จึงอาจจะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ที่อาจจะทำให้แฮชแทค #ครอบครัวไม่ใช่SafeZone หรือ ตัวเลขของผู้ป่วยทางจิตเวช โรคซึมเศร้า การก่ออาชญากรรมอื่นๆ ลดลงได้ หรืออาจจะส่งผลให้การมีอยู่ของกฎหมายมาตรานี้ ไม่มีความหมายในสังคมสมัยนี้อีกต่อไป ที่มา :www.moj.go.th/view/54547www.new.camri.go.th/infographic/73?skin=nowww.thaihealth.or.thwww.amnesty.or.th/latest/blog/980/

วันนี้ (22 มี.ค.2565) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการแบ่งเงินค่าบริการและค่าตอบแทนในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ ห