วันนี้ (16 มิ.ย.2565) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รอง

วันนี้ (14 พ.ค.2567) กลุ่มมวลชนจำนวนหนึ่ง และกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทะลุวัง เดินทางมาร่วมทำกิจกรรม ไว้อาลัย ต่อ น.ส.เนติพร หรือ บุ้ง แกนนำและนักเคลื่อนไหว กลุ่มทะลุวัง หลังหัวใจหยุดเต้น ขณะรักษ
วันนี้ (2 พ.ค.2565) การเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค.นี้ มีช่องทางให้ตรวจสอบสิทธิทั้งหน่วยเลือกตั้ง สถานที่เลือกตั้ง และ
ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการตอบโจทย์ ออกอากาศเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 64 ในประเด็นกรณีคลับเฮาส์มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์คนอีสาน #คลับเฮาส์toxic โดยพาย้อนประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวกับ "คนอีสาน" ว่า สามารถแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ในเขตพื้นที่ภาคอีสานที่เรียกกันในปัจจุบันเป็น 2 ช่วงเวลาหลัก ๆ คือช่วงก่อน-หลังอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม ช่วงประมาณ รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 (100 กว่าปีก่อน) ผศ.พิพัฒน์ อธิบายว่า ช่วงสมัย ร.4 - ร.5 การรับรู้ของคนไทย คือคนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกเรียกว่าลาว แต่เมื่อฝรั่งเศสขยายอาณานิคมและต้องการครอบครองลุ่มน้ำโขง ทำให้รัฐบาลสยามที่กรุงเทพฯ ต้องปรับปรุงเรื่องเขตแดน ในขณะเดียวกันก็ขยายอำนาจไปปกครองบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือดินแดนเดิมที่เป็นของอาณาจักรล้านช้าง กระทั่งช่วงที่ฝรั่งเศสรุกคืบอย่างหนัก ทำให้รัฐบาลสยามต้องทำการผนวกรวมดินแดนที่ห่างไกลออกไป "ให้กระชับมากขึ้น" ดังนั้น ราว พ.ศ. 2430 เกิดระบอบการเมืองแบบเทศาภิบาล มีการแบ่งพื้นที่การปกครองในบริเวณนั้นออกเป็นมณฑลต่าง ๆ ระยะแรกแบ่งเป็นมณฑลลาวกาว ลาวพวน เป็นต้น ภายหลัง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพตั้งชื่อมณฑลใหม่โดยการใช้ทิศ ทำให้เกิด "มณฑลอีสาน" ในปี พ.ศ. 2443 และช่วง ร.6 พ.ศ. 2465 เกิด "ภาคอีสาน" เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดความรับรู้ว่าคนที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่าคนอีสาน และเกิดภาษาอีสานขึ้นมา ประเด็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมของคนในภาคกลางลุ่มเจ้าพระยาซึ่งใช้ภาษาไทยกลาง กับคนลุ่มน้ำโขงทราคา บอล ทุก ลีกSLOTี่ใช้สำเนียงย่อย อาจารย์ให้ความเห็นว่า ผศ.พิพัฒน์ อธิบายปมปัญหานี้ย้อนไปถึงช่วงเวลาที่พื้นที่บริเวณภาคอีสาน ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของสยาม "เพราะฉะนั้นคนในพื้นที่ภาคอีสาน กลายเป็นคนที่เหมือนมีอำนาจทางการเมืองด้อยกว่า สิ่งที่ตามมาคือ กรุงเทพฯ ใช้วัฒนธรรมของความเป็นกรุงเทพฯ เป็นวัฒนธรรมที่เป็นแกนกลางหลักของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมอื่น ๆ เลยถูกด้อยค่าลงไป และมันจะเริ่มเกิดวิธีคิดในเรื่องของการดูถูกความเป็น ลาว มองว่าคนลาวมีการศึกษาที่น้อยกว่า หรือไร้การศึกษา มองว่าวัฒนธรรมของคนลาว เป็นวัฒนธรรมที่ด้อยกว่า หรือต่ำกว่า" อาจารย์ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า "มิติของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่มันไม่เท่ากัน คือรากเหง้าของปัญหาหนึ่งในสังคมไทย" ผศ.พิพัฒน์ ตอบว่า ถ้ามองว่ารัฐเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างในการกำหนดความคิดของประชาชน รัฐก็มีส่วนในปมนี้ แต่ผ่านกระบวนการหลายอย่าง "เช่น ช่วง ร.5 ตามโรงเรียนต่าง ๆ พยายามจะใช้ภาษากลางเป็นภาษาหลักในการสอน ในสมัยนั้น หากใครใช้ภาษาลาว...หรือพูดภาษาท้องถิ่นขึ้นมาในโรงเรียนก็จะถูกลงโทษ" และอธิบายเสริมว่า ภาคอีสานเพิ่งได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง ช่วงปี 2505 เมื่อเกิดแผนพัฒนาอีสานฉบับแรก สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หากใช้จุดแบ่งของเวลาเทียบภาคกลาง และภูมิภาคอื่น ๆ ระบบการศึกษา และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้พัฒนาไปก่อนแล้ว สิ่งที่ตามมาคือเมื่อภาคอีสานพัฒนาช้ากว่าภาคอื่น ก็ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำตามมา ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสาธารณูปโภค ผศ.พิพัฒน์ ยกตัวอย่างว่า เมื่อระบบชลประทานยังไม่มีการพัฒนา แล้วเกิดฝนแล้ง คนอีสานก็ต้องอพยพเข้ามาในกรุงเทพฯ ในขณะเดียวกัน สื่อหรือนิยายต่าง ๆ ก็มักจะวางบทบาทของคนอีสานให้กลายมาเป็นตัวละคร เช่น คนใช้ คนขับรถ เป็นต้น ซึ่งอาจารย์ มองว่ามันยิ่งตอกย้ำภาพความยากจนของคนอีสาน "อันนี้ผมมองว่าเป็นปมปัญหาที่สืบเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำ หรือไม่เท่ากัน"
ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการตอ
วันนี้ (27 ส.ค.2566) นายวีระพงษ์ โคระวัตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เปิดเผยว่า เมื่อว
วันนี้ (18 มี.ค.2568) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองการฟื้นตัวของตลาดอาคารชุดใน
ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการตอบโจทย์ ออกอากาศเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 64 ในประเด็นกรณีคลับเฮาส์มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์คนอีสาน #คลับเฮาส์toxic โดยพาย้อนประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวกับ "คนอีสาน" ว่า สามารถแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ในเขตพื้นที่ภาคอีสานที่เรียกกันในปัจจุบันเป็น 2 ช่วงเวลาหลัก ๆ คือช่วงก่อน-หลังอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม ช่วงประมาณ รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 (100 กว่าปีก่อน) ผศ.พิพัฒน์ อธิบายว่า ช่วงสมัย ร.4 - ร.5 การรับรู้ของคนไทย คือคนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกเรียกว่าลาว แต่เมื่อฝรั่งเศสขยายอาณานิคมและต้องการครอบครองลุ่มน้ำโขง ทำให้รัฐบาลสยามที่กรุงเทพฯ ต้องปรับปรุงเรื่องเขตแดน ในขณะเดียวกันก็ขยายอำนาจไปปกครองบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือดินแดนเดิมที่เป็นของอาณาจักรล้านช้าง กระทั่งช่วงที่ฝรั่งเศสรุกคืบอย่างหนัก ทำให้รัฐบาลสยามต้องทำการผนวกรวมดินแดนที่ห่างไกลออกไป "ให้กระชับมากขึ้น" ดังนั้น ราว พ.ศ. 2430 เกิดระบอบการเมืองแบบเทศาภิบาล มีการแบ่งพื้นที่การปกครองในบริเวณนั้นออกเป็นมณฑลต่าง ๆ ระยะแรกแบ่งเป็นมณฑลลาวกาว ลาวพวน เป็นต้น ภายหลัง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพตั้งชื่อมณฑลใหม่โดยการใช้ทิศ ทำให้เกิด "มณฑลอีสาน" ในปี พ.ศ. 2443 และช่วง ร.6 พ.ศ. 2465 เกิด "ภาคอีสาน" เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดความรับรู้ว่าคนที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่าคนอีสาน และเกิดภาษาอีสานขึ้นมา ประเด็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมของคนในภาคกลางลุ่มเจ้าพระยาซึ่งใช้ภาษาไทยกลาง กับคนลุ่มน้ำโขงทราคา บอล ทุก ลีกSLOTี่ใช้สำเนียงย่อย อาจารย์ให้ความเห็นว่า ผศ.พิพัฒน์ อธิบายปมปัญหานี้ย้อนไปถึงช่วงเวลาที่พื้นที่บริเวณภาคอีสาน ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของสยาม "เพราะฉะนั้นคนในพื้นที่ภาคอีสาน กลายเป็นคนที่เหมือนมีอำนาจทางการเมืองด้อยกว่า สิ่งที่ตามมาคือ กรุงเทพฯ ใช้วัฒนธรรมของความเป็นกรุงเทพฯ เป็นวัฒนธรรมที่เป็นแกนกลางหลักของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมอื่น ๆ เลยถูกด้อยค่าลงไป และมันจะเริ่มเกิดวิธีคิดในเรื่องของการดูถูกความเป็น ลาว มองว่าคนลาวมีการศึกษาที่น้อยกว่า หรือไร้การศึกษา มองว่าวัฒนธรรมของคนลาว เป็นวัฒนธรรมที่ด้อยกว่า หรือต่ำกว่า" อาจารย์ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า "มิติของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่มันไม่เท่ากัน คือรากเหง้าของปัญหาหนึ่งในสังคมไทย" ผศ.พิพัฒน์ ตอบว่า ถ้ามองว่ารัฐเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างในการกำหนดความคิดของประชาชน รัฐก็มีส่วนในปมนี้ แต่ผ่านกระบวนการหลายอย่าง "เช่น ช่วง ร.5 ตามโรงเรียนต่าง ๆ พยายามจะใช้ภาษากลางเป็นภาษาหลักในการสอน ในสมัยนั้น หากใครใช้ภาษาลาว...หรือพูดภาษาท้องถิ่นขึ้นมาในโรงเรียนก็จะถูกลงโทษ" และอธิบายเสริมว่า ภาคอีสานเพิ่งได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง ช่วงปี 2505 เมื่อเกิดแผนพัฒนาอีสานฉบับแรก สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หากใช้จุดแบ่งของเวลาเทียบภาคกลาง และภูมิภาคอื่น ๆ ระบบการศึกษา และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้พัฒนาไปก่อนแล้ว สิ่งที่ตามมาคือเมื่อภาคอีสานพัฒนาช้ากว่าภาคอื่น ก็ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำตามมา ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสาธารณูปโภค ผศ.พิพัฒน์ ยกตัวอย่างว่า เมื่อระบบชลประทานยังไม่มีการพัฒนา แล้วเกิดฝนแล้ง คนอีสานก็ต้องอพยพเข้ามาในกรุงเทพฯ ในขณะเดียวกัน สื่อหรือนิยายต่าง ๆ ก็มักจะวางบทบาทของคนอีสานให้กลายมาเป็นตัวละคร เช่น คนใช้ คนขับรถ เป็นต้น ซึ่งอาจารย์ มองว่ามันยิ่งตอกย้ำภาพความยากจนของคนอีสาน "อันนี้ผมมองว่าเป็นปมปัญหาที่สืบเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำ หรือไม่เท่ากัน"
การดำรงชีวิตอยู่ในอวกาศระยะยาวสำหรับโครงการในอนาคต อย่างการเดินทางไปยังดาวอังคารหรือการสร้างอาณานิคม