Nusa Mandiri Innovation Center (NIC) bersama Nusa

วันนี้ (3 พ.ย.2564) พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผอ.สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูลการเปิดประเทศ วันที่ 2 พ.ย.64 มีผู้เดินทางเข้าประเทศที่สนามบินสุวรร
วันนี้ (31 มี.ค.2566) พ.อ.เทพพิทักษ์ นิมิตร รอง ผบ.กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) กล่าวถึงถึงความคืบหน้าการดำเนินการกำลังพลกรณีทำร้ายร่างกายภรรยาว่า ปัจจุบันหน่วยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสว
“เงินคนแก่” หรือ “เบี้ยคนชรา” ที่ชาวบ้านเรียก คือ เงินบำนาญที่รัฐบาลให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2552 ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการใช้ระบบขึ้นทะเบียนก่อนจะเปลี่ยนแปลงเป็นการยืนยันสิทธิ ไม่มีเงื่อนไขหรือคุณสมบัติด้านรายได้ ระบุเพียงว่า จะต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการอื่นอยู่ก่อนแล้ว ในยุคก่อนชาวบ้านจะเรียกเบี้ยคนชราว่า “เงินอภิสิทธิ์” หมายถึงเป็นเงินที่ได้รับจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยมีการจ่ายเป็นลำดับขั้นบันไดของอายุ เช่น ผู้สูงอายุ อายุ 60-69 ปี จะได้รับ 600 บาท ผู้สูงอายุ อายุ 70-79 ปี จะได้รับ 700 บาท ผู้สูงอายุ อายุ 80-89 ปี จะได้รับ 800 บาท และผู้สูงอายุ อายุ 90 ปีขึ้นไป จะได้รับ 1,000 บาท แต่พลันที่ กระทรวงมหาดไทย เผยแพร่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 ส.ค.เรื่อง "ระเบียบกระทรวง มหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 " ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2566 ได้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพว่า "เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามที่กฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด" ถือเป็นการสิ้นสุดการจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราแบบ "ถ้วนหน้า" ที่ดำเนินมากว่า 14 ปี สำหรับผู้ที่ได้สิทธิเดิมอยู่แล้ว รัฐไม่ได้ตัดสิทธิ ในขณะผู้ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัย 60 ปี ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการปรับเกณฑ์ใหม่ มีการตั้งคำถามว่า ควรจะได้รับหรือถูกตัดสิทธิ เนื่องจากไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และเบี้ยคนชราจำนวน 600 บาท แม้ไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่สำหรับทั่วไปที่อายุเข้าเกณฑ์ ต่างก็ถือเป็นท่อน้ำเลี้ยงใจที่ได้รับจากรัฐบาล และเป็นสิทธิที่ควรจะได้ เมื่อปี 2564 ไทยมีสัดส่วนประชากรกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีอายุ 60 ปีขึ้นไปมาก กว่า 12 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 6 ของประชากรไทย ถือเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์ สอดคล้องกับการศึกษาขององค์กร Help Age International ที่เข้าไปศึกษาและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พบว่า ไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และคาดว่า ในปี 2583เล่น ส ล้อ ต จะมีประชากรผู้สูงอายุมากถึง 17 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ยอมรับว่า ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ วันนี้ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเพิ่มต่อเนื่อง งบประมาณจากเคยตั้งไว้ 50,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มเป็น 80,000 ล้านบาท และแตะ 90,000 ล้านบาทแล้ว ในปีงบประมาณ 2567 ดังนั้นหากลดการจ่ายเบี้ยฯ แก่ผู้สูงอายุเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือผู้สูงอายุที่ร่ำรวย นายสุจินต์ ตรงดี อดีตพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะได้รับสิทธิ์เบี้ยคนชราในปี 2567 บอกว่า เมื่อทราบว่ารัฐมีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ โดยพิจารณาจากรายได้หรือเงินฝากในบัญชี อาจทำให้ไม่เข้าเกณฑ์ ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะเกษียณมา ได้เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเงินค่าจ้างเดือนสุดท้ายมาก้อนหนึ่ง ไม่มีรายได้อื่นๆ หากได้เงินผู้สูงอายุ ก็จะใช้เป็นค่ากับข้าว ค่าน้ำ แม้เงิน 600 บาทจะไม่เยอะ แต่ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ระดับหนึ่ง คนที่มีเงินฝากในบัญชี ก็เป็นเงินเก็บไว้ใช้ยามแก่ตัว แต่เงินก้อนนี้ใช้ทุกวันมันก็หมดไปเรื่อย ๆ เพราะเราไม่ได้ทำงาน และไม่มีรายได้อื่น เบี้ยผู้สูงอายุถือเป็นสิทธิที่เราควรจะได้ และรัฐก็ไม่ควรมาตัดสิทธิตรงนี้ ไม่เห็นด้วย ด้านนายธวัชชัย เข็มกำเนิด อดีตพนักงานบริษัทเอกชน กล่าวว่า ได้รับเบี้ยคนสูงอายุมา 2 ปีแล้ว จึงไม่ถูกตัดสิทธิเดิม สำหรับการตัดสิทธิผู้สูงอายุที่มีรายได้สูง เห็นด้วย และรัฐตรวจสอบได้ไม่ยาก เพราะกระทรวงมหาดไทย มีฐานข้อมูลประชาชน ที่เชื่อมโยงกับแอปเป๋าตัง ได้ทำให้ทราบว่า ใครมีรายได้มากน้อยอย่างไร โดยอาจกำหนดวงเงินของผู้สูงอายุว่า มีเงินฝากอยู่ในบัญชีระดับไหน จึงควรจะได้รับและไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ สำหรับบางคนที่มีฐานะดีอยู่แล้ว เงินจำนวนนี้อาจไม่จำเป็น ขณะที่นางสุชาดา กุลจันทร์ ข้าราชการบำนาญวัย 76 ปี กล่าวว่า ตนเองได้รับเงินบำนาญจึงไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สำหรับข่าวการปรับเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุนั้น เบื้องต้นหากรัฐบาลไม่มีงบประมาณเพียงพอก็อาจจะปรับลดเบี้ยยังชีพลงเพื่อให้ยังสามารถจ่ายให้ผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ ยังมองว่า การพิสูจน์รายได้ของผู้สูงอายุบางส่วนก็ค่อนข้างยาก เนื่องจากมีผู้สูงอายุบางส่วนที่ประกอบอาชีพและมีรายได้สูงเช่นค้าขาย แต่ก็ยังมีคุณสมบัติ ที่จะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขณะที่ผู้สูงอายุที่ยากจนก็ยังคงหารายได้เพิ่มเติมแม้จะเป็นรายได้เล็กน้อย เช่น เก็บของเก่าขาย ข่าวที่เกี่ยวข้อง : "เบี้ยผู้สูงอายุ 2566" เช็กคุณสมบัติ - วิธีลงทะเบียน - ปฏิทินการจ่ายเงิน มท.1 ชี้ยังไม่ได้ข้อยุติ รอ พม.เคาะเกณฑ์ปรับจ่าย "เบี้ยผู้สูงอายุ"
วันนี้ (19 ม.ค.2565) มีรายงานว่า ภายหลังที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที
รายงาน Synthetic Drugs in East and Southeast Asia : latest developments and challenges 2024 ของ สำนั
เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2564 สารวัตรสอบสวนสภ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถกระบะมีผู้
“เงินคนแก่” หรือ “เบี้ยคนชรา” ที่ชาวบ้านเรียก คือ เงินบำนาญที่รัฐบาลให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2552 ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการใช้ระบบขึ้นทะเบียนก่อนจะเปลี่ยนแปลงเป็นการยืนยันสิทธิ ไม่มีเงื่อนไขหรือคุณสมบัติด้านรายได้ ระบุเพียงว่า จะต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการอื่นอยู่ก่อนแล้ว ในยุคก่อนชาวบ้านจะเรียกเบี้ยคนชราว่า “เงินอภิสิทธิ์” หมายถึงเป็นเงินที่ได้รับจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยมีการจ่ายเป็นลำดับขั้นบันไดของอายุ เช่น ผู้สูงอายุ อายุ 60-69 ปี จะได้รับ 600 บาท ผู้สูงอายุ อายุ 70-79 ปี จะได้รับ 700 บาท ผู้สูงอายุ อายุ 80-89 ปี จะได้รับ 800 บาท และผู้สูงอายุ อายุ 90 ปีขึ้นไป จะได้รับ 1,000 บาท แต่พลันที่ กระทรวงมหาดไทย เผยแพร่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 ส.ค.เรื่อง "ระเบียบกระทรวง มหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 " ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2566 ได้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพว่า "เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามที่กฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด" ถือเป็นการสิ้นสุดการจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราแบบ "ถ้วนหน้า" ที่ดำเนินมากว่า 14 ปี สำหรับผู้ที่ได้สิทธิเดิมอยู่แล้ว รัฐไม่ได้ตัดสิทธิ ในขณะผู้ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัย 60 ปี ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการปรับเกณฑ์ใหม่ มีการตั้งคำถามว่า ควรจะได้รับหรือถูกตัดสิทธิ เนื่องจากไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และเบี้ยคนชราจำนวน 600 บาท แม้ไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่สำหรับทั่วไปที่อายุเข้าเกณฑ์ ต่างก็ถือเป็นท่อน้ำเลี้ยงใจที่ได้รับจากรัฐบาล และเป็นสิทธิที่ควรจะได้ เมื่อปี 2564 ไทยมีสัดส่วนประชากรกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีอายุ 60 ปีขึ้นไปมาก กว่า 12 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 6 ของประชากรไทย ถือเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์ สอดคล้องกับการศึกษาขององค์กร Help Age International ที่เข้าไปศึกษาและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พบว่า ไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และคาดว่า ในปี 2583เล่น ส ล้อ ต จะมีประชากรผู้สูงอายุมากถึง 17 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ยอมรับว่า ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ วันนี้ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเพิ่มต่อเนื่อง งบประมาณจากเคยตั้งไว้ 50,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มเป็น 80,000 ล้านบาท และแตะ 90,000 ล้านบาทแล้ว ในปีงบประมาณ 2567 ดังนั้นหากลดการจ่ายเบี้ยฯ แก่ผู้สูงอายุเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือผู้สูงอายุที่ร่ำรวย นายสุจินต์ ตรงดี อดีตพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะได้รับสิทธิ์เบี้ยคนชราในปี 2567 บอกว่า เมื่อทราบว่ารัฐมีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ โดยพิจารณาจากรายได้หรือเงินฝากในบัญชี อาจทำให้ไม่เข้าเกณฑ์ ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะเกษียณมา ได้เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเงินค่าจ้างเดือนสุดท้ายมาก้อนหนึ่ง ไม่มีรายได้อื่นๆ หากได้เงินผู้สูงอายุ ก็จะใช้เป็นค่ากับข้าว ค่าน้ำ แม้เงิน 600 บาทจะไม่เยอะ แต่ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ระดับหนึ่ง คนที่มีเงินฝากในบัญชี ก็เป็นเงินเก็บไว้ใช้ยามแก่ตัว แต่เงินก้อนนี้ใช้ทุกวันมันก็หมดไปเรื่อย ๆ เพราะเราไม่ได้ทำงาน และไม่มีรายได้อื่น เบี้ยผู้สูงอายุถือเป็นสิทธิที่เราควรจะได้ และรัฐก็ไม่ควรมาตัดสิทธิตรงนี้ ไม่เห็นด้วย ด้านนายธวัชชัย เข็มกำเนิด อดีตพนักงานบริษัทเอกชน กล่าวว่า ได้รับเบี้ยคนสูงอายุมา 2 ปีแล้ว จึงไม่ถูกตัดสิทธิเดิม สำหรับการตัดสิทธิผู้สูงอายุที่มีรายได้สูง เห็นด้วย และรัฐตรวจสอบได้ไม่ยาก เพราะกระทรวงมหาดไทย มีฐานข้อมูลประชาชน ที่เชื่อมโยงกับแอปเป๋าตัง ได้ทำให้ทราบว่า ใครมีรายได้มากน้อยอย่างไร โดยอาจกำหนดวงเงินของผู้สูงอายุว่า มีเงินฝากอยู่ในบัญชีระดับไหน จึงควรจะได้รับและไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ สำหรับบางคนที่มีฐานะดีอยู่แล้ว เงินจำนวนนี้อาจไม่จำเป็น ขณะที่นางสุชาดา กุลจันทร์ ข้าราชการบำนาญวัย 76 ปี กล่าวว่า ตนเองได้รับเงินบำนาญจึงไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สำหรับข่าวการปรับเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุนั้น เบื้องต้นหากรัฐบาลไม่มีงบประมาณเพียงพอก็อาจจะปรับลดเบี้ยยังชีพลงเพื่อให้ยังสามารถจ่ายให้ผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ ยังมองว่า การพิสูจน์รายได้ของผู้สูงอายุบางส่วนก็ค่อนข้างยาก เนื่องจากมีผู้สูงอายุบางส่วนที่ประกอบอาชีพและมีรายได้สูงเช่นค้าขาย แต่ก็ยังมีคุณสมบัติ ที่จะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขณะที่ผู้สูงอายุที่ยากจนก็ยังคงหารายได้เพิ่มเติมแม้จะเป็นรายได้เล็กน้อย เช่น เก็บของเก่าขาย ข่าวที่เกี่ยวข้อง : "เบี้ยผู้สูงอายุ 2566" เช็กคุณสมบัติ - วิธีลงทะเบียน - ปฏิทินการจ่ายเงิน มท.1 ชี้ยังไม่ได้ข้อยุติ รอ พม.เคาะเกณฑ์ปรับจ่าย "เบี้ยผู้สูงอายุ"
“เงินคนแก่” หรือ “เบี้ยคนชรา” ที่ชาวบ้านเรียก คือ เงินบำนาญที่รัฐบาลให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุครบ 60