"ส่วย" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ระบุว่ามี 2 ความหมาย คือ เป็นคำนาม รายได้แผ่นดินประเภทห

วันนี้ (15 พ.ย.2567) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลา โหม กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชมพรรคเพื่อไทย (พท.) บนเวทีหาเสียงที่จ.อุดรธานีว่า นายทักษิณ เป็นอดีตคนริเริ่ม แล

"ส่วย" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ระบุว่ามี 2 ความหมาย คือ เป็นคำนาม รายได้แผ่นดินประเภทหนึ่ง เรียกเก็บเป็นสิ่งของหรือเงินตราแทนการเข้าเดือนหรือการรับราชการ และสิ่งของพื้นเมืองที่เมืองหลวงเรียกเกณฑ์จากหัวเมืองเป็นประจำเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการ หรือบรรณาการจากประเทศราช อีกความหมายหนึ่ง คือ ชนชาติพูดภาษาตระกูลมอญ-เขมรพวกหนึ่ง อยู่ทางภาคอีสาน สำหรับความหมายคำว่า "ส่วย" ซึ่งเป็นที่รับรู้ในสังคมไทย หมายถึงสินบนที่จ่ายเป็นประจำ ดังกรณีเหตุการณ์ที่ผู้ประกอบการรถบรรทุก ออกมาระบุว่า มีการจ่ายส่วยในรูปแบบสติกเกอร์ เป็นรายเดือนหลักพันถึงหมื่นบาท เพื่อแลกการไม่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมหากรถบรรทุกสินค้าน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือน้ำหนักเกิน 50 ตัน อย่างไรก็ตาม สังคมไทยเคยมีการจ่ายส่วยสารพัดรูปแบบ เพื่อแลกกับการไม่ถูกตรวจสอบ หรือได้รับอภิสิทธิ์บางอย่างจากเจ้าหน้าที่รัฐที่รักษากฎหมาย เช่น ส่วยสถานบันเทิง เรียกเก็บเงินแลกการเปิดเกินเวลา ลักลอบค้าประเวณี ค้ายาเสพติด, ส่วยศุลกากร หิ้วของจากต่างประเทศแลกกับการไม่ต้องถูกตรวจค้น ส่วยหาบเร่แผงลอย ส่วยลอตเตอรี่ ส่วยรถตู้ ส่วยวินมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ แม้ไทยจะมีกฎหมายบังคับควบคุมไม่ให้มีการกระทำผิด เรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน กลุ่มธุรกิจทั่วไป แต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่าผู้กระทำความผิดมักจะยอมติดสินบนเจ้าหน้าที่ หรือจ่าย "ส่วย" ให้ เพื่อแลกการไม่ถูกตรวจสอบ-จับกุม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในระบบอุปถัมป์ของสังคมไทย แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ นอกจากจะทำให้เสียระบบการบังคับใช้กฎหมายแล้ว ยังทำให้เกิดความเสียหาย เพราะระบบจ่ายส่วย เอื้อประโยชน์และเปิดช่องทางให้มีการทุจริตคอร์รัปชันในรูปแบบต่าง ๆ จนไม่สามารถประเมินมูลค่าความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง “ส่วย สติกเกอร์” แลกช่องทางด่วน ผู้ละเมิดกฎหมาย เลขาฯ ต้านคอร์รัปชัน ชง ป.ป.ช.สอบบัญชีทรัพย์สินย้อนหลัง "ผบก.ทล." ทุกคน "วิโรจน์" เปิดข้อมูลส่วยสติกเกอร์ อบอล แมน ยู ช่อง ไหน้างเงินสะพัดเกือบ 20,000 ล้านต่อปี

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2567 คณะรัฐมนตรี( ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการ หลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร