Home
|
เล่น เกม วิ่ง ได้ เงิน

Komisaris Tinggi HAM PBB Volker Turk pada Selasa (

เล่น เกม วิ่ง ได้ เงิน

วันนี้ (8 พ.ย.2565) บรรยากาศงานวันลอยกระทง 2565 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่รัฐบาลอนุญาตให้จัดงานได้ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายจังหวัดท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญทั่วไทยค่อนข้างคึกคัก เริ่มจา

วันนี้ (26 ต.ค.2564) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ว่า "ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรก ที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา" โดยกล%keywo

วันนี้ (26 ต.ค.2564) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ว่า "ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรก ที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา" โดยกลเล่น เกม วิ่ง ได้ เงิน้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา (Chandra X-ray Observatory) พบหลักฐานที่อาจบ่งชี้ถึงการค้นพบดาวเคราะห์ในระบบดาว M51-ULS-1 ในกาแล็กซี M51 นับเป็นการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรก ที่โคจรรอบวัตถุอื่น และอยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือก ปัจจุบันมนุษย์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะแล้ว 4,538 ดวง แต่ดาวเคราะห์ทั้งหมดล้วนแต่เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกที่เราอาศัยอยู่ และอยู่ห่างออกไปไม่เกิน 3,000 ปีแสง สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ประกอบกับโคจรอยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากเมื่อเทียบกับระยะห่างถึงระบบสุริยะ กล้องโทรทรรศน์ที่มีอยู่จึงไม่สามารถสังเกตดาวเคราะห์แยกออกมาจากดาวฤกษ์ที่สว่างได้ วิธีการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะส่วนมากจึงใช้วิธีทรานสิท (transit method) ที่อาศัยการรอจังหวะประจวบเหมาะที่ดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์ และบดบังแสงบางส่วนจากดาวฤกษ์ไปพอดี การสังเกตแสงที่หรี่ลงไปนี้ จึงเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถยืนยันการมีอยู่ของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะได้ Rosanne Di Stefano จากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด & สมิธโซเนียน (CfA) ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา สังเกตการณ์รังสีเอกซ์จากวัตถุคู่ที่เปล่งรังสีเอกซ์ (X-ray bright binary) ซึ่งเกิดจากดาวนิวตรอนหรือหลุมดำที่ดึงดูดมวลจากดาวฤกษ์ข้างเคียงเข้าไป เมื่อสสารตกลงภายใต้แรงโน้มถ่วงและเกิดความร้อนสูง จึงปล่อยแสงออกมาในช่วงรังสีเอกซ์ ในกรณีดาวเคราะห์ผ่านหน้าดาวฤกษ์นั้น แสงอาจจะลดลงเพียงเศษเสี้ยวเดียวของแสงทั้งหมด เนื่องจากแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์มีขนาดเล็กมาก (ดาวนิวตรอนมีขนาดเพียง 14 กม. ในขณะที่หลุมดำอาจเล็กยิ่งกว่านั้นอีก) ทุกๆ ครั้งที่มีดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้า จึงสามารถบดบังรังสีเอกซ์ที่ปลดปล่อยออกมาได้เกือบทั้งหมด ความแตกต่างอันสุดขั้วจากแสงที่สังเกตได้นี้จึงช่วยให้สามารถสังเกตดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่อยู่ห่างออกไปในระยะไกลมากได้ ทีมวิจัยใช้วิธีนี้สังเกตระบบดาวคู่ M51-ULS-1 ที่อยู่ในกาแล็กซี M51 ระบบดาวคู่ดังกล่าวมีหลุมดำหรือดาวนิวตรอนโคจรอยู่รอบ ๆ ดาวฤกษ์ข้างเคียงที่มีมวล 20 เท่าของดวงอาทิตย์ โดยพบว่าระหว่างที่เกิดการทรานสิทนั้น รังสีเอกซ์ที่ปล่อยออกมาถูกบดบังไปโดยสิ้นเชิงตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ในระบบ M51-ULS-1 นี้ น่าจะมีขนาดใกล้เคียงกับดาวเสาร์ และโคจรรอบดาวนิวตรอนหรือหลุมดำที่ระยะห่างประมาณสองเท่าของระยะห่างระหว่างดาวเสาร์กับดวงอาทิตย์ การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะโดยทั่วไปแล้ว จะต้องยืนยันซ้ำด้วยการสังเกตการณ์ดาวเคราะห์เมื่อมันวนกลับมาบดบังดาวฤกษ์อีกครั้ง แต่เนื่องด้วยระยะห่างของวงโคจรทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้มีคาบโคจรที่ยาวถึง 70 ปี จึงเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันการค้นพบนี้่ด้วยการสังเกตการณ์ซ้ำอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่ง คือ การบดบังแสงนี้อาจจะเกิดขึ้นจากวัตถุอื่น เช่น เมฆ หรือ ฝุ่น ที่มาบดบัง แต่ทีมนักวิจัยก็พบว่าเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากลักษณะที่ปรากฏไม่ได้สอดคล้องกับลักษณะการบดบังโดยเมฆหรือฝุ่น แต่สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับวัตถุเช่นดาวเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าวัตถุที่ค้นพบดังกล่าวอาจจะเป็นดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรกที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือกตั้งแต่เคยมีการค้นพบมา ซึ่งหากเป็นดาวเคราะห์จริง ดาวเคราะห์ดวงนี้จะต้องผ่านประสบการณ์อันแสนโชกโชนเป็นอย่างมาก นอกจากจะต้องรอดจากระเบิดซูเปอร์โนวาที่ให้กำเนิดดาวนิวตรอนหรือหลุมดำแล้ว ในอนาคตอันใกล้ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจต้องเจอกับการระเบิดซ้ำอีกครั้งของดาวฤกษ์ข้างเคียงและรับรังสีจำนวนมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมากระหน่ำซ้ำอีกก็เป็นได้ สำหรับการค้นพบครั้งนี้ เกิดจากการที่ Di Stefano และทีมวิจัยได้ติดตามหา X-ray transit ในกาแล็กซีถึงสามกาแล็กซี โดยใช้ทั้งกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา และ XMM-Newton ของ ESA ติดตามระบบดาวคู่ในรังสีเอกซ์ในกาแล็กซี M51 กว่า 55 ระบบ ในกาแล็กซี M101 อีก 64 ระบบ และในกาแล็กซี M104 อีกกว่า 119 ระบบ จากนี้ทีมนักวิจัยจะลองสืบค้นจากฐานข้อมูลของกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา และ XMM-Newton เพื่อค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบอื่น ๆ ที่อาจจะเคยบันทึกเอาไว้โดยบังเอิญก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบดาวเคราะห์นอกกาแล็กซีมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ วิธีนี้ยังอาจนำไปสู่การค้นพบดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอันสุดขั้วเช่นการโคจรรอบ X-ray binary เช่นนี้ได้ เรียบเรียง : ดร.มติพล ตั้งมติธรรม - ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ สดร. อ้างอิง : https://www.nasa.gov/.../chandra-sees-evidence-for...

วันนี้ (18 ต.ค.2567) นายสิรวิชญ์ ทรัพย์เอนก สัตวแพทย์จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) กร

วันนี้ (2 พ.ย.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานว่า เอกอัครราชทูตของเกาหลีเหนื

ชุมชนมุสลิมอยุธยาท่วมซ้ำ แจ้งขอถุงยังชีพมีตราฮาลาล-เร่งเยียวยาจิตใจผู้สูงอายุ ชุมชนมุสลิม พระนครศรีอ

วันนี้ (26 ต.ค.2564) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ว่า "ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรก ที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา" โดยกลเล่น เกม วิ่ง ได้ เงิน้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา (Chandra X-ray Observatory) พบหลักฐานที่อาจบ่งชี้ถึงการค้นพบดาวเคราะห์ในระบบดาว M51-ULS-1 ในกาแล็กซี M51 นับเป็นการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรก ที่โคจรรอบวัตถุอื่น และอยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือก ปัจจุบันมนุษย์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะแล้ว 4,538 ดวง แต่ดาวเคราะห์ทั้งหมดล้วนแต่เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกที่เราอาศัยอยู่ และอยู่ห่างออกไปไม่เกิน 3,000 ปีแสง สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ประกอบกับโคจรอยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากเมื่อเทียบกับระยะห่างถึงระบบสุริยะ กล้องโทรทรรศน์ที่มีอยู่จึงไม่สามารถสังเกตดาวเคราะห์แยกออกมาจากดาวฤกษ์ที่สว่างได้ วิธีการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะส่วนมากจึงใช้วิธีทรานสิท (transit method) ที่อาศัยการรอจังหวะประจวบเหมาะที่ดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์ และบดบังแสงบางส่วนจากดาวฤกษ์ไปพอดี การสังเกตแสงที่หรี่ลงไปนี้ จึงเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถยืนยันการมีอยู่ของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะได้ Rosanne Di Stefano จากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด & สมิธโซเนียน (CfA) ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา สังเกตการณ์รังสีเอกซ์จากวัตถุคู่ที่เปล่งรังสีเอกซ์ (X-ray bright binary) ซึ่งเกิดจากดาวนิวตรอนหรือหลุมดำที่ดึงดูดมวลจากดาวฤกษ์ข้างเคียงเข้าไป เมื่อสสารตกลงภายใต้แรงโน้มถ่วงและเกิดความร้อนสูง จึงปล่อยแสงออกมาในช่วงรังสีเอกซ์ ในกรณีดาวเคราะห์ผ่านหน้าดาวฤกษ์นั้น แสงอาจจะลดลงเพียงเศษเสี้ยวเดียวของแสงทั้งหมด เนื่องจากแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์มีขนาดเล็กมาก (ดาวนิวตรอนมีขนาดเพียง 14 กม. ในขณะที่หลุมดำอาจเล็กยิ่งกว่านั้นอีก) ทุกๆ ครั้งที่มีดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้า จึงสามารถบดบังรังสีเอกซ์ที่ปลดปล่อยออกมาได้เกือบทั้งหมด ความแตกต่างอันสุดขั้วจากแสงที่สังเกตได้นี้จึงช่วยให้สามารถสังเกตดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่อยู่ห่างออกไปในระยะไกลมากได้ ทีมวิจัยใช้วิธีนี้สังเกตระบบดาวคู่ M51-ULS-1 ที่อยู่ในกาแล็กซี M51 ระบบดาวคู่ดังกล่าวมีหลุมดำหรือดาวนิวตรอนโคจรอยู่รอบ ๆ ดาวฤกษ์ข้างเคียงที่มีมวล 20 เท่าของดวงอาทิตย์ โดยพบว่าระหว่างที่เกิดการทรานสิทนั้น รังสีเอกซ์ที่ปล่อยออกมาถูกบดบังไปโดยสิ้นเชิงตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ในระบบ M51-ULS-1 นี้ น่าจะมีขนาดใกล้เคียงกับดาวเสาร์ และโคจรรอบดาวนิวตรอนหรือหลุมดำที่ระยะห่างประมาณสองเท่าของระยะห่างระหว่างดาวเสาร์กับดวงอาทิตย์ การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะโดยทั่วไปแล้ว จะต้องยืนยันซ้ำด้วยการสังเกตการณ์ดาวเคราะห์เมื่อมันวนกลับมาบดบังดาวฤกษ์อีกครั้ง แต่เนื่องด้วยระยะห่างของวงโคจรทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้มีคาบโคจรที่ยาวถึง 70 ปี จึงเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันการค้นพบนี้่ด้วยการสังเกตการณ์ซ้ำอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่ง คือ การบดบังแสงนี้อาจจะเกิดขึ้นจากวัตถุอื่น เช่น เมฆ หรือ ฝุ่น ที่มาบดบัง แต่ทีมนักวิจัยก็พบว่าเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากลักษณะที่ปรากฏไม่ได้สอดคล้องกับลักษณะการบดบังโดยเมฆหรือฝุ่น แต่สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับวัตถุเช่นดาวเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าวัตถุที่ค้นพบดังกล่าวอาจจะเป็นดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรกที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือกตั้งแต่เคยมีการค้นพบมา ซึ่งหากเป็นดาวเคราะห์จริง ดาวเคราะห์ดวงนี้จะต้องผ่านประสบการณ์อันแสนโชกโชนเป็นอย่างมาก นอกจากจะต้องรอดจากระเบิดซูเปอร์โนวาที่ให้กำเนิดดาวนิวตรอนหรือหลุมดำแล้ว ในอนาคตอันใกล้ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจต้องเจอกับการระเบิดซ้ำอีกครั้งของดาวฤกษ์ข้างเคียงและรับรังสีจำนวนมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมากระหน่ำซ้ำอีกก็เป็นได้ สำหรับการค้นพบครั้งนี้ เกิดจากการที่ Di Stefano และทีมวิจัยได้ติดตามหา X-ray transit ในกาแล็กซีถึงสามกาแล็กซี โดยใช้ทั้งกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา และ XMM-Newton ของ ESA ติดตามระบบดาวคู่ในรังสีเอกซ์ในกาแล็กซี M51 กว่า 55 ระบบ ในกาแล็กซี M101 อีก 64 ระบบ และในกาแล็กซี M104 อีกกว่า 119 ระบบ จากนี้ทีมนักวิจัยจะลองสืบค้นจากฐานข้อมูลของกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา และ XMM-Newton เพื่อค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบอื่น ๆ ที่อาจจะเคยบันทึกเอาไว้โดยบังเอิญก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบดาวเคราะห์นอกกาแล็กซีมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ วิธีนี้ยังอาจนำไปสู่การค้นพบดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอันสุดขั้วเช่นการโคจรรอบ X-ray binary เช่นนี้ได้ เรียบเรียง : ดร.มติพล ตั้งมติธรรม - ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ สดร. อ้างอิง : https://www.nasa.gov/.../chandra-sees-evidence-for...

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมเข้ารัฐสภาตอบกระทู้ถามสดครั้งแรก มองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเ