วันนี้ (27 ต.ค.2566) คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง นำโดย พริษฐ์ วัชรสินธุ ประธาน กมธ. และ วรายุทธ ทอลิงค์ ดู บอล สด เช ล ซี
มือใหม่หมาด ๆ ในแวดวงการเมือง แต่มีประสบการณ์ทำงานภาคเอกชนอย่างโชกชน ผ่านด่านเลือกตั้งสมาชิกวุฒิ (สว.) เข้ามาได้ มีตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ในคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง ว
มือใหม่หมาด ๆ ในแวดวงการเมือง แต่มีประสบการณ์ทำงานภาคเอกชนอย่างโชกชน ผ่านด่านเลือกตั้งสมาชิกวุฒิ (สว.) เข้ามาได้ มีตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ในคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ไทยพีบีเอสออนไลน์ คุยเปิดใจกับ "ดร.ชญาน์นันท์ ตริยะตระการชัย" สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะผู้เสนอแนวคิดและการตั้งรับ "ปฏิรูปโครงสร้างภาษีของไทย" ที่จะนำเสนอรัฐบาลให้พิจารณาในปี 2568 หลังกระทรวงการคลังวางแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโตช้าและลดความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะเพดาน แนวคิดเรื่องปฏิรูปโครงสร้างภาษี เราได้ระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น รศ.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สรุปภาพแนวทางการคลังและผลกระทบ มีข้อมูลน่าสนใจ คือ หนี้สาธารณะไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดในอีก 5 ปี ตั้งแต่ปี 2568-2572 อาจขยายตัวเพิ่มเป็นร้อยละ 70 ต่อจีดีพี เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่อยู่ร้อยละ 64.4 ต่อจีดีพี ดร.ชญาน์นันท์ บอกว่า การขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะที่สูงมากต่อเนื่อง จะส่งผลต่อการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลทางการคลัง ดุลเงินสด หลังการกู้ติดลบ จนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย "สัดส่วนภาระดอกเบี้ย ต่อรายได้สุทธิ ซึ่งเป็นเครื่องมือชี้วัดสำคัญ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินร้อยละ 10 ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า รัฐบาลจึงต้องดำเนินนโยบายการคลัง อย่างระมัดระวัง ให้ความสำคัญต่อวินัยการคลังมากยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการลดอันดับความน่าเชื่อถือ" ประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลังกล่าว ดร.ชญาน์นันท์ย้ำว่า การเพิ่มขึ้นของภาระหนี้รัฐ ทำให้การขาดดุลการคลังเรื้อรัง รัฐมีหนี้เพิ่มสูง ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 9.6 และในอีก 5 ปี ระหว่าง 2568-2572 จะเพิ่มเป็นร้อยละ 15 ขณะที่รัฐบาล ยังมีรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน เช่น ค่าตอบแทนบุคลากร ค่าสวัสดิการ และการชำระหนี้ ถึงร้อยละ 67.2 ของงบประมาณฯ ทำให้ส่งผลต่อขีดความสามารถด้านการแข่งขันของรัฐบาล ในการสนับ สนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการรับมือวิกฤตในอนาคต ส่วนรายจ่ายภาครัฐก็สูงตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขตั้งแต่ปี 2547-2556 เฉลี่ยร้อยละ 17 ต่อจีดีพี ขณะที่รายรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก “วิกฤตต้มยำกุ้งต่อด้วยวิกฤตโควิด-19” เฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อจีดีดี และเมื่อเปรียบเทียบรายได้ของไทย กับกลุ่มประเทศในระดับพัฒนาการใกล้เคียงกัน พบว่าเงินสำหรับการพัฒนาของไทยอยู่ที่ร้อยละ 15.6 ต่อจีดีพี ขณะที่ประเทศในกลุ่มรายได้สูง-ปานกลาง อยู่ร้อยละ 18.3 ต่อจีดีพี ในปี 2566 รายได้ของรัฐสุทธิ 2.7 ล้านล้านบาท ขณะที่รายจ่ายรวม 3.4 ล้านล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 2.4 ล้านบาท การลงทุน 0.7 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ยหนี้ 0.3 ล้านล้านบาท รัฐมีรายได้เพียงพอครอบคลุมแค่ค่าใช้จ่ายประจำและชำระดอกเบี้ยหนี้เท่านั้น ไม่เพียงพอต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาประเทศ สาเหตุที่ไทยมีรายได้ ที่ยังค่อนข้างไม่เพียงพอ ดร.ชญาน์นันท์ บอกว่า มีปัญหาสำคัญ 2 ประการ คือ ส่วนต่างระหว่างเม็ดเงินที่จัดเก็บได้ในปัจจุบัน กับเม็ดเงินที่จะจัดเก็บได้ หากปฏิบัติการทางภาษีได้ถูกต้องครบถ้วน หรือ Compliance Gap คือ มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ ทำให้ไม่มีผู้เข้าระบบภาษีจำนวนมาก ส่งผลให้จัดเก็บภาษีจริงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โครงสร้างนโยบายภาษี ให้ความสำคัญกับแหล่งรายได้ หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่สมดุล ในการจัดเก็บภาษี ระหว่างแหล่งรายได้หรือกลุ่มเป้าหมาย การปฏิรูปทั้งการปฏิบัติลิงค์ ดู บอล สด เช ล ซีและการออกแบบนโยบายภาษี จึงต้องเหมาะสม เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ ดร.ชญาน์นันท์ อธิบายว่า ตัวเลขที่ รศ.อธิภัทร นำมาแสดงให้อนุกรรมาธิการด้านการคลังเห็นก็คือ ธุรกิจร้อยละ 75.8 อยู่นอกระบบภาษีเงินได้ มีสัดส่วนร้อยละ 19.9 ที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และร้อยละ 4.3 ยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล "รายได้จากการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ร้อยละ 79 มาจากกลุ่มคนทำงานที่มีเงินเดือน รายได้ในครัวเรือนระดับประเทศ ร้อยละ 51 มาจากการจ้างงาน ร้อยละ 49 มาจากแหล่งรายได้อื่น ๆ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ธุรกิจส่วนตัว ซึ่งมีสัดส่วนการเสียกาษีที่ต่ำกว่า... แม้ว่าจะคิดเป็นรายได้ของครัวเรือนถึงร้อยละ 49 แต่ก็สะท้อนว่าโครงสร้างภาษีอาจไม่ครอบคลุมแหล่งรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ชญาน์นันท์ยกตัวเลขจากการศึกษาให้ฟัง ดร.ชญาน์นันท์บอกว่า จากข้อมูลของ รศ.อธิภัทร์ที่นำพบว่าผู้ประกอบการมากกว่า 3 ใน 4 ยังไม่เข้าสู่ระบบภาษี ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ได้รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจ หรือ "หลีกเลี่ยงภาษี" ในขณะที่ธุรกิจที่เข้าสู่ระบบภาษีส่วนใหญ่ จะอยู่ในรูปของบุคคลธรรมดามากกว่านิติบุคคล ซึ่งสะท้อนว่าผู้ประกอบการขนาดเล็ก แม้จะมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของไทย แต่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังพบการกระจุกตัวของธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT อย่างชัดเจน ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมาก พยายามหลีกเลี่ยงเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม รักษารายได้ให้อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด คือ 1.8 ล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนถึงภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องการสนับสนุนเชิงนโยบาย เพื่อลดแรงกดดันและส่งเสริมการเข้าสู่ระบบภาษี ขณะที่ผลกระทบด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ เอสเอ็มอี พบพฤติกรรมของธุรกิจเกณฑ์รายได้ 30 ล้านบาทต่อปี ช่วงปี 2554-2560 หลังการกำหนดสิทธิประโยชน์ภาษี สำหรับเอสเอ็มอีที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ 30 ล้านบาท ธุรกิจจำนวนมาก พยายามจำกัดรายได้ให้อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของรายได้ใกล้เกณฑ์เสียภาษี เพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีเพิ่มเติม ดร.ชญาน์นันท์บอกว่า ผลจากการกำหนดเกณฑ์สิทธิประโยชน์ทางภาษี พบรายได้ลดลงร้อยละ 15.9 ขณะที่การลงทุน ลดลงร้อยละ 6.0 ความสามารถในการทำกำไรลดลงร้อยละ 1.1 และภาระภาษีลดลงร้อยละ 3.2 การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้เติบโต แต่การลงทุนและความสามารถในการทำกำไรลดลง เพราะการลดภาระภาษี อาจช่วยธุรกิจได้ในระยะสั้น แต่ไม่สร้างแรงจูงใจระยะยาว "การให้ผู้ประกอบการเข้าระบบภาษี ด้วยการลงโทษและการบังคับใช้กฎหมายอาจไม่คุ้มต้นทุนภาครัฐ เพราะการตรวจสอบธุรกิจขนาดเล็ก ต้องใช้ทรัพยากรมาก การลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การผ่อนคลายด้วยระบบปฏิบัติการทางภาษีที่ใช้ได้กับทุกคน หรือ One-size-fits-all tax compliance ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเข้าระบบได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ของการเข้าระบบด้วยแรงจูงใจระยะยาว ที่ไม่ใช้ภาระทางภาษี เช่น การเข้าถึงแหล่งทุนระบบ" ดร.ชญาน์นันท์บอกว่า เมื่อมองนโยบายการลดหย่อนภาษีเพื่อการออม รัฐต้องปรับ ปรุงให้ เกิดการออมในกลุ่มรายได้ปานกลางและต่ำมากขึ้น โดยเพิ่มสิทธิพิเศษให้ผู้มีรายได้น้อย หรือกำหนดเพดานสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สูง เพราะที่ผ่านมา กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำสุด ใช้สิทธิลดหย่อนน้อยมาก กลุ่มรายได้ปานกลางขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กลุ่มรายได้สูง ใช้สิทธิลดหย่อนร้อยละ 92.4 สำหรับการลงทุนในไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ดร.ชญาน์นันท์ บอกว่า ไทยเติบโตช้ากว่าเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่งในระดับโลก เช่น จีนและเวียดนาม โดยสัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ของไทยลดลงจากอันดับสูงสุด มาอยู่ในระดับล่างสุด จีนเติบโตสูงสุดถึง 5.7 เท่า เวียดนาม 4.2 เท่า อินเดีย 4.1 เท่า ขณะที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ก็สูงกว่าไทย ที่ระดับ 2.0 เท่า โดยไทยอยู่ที่ 1.8 ต่ำสุดในกลุ่ม สะท้อนให้เห็นว่าไทยกำลังเผชิญความท้าทายการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และสัดส่วนการลงทุน FDI ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วง 24 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดเหลือเพียงร้อยละ 16 ส่วนเวียดนามเพิ่มจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 27 และอินโดนีเซีย จากร้อยละ 11 เป็นร้อยละ 27 เมื่อหันไปมองความสามารถในแข่งด้านภาษีในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยสำคัญในดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะพบว่าแต่ละประเทศ มีความแตกต่างระหว่างอัตราภาษีตามประกาศและอัตราภาษีที่แท้จริง ซึ่งต่ำกว่าประกาศ เช่น มาเลเซียเพดานร้อยละ 24.0 เก็บเพียงร้อยละ 7.0 สิงคโปร์เพดานร้อย 17.0 เก็บร้อยละ 6.4 ดร.ชญาน์นันท์ให้ความเห็นว่า การปฏิรูปภาษีต้องคำนึงความเชื่อมโยงถึงสามมิติหลัก คือ "ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเก็บ และสร้างความไว้วางใจในระบบภาษี" หากขาดสมดุล จะทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบทั้งระบบ เช่น หากไม่ขยายฐานภาษี ผู้มีรายได้น้อยอาจได้รับผลกระทบ จากการแบบรับภาษีที่ไม่เป็นธรรม หากขาดการส่งเสริมจิตสำนึกที่ดี ประชาชนอาจมองว่าการเสียภาษีเป็นภาระ จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง สำหรับข้อเสนอด้านการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ดร.ชญานันท์ บอกว่า จะเป็น 1 ในแผนงาน สำคัญของอนุกรรมาธิการด้านการคลังฯ ที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจฯ รวมทั้ง แผนงานอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น การแก้ไขความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ในกลุ่มลูกค้ารายย่อยของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) วิเคราะห์ประเมินผล การดำเนินงานเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย ทั้งหมดนี้เพื่อให้เห็น จุดอ่อน-จุดแข็ง โอกาส-อุปสรรค และข้อจำกัด และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษของในทุกมิติ เพื่อทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลพิจารณาศึกษาต่อไป อ่านข่าว: “ทองคำ” โอกาสนักลงทุน บนวิกฤต “ทรัมป์ป่วน” เศรษฐกิจโลก "ต้นไม้" หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทางเลือก (สีเขียว)สินเชื่อ คนร้อนเงิน รับมือ "ทรัมป์ 2.0" ป่วนโลก จี้รัฐบาลไทยตั้งวอร์รูม ป้อง "สงครามการค้า"
เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2564 พิธีมอบรางวัล "บัลลงดอร์" ที่จัดขึ้นโดย ฟรองซ์ ฟุตบอล นิตรสารฟุตบอลเก่าแก่ขอ
ลิงค์ ดู บอล สด เช ล ซี -World App Akhirnya Buka Suara usai Izin Dibekukan Komdigi
วันนี้ (27 ต.ค.2566) คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง นำโดย พริษฐ์ วัชรสินธุ ประธาน กมธ. และ วรายุทธ ทอลิงค์ ดู บอล สด เช ล ซี
มือใหม่หมาด ๆ ในแวดวงการเมือง แต่มีประสบการณ์ทำงานภาคเอกชนอย่างโชกชน ผ่านด่านเลือกตั้งสมาชิกวุฒิ (สว.) เข้ามาได้ มีตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ในคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง ว
มือใหม่หมาด ๆ ในแวดวงการเมือง แต่มีประสบการณ์ทำงานภาคเอกชนอย่างโชกชน ผ่านด่านเลือกตั้งสมาชิกวุฒิ (สว.) เข้ามาได้ มีตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ในคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ไทยพีบีเอสออนไลน์ คุยเปิดใจกับ "ดร.ชญาน์นันท์ ตริยะตระการชัย" สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะผู้เสนอแนวคิดและการตั้งรับ "ปฏิรูปโครงสร้างภาษีของไทย" ที่จะนำเสนอรัฐบาลให้พิจารณาในปี 2568 หลังกระทรวงการคลังวางแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโตช้าและลดความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะเพดาน แนวคิดเรื่องปฏิรูปโครงสร้างภาษี เราได้ระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น รศ.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สรุปภาพแนวทางการคลังและผลกระทบ มีข้อมูลน่าสนใจ คือ หนี้สาธารณะไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดในอีก 5 ปี ตั้งแต่ปี 2568-2572 อาจขยายตัวเพิ่มเป็นร้อยละ 70 ต่อจีดีพี เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่อยู่ร้อยละ 64.4 ต่อจีดีพี ดร.ชญาน์นันท์ บอกว่า การขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะที่สูงมากต่อเนื่อง จะส่งผลต่อการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลทางการคลัง ดุลเงินสด หลังการกู้ติดลบ จนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย "สัดส่วนภาระดอกเบี้ย ต่อรายได้สุทธิ ซึ่งเป็นเครื่องมือชี้วัดสำคัญ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินร้อยละ 10 ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า รัฐบาลจึงต้องดำเนินนโยบายการคลัง อย่างระมัดระวัง ให้ความสำคัญต่อวินัยการคลังมากยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการลดอันดับความน่าเชื่อถือ" ประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลังกล่าว ดร.ชญาน์นันท์ย้ำว่า การเพิ่มขึ้นของภาระหนี้รัฐ ทำให้การขาดดุลการคลังเรื้อรัง รัฐมีหนี้เพิ่มสูง ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 9.6 และในอีก 5 ปี ระหว่าง 2568-2572 จะเพิ่มเป็นร้อยละ 15 ขณะที่รัฐบาล ยังมีรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน เช่น ค่าตอบแทนบุคลากร ค่าสวัสดิการ และการชำระหนี้ ถึงร้อยละ 67.2 ของงบประมาณฯ ทำให้ส่งผลต่อขีดความสามารถด้านการแข่งขันของรัฐบาล ในการสนับ สนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการรับมือวิกฤตในอนาคต ส่วนรายจ่ายภาครัฐก็สูงตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขตั้งแต่ปี 2547-2556 เฉลี่ยร้อยละ 17 ต่อจีดีพี ขณะที่รายรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก “วิกฤตต้มยำกุ้งต่อด้วยวิกฤตโควิด-19” เฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อจีดีดี และเมื่อเปรียบเทียบรายได้ของไทย กับกลุ่มประเทศในระดับพัฒนาการใกล้เคียงกัน พบว่าเงินสำหรับการพัฒนาของไทยอยู่ที่ร้อยละ 15.6 ต่อจีดีพี ขณะที่ประเทศในกลุ่มรายได้สูง-ปานกลาง อยู่ร้อยละ 18.3 ต่อจีดีพี ในปี 2566 รายได้ของรัฐสุทธิ 2.7 ล้านล้านบาท ขณะที่รายจ่ายรวม 3.4 ล้านล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 2.4 ล้านบาท การลงทุน 0.7 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ยหนี้ 0.3 ล้านล้านบาท รัฐมีรายได้เพียงพอครอบคลุมแค่ค่าใช้จ่ายประจำและชำระดอกเบี้ยหนี้เท่านั้น ไม่เพียงพอต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาประเทศ สาเหตุที่ไทยมีรายได้ ที่ยังค่อนข้างไม่เพียงพอ ดร.ชญาน์นันท์ บอกว่า มีปัญหาสำคัญ 2 ประการ คือ ส่วนต่างระหว่างเม็ดเงินที่จัดเก็บได้ในปัจจุบัน กับเม็ดเงินที่จะจัดเก็บได้ หากปฏิบัติการทางภาษีได้ถูกต้องครบถ้วน หรือ Compliance Gap คือ มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ ทำให้ไม่มีผู้เข้าระบบภาษีจำนวนมาก ส่งผลให้จัดเก็บภาษีจริงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โครงสร้างนโยบายภาษี ให้ความสำคัญกับแหล่งรายได้ หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่สมดุล ในการจัดเก็บภาษี ระหว่างแหล่งรายได้หรือกลุ่มเป้าหมาย การปฏิรูปทั้งการปฏิบัติลิงค์ ดู บอล สด เช ล ซีและการออกแบบนโยบายภาษี จึงต้องเหมาะสม เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ ดร.ชญาน์นันท์ อธิบายว่า ตัวเลขที่ รศ.อธิภัทร นำมาแสดงให้อนุกรรมาธิการด้านการคลังเห็นก็คือ ธุรกิจร้อยละ 75.8 อยู่นอกระบบภาษีเงินได้ มีสัดส่วนร้อยละ 19.9 ที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และร้อยละ 4.3 ยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล "รายได้จากการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ร้อยละ 79 มาจากกลุ่มคนทำงานที่มีเงินเดือน รายได้ในครัวเรือนระดับประเทศ ร้อยละ 51 มาจากการจ้างงาน ร้อยละ 49 มาจากแหล่งรายได้อื่น ๆ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ธุรกิจส่วนตัว ซึ่งมีสัดส่วนการเสียกาษีที่ต่ำกว่า... แม้ว่าจะคิดเป็นรายได้ของครัวเรือนถึงร้อยละ 49 แต่ก็สะท้อนว่าโครงสร้างภาษีอาจไม่ครอบคลุมแหล่งรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ชญาน์นันท์ยกตัวเลขจากการศึกษาให้ฟัง ดร.ชญาน์นันท์บอกว่า จากข้อมูลของ รศ.อธิภัทร์ที่นำพบว่าผู้ประกอบการมากกว่า 3 ใน 4 ยังไม่เข้าสู่ระบบภาษี ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ได้รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจ หรือ "หลีกเลี่ยงภาษี" ในขณะที่ธุรกิจที่เข้าสู่ระบบภาษีส่วนใหญ่ จะอยู่ในรูปของบุคคลธรรมดามากกว่านิติบุคคล ซึ่งสะท้อนว่าผู้ประกอบการขนาดเล็ก แม้จะมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของไทย แต่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังพบการกระจุกตัวของธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT อย่างชัดเจน ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมาก พยายามหลีกเลี่ยงเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม รักษารายได้ให้อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด คือ 1.8 ล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนถึงภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องการสนับสนุนเชิงนโยบาย เพื่อลดแรงกดดันและส่งเสริมการเข้าสู่ระบบภาษี ขณะที่ผลกระทบด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ เอสเอ็มอี พบพฤติกรรมของธุรกิจเกณฑ์รายได้ 30 ล้านบาทต่อปี ช่วงปี 2554-2560 หลังการกำหนดสิทธิประโยชน์ภาษี สำหรับเอสเอ็มอีที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ 30 ล้านบาท ธุรกิจจำนวนมาก พยายามจำกัดรายได้ให้อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของรายได้ใกล้เกณฑ์เสียภาษี เพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีเพิ่มเติม ดร.ชญาน์นันท์บอกว่า ผลจากการกำหนดเกณฑ์สิทธิประโยชน์ทางภาษี พบรายได้ลดลงร้อยละ 15.9 ขณะที่การลงทุน ลดลงร้อยละ 6.0 ความสามารถในการทำกำไรลดลงร้อยละ 1.1 และภาระภาษีลดลงร้อยละ 3.2 การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้เติบโต แต่การลงทุนและความสามารถในการทำกำไรลดลง เพราะการลดภาระภาษี อาจช่วยธุรกิจได้ในระยะสั้น แต่ไม่สร้างแรงจูงใจระยะยาว "การให้ผู้ประกอบการเข้าระบบภาษี ด้วยการลงโทษและการบังคับใช้กฎหมายอาจไม่คุ้มต้นทุนภาครัฐ เพราะการตรวจสอบธุรกิจขนาดเล็ก ต้องใช้ทรัพยากรมาก การลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การผ่อนคลายด้วยระบบปฏิบัติการทางภาษีที่ใช้ได้กับทุกคน หรือ One-size-fits-all tax compliance ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเข้าระบบได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ของการเข้าระบบด้วยแรงจูงใจระยะยาว ที่ไม่ใช้ภาระทางภาษี เช่น การเข้าถึงแหล่งทุนระบบ" ดร.ชญาน์นันท์บอกว่า เมื่อมองนโยบายการลดหย่อนภาษีเพื่อการออม รัฐต้องปรับ ปรุงให้ เกิดการออมในกลุ่มรายได้ปานกลางและต่ำมากขึ้น โดยเพิ่มสิทธิพิเศษให้ผู้มีรายได้น้อย หรือกำหนดเพดานสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สูง เพราะที่ผ่านมา กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำสุด ใช้สิทธิลดหย่อนน้อยมาก กลุ่มรายได้ปานกลางขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กลุ่มรายได้สูง ใช้สิทธิลดหย่อนร้อยละ 92.4 สำหรับการลงทุนในไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ดร.ชญาน์นันท์ บอกว่า ไทยเติบโตช้ากว่าเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่งในระดับโลก เช่น จีนและเวียดนาม โดยสัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ของไทยลดลงจากอันดับสูงสุด มาอยู่ในระดับล่างสุด จีนเติบโตสูงสุดถึง 5.7 เท่า เวียดนาม 4.2 เท่า อินเดีย 4.1 เท่า ขณะที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ก็สูงกว่าไทย ที่ระดับ 2.0 เท่า โดยไทยอยู่ที่ 1.8 ต่ำสุดในกลุ่ม สะท้อนให้เห็นว่าไทยกำลังเผชิญความท้าทายการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และสัดส่วนการลงทุน FDI ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วง 24 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดเหลือเพียงร้อยละ 16 ส่วนเวียดนามเพิ่มจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 27 และอินโดนีเซีย จากร้อยละ 11 เป็นร้อยละ 27 เมื่อหันไปมองความสามารถในแข่งด้านภาษีในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยสำคัญในดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะพบว่าแต่ละประเทศ มีความแตกต่างระหว่างอัตราภาษีตามประกาศและอัตราภาษีที่แท้จริง ซึ่งต่ำกว่าประกาศ เช่น มาเลเซียเพดานร้อยละ 24.0 เก็บเพียงร้อยละ 7.0 สิงคโปร์เพดานร้อย 17.0 เก็บร้อยละ 6.4 ดร.ชญาน์นันท์ให้ความเห็นว่า การปฏิรูปภาษีต้องคำนึงความเชื่อมโยงถึงสามมิติหลัก คือ "ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเก็บ และสร้างความไว้วางใจในระบบภาษี" หากขาดสมดุล จะทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบทั้งระบบ เช่น หากไม่ขยายฐานภาษี ผู้มีรายได้น้อยอาจได้รับผลกระทบ จากการแบบรับภาษีที่ไม่เป็นธรรม หากขาดการส่งเสริมจิตสำนึกที่ดี ประชาชนอาจมองว่าการเสียภาษีเป็นภาระ จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง สำหรับข้อเสนอด้านการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ดร.ชญานันท์ บอกว่า จะเป็น 1 ในแผนงาน สำคัญของอนุกรรมาธิการด้านการคลังฯ ที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจฯ รวมทั้ง แผนงานอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น การแก้ไขความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ในกลุ่มลูกค้ารายย่อยของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) วิเคราะห์ประเมินผล การดำเนินงานเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย ทั้งหมดนี้เพื่อให้เห็น จุดอ่อน-จุดแข็ง โอกาส-อุปสรรค และข้อจำกัด และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษของในทุกมิติ เพื่อทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลพิจารณาศึกษาต่อไป อ่านข่าว: “ทองคำ” โอกาสนักลงทุน บนวิกฤต “ทรัมป์ป่วน” เศรษฐกิจโลก "ต้นไม้" หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทางเลือก (สีเขียว)สินเชื่อ คนร้อนเงิน รับมือ "ทรัมป์ 2.0" ป่วนโลก จี้รัฐบาลไทยตั้งวอร์รูม ป้อง "สงครามการค้า"
เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2564 พิธีมอบรางวัล "บัลลงดอร์" ที่จัดขึ้นโดย ฟรองซ์ ฟุตบอล นิตรสารฟุตบอลเก่าแก่ขอ