Bandung dan sekitarnya Cuaca hari ini di daerah Ba

มีข้อมูลว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ระดับประเทศ โดยเฉพาะการโจมตีทางไซเบอร์ ด้วยเทคนิคแรมซัมแวร์ ที่เรียกกันว่า กรรโชก 3 ครั้ง หรือ Triple Extortion Ransomware ทั้งการเรียกค่าไถ่ จารกรรมข
วันนี้ (28 มี.ค.2568) เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ที่เมียนมาเมื่อเวลา 13:20 น. ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงประเทศไทย สร้างความตื่นตระหนกในหลายพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพฯ กลายเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอ
มีข้อมูลว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ระดับประเทศ โดยเฉพาะการโจมตีทางไซเบอร์ ด้วยเทคนิคแรมซัมแวร์ ที่เรียกกันว่า กรรโชก 3 ครั้ง หรือ Triple Extortion Ransomware ทั้งการเรียกค่าไถ่ จารกรรมข้อมูลส่วนบุคคล และ การโจมตีระบบโครงการพื้นฐาน ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กมช. บอกว่า Triple Extortion Ransomware ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 คือการแฮกล็อคข้อมูลเพื่อให้จ่ายเงิน ขั้นที่ 2 คือการนำข้อมูลที่แฮกมาได้ ปล่อยขายตามเว็บต่างๆ ขั้นที่ 3 คือ การเจาะข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่แฮกมาได้ เพื่อสร้างความเสียหายให้บุคคลนั้นๆ พล.ต.ต. นิเวศน์ อาภาวศิน ผบก.กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท. ระบุว่า อาชญากรไซเบอร์ หรือ แฮกเกอร์ ใช้วิธีเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์จากช่องโหว่ของโปรแกรม ในระบบที่ไม่มีการอัพเดท เป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลไปใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการ แต่ปัจจุบันนิยมใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือ ไวรัสแรนซัมแวร์ เรียกค่าไถ่ ปล่อยในระบบอินเทอร์เน็ต เพราะจัดการกับเป้าหมายได้ง่ายกว่าการแฮกข้อมูลแบบเดิม องค์การตำรวจสากลอาชญากรรมระหว่างประเทศเผยแพร่รายงานการประเมินภัยคุกคามทางไซเบอร์ในอาเซียน ประจำปี 2564 ระบุว่า แรนซัมแวร์ หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ เป็นภัยคุกคามที่พบมากในกลุ่มประเทศอาเซียน ระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2563 ตรวจพบการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ กว่า 2,700,000 ครั้ง ประเทศไทย อยู่อันดับ 3 ของอาเซียน ตรวจพบการโจมตี 192,652 ครั้ง จากรายงานขององค์การตำรวจสากลฯ พบว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลประจำตัวเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แรนซัมแวร์ หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ถูกจัดให้เป็นภัยคุกคามที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน อาชญากรไซเบอร์จะเน้นโจมตีโรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์ และ สถาบันสาธารณะ เป็นหลัก เนื่องจากเชื่อว่า มีอัตราความสำเร็จสูงเพราะมีการป้องกันต่ำ ปี 2564 ประเทศไทยถูกโจมตีโดยกลุ่มแฮกเกอร์ มีการประกาศขายข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยและแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขของไทยขนาด 3.75 กิกะไบต์ ในราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 16,500 บาท ข้อมูลนี้ ถูกนำมาเปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊กน้baccarat shoe resultsองปอสาม เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 พร้อมกับโพสต์ข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า ข้อมูลคนไข้ของกระทรวงสาธารณสุขถูกแฮก และ เรียกค่าไถ่ ในเดือนเดียวกัน เว็บไซต์คอมแพริเทค บริษัทวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า ตรวจพบข้อมูลส่วนตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 106 ล้านคนรั่วไหล โดยพบข้อมูลชุดเก่าที่สุดย้อนหลังไป 10 ปี หรือ ถึงปี 2554 ข้อมูลที่รั่วไหล ประกอบด้วยชื่อ นามสกุล เพศ เลขพาสปอร์ต วันที่เข้า-ออกประเทศไทย และ สถานการณ์อยู่อาศัยในไทย ขณะที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. แถลงข้อความผ่านเฟซบุ๊กวันที่ 23 ก.ย. 2564 ระบุยังไม่ปรากฏข้อมูลรั่วไหล แต่ยอมรับว่า เคยมีผู้พยายามเจาะและเข้าถึงข้อมูลของ สตม. แต่ไม่สามารถทำได้
วันนี้ (23 เม.ย.2566) นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงพื้นที่ จ.เชียงร
วันนี้ (28 เม.ย.2568) ครบรอบ 1 เดือน ตึก สตง.สูง 30 ชั้น พังถล่ม โดยช่วงเวลา 06.30 น. นายชัชชาติ สิท
วันนี้ (4 พ.ย.65) เหตุดังกล่าวขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ในร้านทองภายในห้างสรรพสินค้า อ.เสนา จ.พระนค
มีข้อมูลว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ระดับประเทศ โดยเฉพาะการโจมตีทางไซเบอร์ ด้วยเทคนิคแรมซัมแวร์ ที่เรียกกันว่า กรรโชก 3 ครั้ง หรือ Triple Extortion Ransomware ทั้งการเรียกค่าไถ่ จารกรรมข้อมูลส่วนบุคคล และ การโจมตีระบบโครงการพื้นฐาน ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กมช. บอกว่า Triple Extortion Ransomware ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 คือการแฮกล็อคข้อมูลเพื่อให้จ่ายเงิน ขั้นที่ 2 คือการนำข้อมูลที่แฮกมาได้ ปล่อยขายตามเว็บต่างๆ ขั้นที่ 3 คือ การเจาะข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่แฮกมาได้ เพื่อสร้างความเสียหายให้บุคคลนั้นๆ พล.ต.ต. นิเวศน์ อาภาวศิน ผบก.กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท. ระบุว่า อาชญากรไซเบอร์ หรือ แฮกเกอร์ ใช้วิธีเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์จากช่องโหว่ของโปรแกรม ในระบบที่ไม่มีการอัพเดท เป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลไปใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการ แต่ปัจจุบันนิยมใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือ ไวรัสแรนซัมแวร์ เรียกค่าไถ่ ปล่อยในระบบอินเทอร์เน็ต เพราะจัดการกับเป้าหมายได้ง่ายกว่าการแฮกข้อมูลแบบเดิม องค์การตำรวจสากลอาชญากรรมระหว่างประเทศเผยแพร่รายงานการประเมินภัยคุกคามทางไซเบอร์ในอาเซียน ประจำปี 2564 ระบุว่า แรนซัมแวร์ หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ เป็นภัยคุกคามที่พบมากในกลุ่มประเทศอาเซียน ระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2563 ตรวจพบการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ กว่า 2,700,000 ครั้ง ประเทศไทย อยู่อันดับ 3 ของอาเซียน ตรวจพบการโจมตี 192,652 ครั้ง จากรายงานขององค์การตำรวจสากลฯ พบว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลประจำตัวเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แรนซัมแวร์ หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่ถูกจัดให้เป็นภัยคุกคามที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน อาชญากรไซเบอร์จะเน้นโจมตีโรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์ และ สถาบันสาธารณะ เป็นหลัก เนื่องจากเชื่อว่า มีอัตราความสำเร็จสูงเพราะมีการป้องกันต่ำ ปี 2564 ประเทศไทยถูกโจมตีโดยกลุ่มแฮกเกอร์ มีการประกาศขายข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยและแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขของไทยขนาด 3.75 กิกะไบต์ ในราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 16,500 บาท ข้อมูลนี้ ถูกนำมาเปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊กน้baccarat shoe resultsองปอสาม เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 พร้อมกับโพสต์ข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า ข้อมูลคนไข้ของกระทรวงสาธารณสุขถูกแฮก และ เรียกค่าไถ่ ในเดือนเดียวกัน เว็บไซต์คอมแพริเทค บริษัทวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า ตรวจพบข้อมูลส่วนตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 106 ล้านคนรั่วไหล โดยพบข้อมูลชุดเก่าที่สุดย้อนหลังไป 10 ปี หรือ ถึงปี 2554 ข้อมูลที่รั่วไหล ประกอบด้วยชื่อ นามสกุล เพศ เลขพาสปอร์ต วันที่เข้า-ออกประเทศไทย และ สถานการณ์อยู่อาศัยในไทย ขณะที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. แถลงข้อความผ่านเฟซบุ๊กวันที่ 23 ก.ย. 2564 ระบุยังไม่ปรากฏข้อมูลรั่วไหล แต่ยอมรับว่า เคยมีผู้พยายามเจาะและเข้าถึงข้อมูลของ สตม. แต่ไม่สามารถทำได้
วันนี้ (31 ส.ค.2565) กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์ โพสต์ข้อความระบุว่า กทม. จับจริง ปรับจริ