วันนี้ (24 มี.ค.2566) กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเรื่อง พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน มีผลกระทบตั้ง
ในอดีตไทยเคยมีเด็กเกิดใหม่จำนวนไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านคน โดยเมื่อ 60 ปีก่อน อัตราการเจริญพันธุ์หรือผู้หญิงหนึ่งคนจะมีลูกเฉลี่ยประมาณ 6 คน แต่จำนวนดังกล่าวปรับลดลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือเพียง 1.16 คนเท่านั้น ปัญหานี้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นหลังพบว่าในปี 2564 เป็นปีแรกที่จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิต และทิศทางดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2565 และปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการเกิดน้อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขยายตัวและโครงสร้างประชากรอย่างมาก “ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน” นักประชากรศาสตร์ และที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ ระบุว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ในปี 2626 จำนวนประชากรวัยเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) จะลดลงจาก 10 ล้านคนเหลือเพียง 1 ล้านคน ขณะที่ประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-64 ปี) จะลดลงจาก 46 ล้านคนเหลือ 14 ล้านคน ส่วนผู้สูงวัย (อายุ 65 ปีขึ้นไป) จะเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน ด้วยบริบทของเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นภาระค่าใช้จ่าย ปัญหาสังคม ความต้องการใช้ชีวิตอิสระ การจดจ่อกับความก้าวหน้าในอาชีพการงาน รวมไปถึงความหลากหลายทางเพศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการมีลูกลดลง “สุมิตรา วรสิริมงคล” พนักงานบริษัทเอกชน วัย 29 ปี ในฐานะแม่ของลูกสาววัย 1 ขวบ 11 เดือน เล่าว่า วางแผนมีลูกเพียงคนเดียว เพราะต้องทำงานหาเงิน กลัวว่าจะดูแลลูกได้ไม่เต็มที่ และมองว่าหากรัฐบาลต้องการเพิ่มอัตราการเกิดและอยากให้คนมีลูก ก็ต้องมีการสนับสนุนที่ดีกว่านี้ เพราะการที่เด็กเกิดหนึ่งคนมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมาก จึงอยากให้รัฐบาลส่งเสริมและดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ในเวทีประชุม UNFPA Asia-Pacific Regional Office ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนจบปริญญาตรีในสถาบันการศึกษาของรัฐ อยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านบาทต่อคน หรือคิดเป็น 6.3 เท่าของรายได้ต่อหัวต่อปีของประชากรในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากเข้าเรียนในสถานศึกษาของเอกชน ศ.ดร.เกื้อ กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 30,000 แห่ง จำนวนนี้เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 20,000 แห่ง มีสัดส่วนระหว่างครูและนักเรียนอยู่ที่ 1:14 แต่หากอนาคตมีเด็กเกิดน้อย โรงเรียนก็อาจถูกยุบ ส่วนมหาวิทยาลัยจะประสบปัญหาจำนวนนักศึกษาลดลง รวมถึงเกิดปัญหาด้านการลงทุนและการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เพราะขาดแคลนแรงงาน สอดคล้องกับ “ดร.กิริฎา เภาพิจิตร” ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า อัตราการเกิดต่ำจะกระทบต่อการบริโภค โดยจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยขยายตัวได้ไม่มากเท่าในอดีตและกระทบต่อภาคแรงงาน เนื่องจากจำนวนแรงงานจะน้อยลง ไม่มีคนมาทดแทน ดังนั้นหากไม่เร่งปรับทักษะแรงงาน หรือให้คนมีความรู้ความสามารถจากต่างประเทศเข้ามาทำงาน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง ดร.กิริฎา เภาพิจิตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ดร.กิริฎา เภาพิจิตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หากเทียบอายุของไทยกับประเทศอื่น ๆ ในโลก เราอาจไม่ได้เป็นประเทศที่มีอายุมากอย่างที่หลายคนเข้าใจ จากข้อมูลของ The World Fact Book ขอส่งเงินบาทไทย ดาฟาเบ็ตง Central Intelligence Agency สหรัฐฯ พบว่า โมนาโก เป็นชาติที่ประชากรมีอายุ (Median Age) สูงสุดในโลกอยู่ที่ 56.2 ปี ขณะที่ “ไทย” เปรียบเสมือนคนวัยกลางคนที่มีอายุประมาณ 41 ปี หรืออยู่ในอันดั��บที่ 53 ของโลก แต่หากเทียบเฉพาะในอาเซียน ไทยจะมีอายุมากที่สุด รองลงมาคือสิงคโปร์และเวียดนาม ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาข้อมูลในหลายประเทศ พบว่า อายุอาจไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเกิดและจำนวนประชากรมากนัก เพราะบางประเทศมีอายุมากกว่าไทย แต่ยังสามารถมีอัตราการเกิดที่สูงกว่าและมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในทางกลับกัน บางประเทศมีอายุน้อยกว่า แต่ก็มีอัตราการเกิดต่ำกว่าและมีจำนวนประชากรที่มีทิศทางลดลงต่อเนื่องเช่น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่เราจะศึกษาแนวทางการเพิ่มอัตราการเกิดและจำนวนประชากรของทั้ง 2 กลุ่มประเทศ ทั้งที่ประสบความสำเร็จและเผชิญความล้มเหลว เพื่อถอดบทเรียนสำคัญและนำมาปรับใช้กับไทยต่อไปได้ หลายประเทศในโลกเคยเผชิญปัญหาอัตราการเกิดต่ำ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีแนวทางการแก้ปัญหาแตกต่างกัน และเกือบทุกประเทศที่ลุกขึ้นมาแก้ปัญหานี้รัฐบาลได้ประกาศเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ต้องเร่งแก้ไขให้เร็วที่สุด ยกตัวอย่าง “เกาหลีใต้” ซึ่งมีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลกเมื่อปี 2563 อยู่ที่ 0.8 สาเหตุที่ทำให้คนเกาหลีใต้ไม่อยากมีลูกมาจากที่พักอาศัยราคาแพง การแข่งขันทางการศึกษา รวมทั้งความกดดันเรื่องเพศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติที่ทำให้มีผู้ชายเข้ารับราชการทหารน้อยลง แม้ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกนโยบายหลายอย่างเพื่อกระตุ้นให้คนมีลูก เช่น ปรับนโยบายลาพักของผู้เลี้ยงดูเด็กให้นานขึ้นและรับเงินเดือนเต็มจำนวน ลดดอกเบี้ยจำนองอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนมีลูก แต่ก็ยังไม่เห็นผลและเกาหลีใต้ยังคงมีอัตราการเกิดรั้งท้ายของโลก ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของเกาหลีใต้จึงกลายเป็นวาระแห่งชาติและเป็นประเด็นสำคัญที่นักการเมืองหลายพรรคใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งในเดือน เม.ย.ที่จะถึงนี้ ขณะที่ “จีน” ดำเนินนโยบายลูกคนเดียวมาเป็นเวลานานและได้ผ่อนคลายนโยบายนี้ในช่วงปี 2557-2559 หลังเริ่มเห็นสัญญาณเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงมาก จนกระทั่งปี 2562 อัตราการเกิดในจีนต่ำสุดในรอบ 70 ปีและลดลงต่อเนื่อง รัฐบาลจีนจึงปรับนโยบายให้ประชาชนมีลูกได้ถึง 3 คน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะมีหลายปัจจัยที่ทำให้ชาวจีนบางส่วนไม่อยากมีลูก เช่น ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู ค่าเล่าเรียนมีราคาสูงสวนทางกับรายได้ รวมถึงกังวลเรื่องความปลอดภัยและความไม่เท่าเทียมทางเพศ กระนั้นยังมีชาติที่สามารถเพิ่มอัตราการเกิดได้สำเร็จ คือ “สวีเดน” ที่ออกนโยบาย “สปีดพรีเมียม” สำหรับผู้เลี้ยงดูบุตรที่เคยมีลูกแล้วและมีลูกคนต่อไปภายใน 30 เดือนหลังมีลูกคนแรก สามารถรับค่าตอบแทนในวันหยุดเท่ากันกับวันลาหยุดเลี้ยงดูลูกคนก่อน เพื่อให้พ่อแม่วางแผนมีลูกอายุใกล้กันและใช้เวลาดูแลเด็กได้อย่างต่อเนื่อง นโยบายนี้ทำให้อัตราการเจริญพันธุ์ในปี 2533 เพิ่มขึ้นเป็น 2.14 จากเดิมอยู่ที่ 1.61 ทว่าต่อมา อัตราการเกิดของสวีเดนได้ปรับลดลงในช่วงปี 2543 เนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ จึงออกนโยบายเพิ่มเติมกำหนดให้การลาหยุดงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถจัดสรรเวลาได้ว่าจะหยุดเต็มเวลาหรือครึ่งเวลาจนกว่าลูกจะมีอายุครบ 12 ปี รวมถึงอนุญาตให้ทำงานจากบ้านได้ นโยบายดังกล่าวมีส่วนช่วยให้ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กลดลง ทำให้ปี 2544 มีเด็กเกิดใหม่มากถึง 3-5 คนต่อแม่ 1,000 คน จนอัตราการเกิดเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง และในปี 2565 มีอัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 1.84 นอกจากนี้ยังมีนโยบายเปิดรับผู้อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศ ทำให้ประชากรในสวีเดนเติบโตขึ้นด้วย เช่นเดียวกับ “ออสเตรเลีย” ใช้นโยบายเปิดรับผู้อพยพย้ายถิ่นฐานตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปี 2559 ทำให้ประชากรของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า จาก 7.4 ล้านคนเป็น 24.2 ล้านคน และสัดส่วนของประชากรก็มีความหลากหลายเพราะปรับเปลี่ยนเกณฑ์รับผู้อพยพเป็นแบบไม่เลือกปฏิบัติ เน้นใช้เกณฑ์คัดเลือกทางเศรษฐกิจและให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อส่งเสริมการย้ายถิ่นฐาน โดยในปี 2566 ออสเตรเลียมีประชากรประมาณ 26.4 ล้านคน มีอัตราส่วนของผู้ย้ายถิ่นฐานอยู่ที่ 6.39 คนต่อประชากร 1,000 คน ทั้งนี้ ตัวเลขการย้ายถิ่นฐานสุทธิ (Net Overseas Migration : NOM) จากเอกสารงบประมาณของรัฐบาลกลางออสเตรเลีย ชี้ให้เห็นว่า NOM ส่งผลต่อการเติบโตของประชากรอย่างมีนัย โดยช่วงปี 2561-2562 อยู่ที่ 239,700 คน, ปี 2562-2563 ลดลงเหลือ 154,100 คน, ปี 2563-2565 ซึ่งอยู่ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เป็นตัวเลขติดลบ ก่อนปรับขึ้นมาที่ 95,900 คนในช่วงปี 2565-2566 และคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 201,100 คนในช่วงปี 2566-2567 ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ช่วงปี 2562-2563, 2563-2564 และ 2564-2565 การขยายตัวของประชากรชะลอลงเหลือร้อยละ 1.2, 0.2 และ 0.4 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตของประชากรที่ต่ำที่สุดในรอบร้อยปี อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนประชากรด้วยการเปิดรับผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน เป็นนโยบายที่บางประเทศใช้ได้ผล ดร.กิริฎา มองว่า หากประเทศไทยจะดำเนินนโยบายนี้เพื่อหวังดึงคนเข้ามา ก็ควรส่งเสริมเรื่องเศรษฐกิจด้วย เพราะเมื่อมองภาคแรงงานที่ในอนาคตจะมีคนน้อยลง การเปิดรับคนที่มีความสามารถจากต่างประเทศเข้ามาทำงานจะช่วยได้มาก สำหรับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ของไทย กำหนดให้การมีบุตรเป็น 1 ใน 12 นโยบายสำคัญเร่งด่วน คือ การส่งเสริมการมีบุตร ความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว แบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระเลี้ยงดูบุตร ช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก และแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ผลักดันให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ตั้งเป้าทำให้สำเร็จภายใน 100 วัน รวมถึงมีคลินิกส่งเสริมการมีบุตรจังหวัดละ 1 แห่ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการรักษาภาวะมีบุตรยากได้เร็วขึ้น ในอายุที่น้อยลง ซึ่งปัจจุบันมีคลินิกส่งเสริมการมีบุตรแล้ว 800 แห่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ระบุว่า เป้าหมายคืออัตราการเจริญพันธุ์เพิ่มขึ้นจาก 1.08 มาอยู่ที่ 2.1 ต่อแสนประชากร โดยรักษาอัตราการเจริญพันธุ์ช่วงปี 2566-2570 ให้ไม่ต่ำกว่า 1.0 และขั้นต่อไปจะพยายามเพิ่มอัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมราว 1.5 ในปี 2585 เพื่อรักษาจำนวนประชากรไม่ให้น้อยกว่า 33 ล้านคน ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน นักประชากรศาสตร์ ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน นักประชากรศาสตร์ ขณะที่ ศ.ดร.เกื้อ มองว่า การแก้ปัญหา “เด็กเกิดน้อย” ต้องเริ่มด้วยการทำความเข้าใจกับสภาพสังคมปัจจุบัน ประชากรยุค Post Modern ที่อายุต่ำกว่า 40 ปีจะอยู่ด้วยค่านิยมและความเชื่อ จึงควรนำเสนอวิธีการและขั้นตอนในลักษณะอธิบาย โดยใช้ข้อมูลจากงานวิจัยสร้างแรงจูงใจให้คนกลุ่มนี้เห็นด้วย ดังนั้นนักวางแผนต้องเข้าใจประชากรที่จะเป็นวัยแรงงานในอนาคต เน้นการสร้างเรื่องราวเพื่อให้คนกลุ่มนี้รับรู้ เข้าใจและอยากมีลูก ฉะนั้น การแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อยในเวลานี้ หรือแม้แต่การแก้ปัญหาระยะสั้นเพื่อหวังเพิ่มจำนวนประชากรไทย อาจต้องทำให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป วางแผนนโยบายอย่างรอบคอบและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะการเกิดอาจไม่ใช่เรื่องของคนสองคนอีกต่อไป แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยชวนให้คิดก่อนตัดสินใจที่จะมีลูก หมายเหตุ : บทความนี้เป็นผลงานที่จัดทำโดยผู้เข้าร่วมอบรม (กลุ่ม 3) หลักสูตรโครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง : โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ข่าวที่เกี่ยวข้อง "ปั๊มลูกกู้ชาติ" แก้วิกฤตเด็กเกิดน้อย วัยแรงงานทิ้งช่วงยาว 20 ปี สธ.ห่วงเด็กเกิดน้อย เร่งส่งเสริมมีลูก-ตั้งคลินิกหนุนจังหวัดละ 1 แห่ง Aging Society ไทยเข้าสู่สังคม"แก่เต็มขั้น" สวนทางเด็กเกิดน้อย
วันนี้ (13 มี.ค.2568) เหตุการณ์เริ่มจากการเสียชีวิตของชายรายหนึ่ง ซึ่งในเบื้องต้นถูกแจ้งว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่การสืบสวนพบพิรุธหลายประการ กระทั่งตำรวจแกะรอยจากหลักฐาน จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาหลั
ในอดีตไทยเคยมีเด็กเกิดใหม่จำนวนไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านคน โดยเมื่อ 60 ปีก่อน อัตราการเจริญพันธุ์หรือผู้
- 🎧ส🎠่🤔งเงินบ🦙า🎋💥🔞🅾️ทไ🍓ทย ดาฟาเบ็ต
- รวมโปร ฝาก 1 รับ 50 รวมโปร ฝาก 1 รับ 50
- บาคาร่าออนไลน์สดM98รูเล็ตoppo
- เกม ออนไลน์ มือ ถือ ได้ เงิน จริง
- เล่นบาคาร่าเสีย
- เครื่อง จับ เสียง ไฮโล ทํา เอง 123vip คา สิ โน
นิยายชีวิต โดย : Kastolani Marzuki
เรื่องและภาพโดย : Kastolani Marzuki
[[คลิก]] อ่านเรื่องราว “นิยายชีวิต” ได้ที่นี่..