พื้นที่ ต.คลองโยง อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นพื้นที่เ

วันนี้ (28 ธ.ค.2564) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ว่า ชะตาโ
วันนี้ (25 ส.ค.2564) การประชุมร่วมรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 83 และมาตรา 91 วาระ2 รายมาตรา ได้อภิปรายในมาตรา 3 ซึ่งเป็นการแก้ไขมาตรา 83 เดิมในเรื่องระบบเลือกตั้ง ทั้งสัดส่วน ส.ส.
ความสมมูลมวล-พลังงาน (Mass-Energy Equivalence) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “E = mc ยกกำลังสอง” นั้นเป็นทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานและมวลในระบบที่อยู่นิ่ง (Rest Frame) อธิบายโดยนักวิทยาศาสตร์แห่งยุค อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ความสมมูลมวล-พลังงาน หมายถึงอะไร ? ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานของมวลและพลังงานก่อน มวลและพลังงานในระบบนั้น ๆ เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน เมื่อระบบสูญเสียมวล ระบบจะได้พลังงานขึ้นมา เมื่อระบบได้พลังงาน มันก็จะสูญเสียมวล เป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งกล่าวไว้ว่า “สสารไม่สามารถถูกทำลายหรือสร้างขึ้นมาใหม่ได้แต่สามารถเปลี่ยนรูปได้” ในกรณีนี้ มวลและพลังงานสามารถเปลี่ยนรูประหว่างกันได้ การเปลี่ยนรูปของมวลเป็นพลังงานนั้น ให้พลังงานสูงมาก ตามค่าคงที่ความเร็วแสง (ประมาณ 300,000 กิโลเมตร/วินาที) เราจึงได้ขึ้นมาเป็นสมการ E = mc ยกกำลังสอง ที่หมายความว่า พลังงาน เท่ากับ มวลที่สูญเสียไปในระบบคูณค่าคงที่ของความเร็วแสงยกกำลังสอง หากจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น “E = mc ยกกำลังสอง” หมายความว่า มวลเพียงเล็กน้อยที่สูญเสียไปในระบบจะให้พลังงานกับระบบมหาศาล หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อาจจะสงสัยว่า ทำไมการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินเพื่อผลิตพลังงานถึงได้พลังงานเพียงน้อยนิด เหตุผลเป็นเพราะว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินนั้นแทบไม่เสียมวลเลย ปฏิกิริยาเคมีระหว่างการเผาไหม้ถ่านหินเพื่อให้ความร้อนนั้นแปลงมวลเกือบทั้งหมดของถ่านหินเป็นขี้เถ้า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ และสสารอื่น ๆ ส่วนความร้อนที่ได้นั้นก็มาจากการทำลายโครงสร้างทางเคมีของถ่านหินที่ปล่อยความร้อนออกมา ไม่ได้มาจากการแปลงมวลเป็นพลังงาน หากแต่ในปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันดังเช่นในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น เชื้อเพลิงนิวเคลียร์อย่างยูเรเนียม 235 (U-235) สามารถเกิดความfoxz168sไม่เสถียรจากการดูดซับนิวตรอนได้ โดย U-235 เมื่อดูดซับนิวตรอนจะกลายสภาพเป็น U-236 ที่ไม่เสถียร ซึ่งสุดท้ายก็จะแยกออกเป็นธาตุที่เบากว่า 2 ธาตุ หรือมากกว่า ระหว่างขั้นตอนนี้เองที่ระบบฟิชชันสูญเสียมวลจำนวนหนึ่งไปในรูปของพลังงานจลน์มหาศาล และปล่อยนิวตรอนอิสระออกมาจำนวนหนึ่งในรูปของการแผ่รังสี คำอธิบายที่ดูจะเข้าใจง่ายกว่าก็คือ หากให้ U-236 เป็นธาตุ A แล้ว การฟิชชันธาตุ A จะได้ธาตุ B และธาตุ C ขึ้นมา หากแต่ธาตุ B + C นั้นมีมวลไม่เท่ากับ A เพราะมีมวลส่วนหนึ่งหายไป แล้วเหตุใดระบบฟิชชันจึงสูญเสียมวล ? ทำไม U-236 ไม่สามารถแยกตัวออกเป็นธาตุ 2 ตัว หรือมากกว่า ที่มีมวลเท่ากับตัวมันเองได้ มาถึงตรงนี้ เราจะต้องเข้าใจคำว่า “สถานะพลังงาน (Energy State)” ระบบทุกระบบนั้นจะพยายามเข้าหาสถานะพลังงานที่ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้เสมอเพื่อรักษาเสถียรภาพ อย่าง U-236 สุดท้ายก็จะแยกตัวออกเป็นธาตุที่เบากว่าและเสถียรกว่า ซึ่งถือเป็นสถานะพลังงานที่ต่ำกว่าตอนที่มันยังเป็น U-236 การเปลี่ยนแปลงสถานะพลังงานของอะตอมของนิวเคลียสนี้เองที่เป็นจุดที่ระบบเสียมวล นิวเคลียสของธาตุเกาะกันอยู่ได้ด้วยพลังงานยึดเหนี่ยว (Binding Energy) ที่เรียกว่าอันตรกิริยาอย่างเข้ม (Strong Nuclear Force) แต่ก็ไม่ถึงกับรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยแรงต้านจากแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Force) จากโปรตอน หมายความว่านิวเคลียสนั้นเสถียรได้ด้วยสมดุลระหว่างสองแรงนี้ ยิ่งธาตุมีมวลมากเท่าใด จำนวนโปรตรอนและนิวตรอนยิ่งมากขึ้น สถานะพลังงานก็ยิ่งสูงขึ้น พลังงานที่ใช้ในการยึดเหนี่ยวก็ยิ่งมากขึ้น เหมือนกับการเอาหนังสือมาทับกันหลาย ๆ เล่มในแนวตั้ง ยิ่งจำนวนหนังสือมากขึ้นเท่าใดมวลก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ความเสถียรก็ลดลงไปด้วย แต่หากแบ่งหนังสือออกเป็นสองกอง มวลแต่ละกองลดลง แต่ความเสถียรเพิ่มขึ้นเพราะอยู่ในสถานะพลังงานที่ต่ำกว่า เช่นเดียวกับนิวเคลียสที่เมื่อแบ่งตัวออกเป็นธาตุที่เบากว่าก็จะใช้พลังงานยึดเหนี่ยวต่อธาตุต่อนิวคลีออนที่น้อยลง พลังงานที่เหลือจึงถูกปล่อยออกมาเทียบเท่ามวลที่เสียไปซึ่งเรียกว่า “มวลพร่อง” หรือ Mass Defect นี่เป็นเพียงคำอธิบายที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังคงความถูกต้องโดยส่วนใหญ่อยู่ ทฤษฎีความสมมูลของพลังงานและมวลนั้นทำให้มนุษย์เราสามารถนำปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือ Radioisotope Generator เพื่อให้พลังงานและความร้อนแก่ยานอวกาศ ทำงานโดยการแปลงการแผ่รังสี (การเสียมวลตามธรรมชาติของธาตุที่ไม่เสถียร) เป็นพลังงานนั่นเอง ที่มาภาพ: US Navy --------------------------“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
ร้านกาแฟรายเล็กทั่วประเทศ กำลังประสบปัญหานมพาสเจอร์ไรส์ขาดตลาดมา 2 สัปดาห์ กระทบการหาซื้อวัตถุดิบลำบ
ตามที่ “ทัพนักกีฬาพาราทีมชาติไทย” ที่กำลังเตรียมความพร้อม เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬา พาราลิมป
ความสมมูลมวล-พลังงาน (Mass-Energy Equivalence) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “E = mc ยกกำลังสอง” นั้นเป็
ความสมมูลมวล-พลังงาน (Mass-Energy Equivalence) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “E = mc ยกกำลังสอง” นั้นเป็นทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานและมวลในระบบที่อยู่นิ่ง (Rest Frame) อธิบายโดยนักวิทยาศาสตร์แห่งยุค อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ความสมมูลมวล-พลังงาน หมายถึงอะไร ? ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานของมวลและพลังงานก่อน มวลและพลังงานในระบบนั้น ๆ เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน เมื่อระบบสูญเสียมวล ระบบจะได้พลังงานขึ้นมา เมื่อระบบได้พลังงาน มันก็จะสูญเสียมวล เป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งกล่าวไว้ว่า “สสารไม่สามารถถูกทำลายหรือสร้างขึ้นมาใหม่ได้แต่สามารถเปลี่ยนรูปได้” ในกรณีนี้ มวลและพลังงานสามารถเปลี่ยนรูประหว่างกันได้ การเปลี่ยนรูปของมวลเป็นพลังงานนั้น ให้พลังงานสูงมาก ตามค่าคงที่ความเร็วแสง (ประมาณ 300,000 กิโลเมตร/วินาที) เราจึงได้ขึ้นมาเป็นสมการ E = mc ยกกำลังสอง ที่หมายความว่า พลังงาน เท่ากับ มวลที่สูญเสียไปในระบบคูณค่าคงที่ของความเร็วแสงยกกำลังสอง หากจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น “E = mc ยกกำลังสอง” หมายความว่า มวลเพียงเล็กน้อยที่สูญเสียไปในระบบจะให้พลังงานกับระบบมหาศาล หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อาจจะสงสัยว่า ทำไมการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินเพื่อผลิตพลังงานถึงได้พลังงานเพียงน้อยนิด เหตุผลเป็นเพราะว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินนั้นแทบไม่เสียมวลเลย ปฏิกิริยาเคมีระหว่างการเผาไหม้ถ่านหินเพื่อให้ความร้อนนั้นแปลงมวลเกือบทั้งหมดของถ่านหินเป็นขี้เถ้า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ และสสารอื่น ๆ ส่วนความร้อนที่ได้นั้นก็มาจากการทำลายโครงสร้างทางเคมีของถ่านหินที่ปล่อยความร้อนออกมา ไม่ได้มาจากการแปลงมวลเป็นพลังงาน หากแต่ในปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันดังเช่นในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น เชื้อเพลิงนิวเคลียร์อย่างยูเรเนียม 235 (U-235) สามารถเกิดความfoxz168sไม่เสถียรจากการดูดซับนิวตรอนได้ โดย U-235 เมื่อดูดซับนิวตรอนจะกลายสภาพเป็น U-236 ที่ไม่เสถียร ซึ่งสุดท้ายก็จะแยกออกเป็นธาตุที่เบากว่า 2 ธาตุ หรือมากกว่า ระหว่างขั้นตอนนี้เองที่ระบบฟิชชันสูญเสียมวลจำนวนหนึ่งไปในรูปของพลังงานจลน์มหาศาล และปล่อยนิวตรอนอิสระออกมาจำนวนหนึ่งในรูปของการแผ่รังสี คำอธิบายที่ดูจะเข้าใจง่ายกว่าก็คือ หากให้ U-236 เป็นธาตุ A แล้ว การฟิชชันธาตุ A จะได้ธาตุ B และธาตุ C ขึ้นมา หากแต่ธาตุ B + C นั้นมีมวลไม่เท่ากับ A เพราะมีมวลส่วนหนึ่งหายไป แล้วเหตุใดระบบฟิชชันจึงสูญเสียมวล ? ทำไม U-236 ไม่สามารถแยกตัวออกเป็นธาตุ 2 ตัว หรือมากกว่า ที่มีมวลเท่ากับตัวมันเองได้ มาถึงตรงนี้ เราจะต้องเข้าใจคำว่า “สถานะพลังงาน (Energy State)” ระบบทุกระบบนั้นจะพยายามเข้าหาสถานะพลังงานที่ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้เสมอเพื่อรักษาเสถียรภาพ อย่าง U-236 สุดท้ายก็จะแยกตัวออกเป็นธาตุที่เบากว่าและเสถียรกว่า ซึ่งถือเป็นสถานะพลังงานที่ต่ำกว่าตอนที่มันยังเป็น U-236 การเปลี่ยนแปลงสถานะพลังงานของอะตอมของนิวเคลียสนี้เองที่เป็นจุดที่ระบบเสียมวล นิวเคลียสของธาตุเกาะกันอยู่ได้ด้วยพลังงานยึดเหนี่ยว (Binding Energy) ที่เรียกว่าอันตรกิริยาอย่างเข้ม (Strong Nuclear Force) แต่ก็ไม่ถึงกับรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยแรงต้านจากแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Force) จากโปรตอน หมายความว่านิวเคลียสนั้นเสถียรได้ด้วยสมดุลระหว่างสองแรงนี้ ยิ่งธาตุมีมวลมากเท่าใด จำนวนโปรตรอนและนิวตรอนยิ่งมากขึ้น สถานะพลังงานก็ยิ่งสูงขึ้น พลังงานที่ใช้ในการยึดเหนี่ยวก็ยิ่งมากขึ้น เหมือนกับการเอาหนังสือมาทับกันหลาย ๆ เล่มในแนวตั้ง ยิ่งจำนวนหนังสือมากขึ้นเท่าใดมวลก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ความเสถียรก็ลดลงไปด้วย แต่หากแบ่งหนังสือออกเป็นสองกอง มวลแต่ละกองลดลง แต่ความเสถียรเพิ่มขึ้นเพราะอยู่ในสถานะพลังงานที่ต่ำกว่า เช่นเดียวกับนิวเคลียสที่เมื่อแบ่งตัวออกเป็นธาตุที่เบากว่าก็จะใช้พลังงานยึดเหนี่ยวต่อธาตุต่อนิวคลีออนที่น้อยลง พลังงานที่เหลือจึงถูกปล่อยออกมาเทียบเท่ามวลที่เสียไปซึ่งเรียกว่า “มวลพร่อง” หรือ Mass Defect นี่เป็นเพียงคำอธิบายที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังคงความถูกต้องโดยส่วนใหญ่อยู่ ทฤษฎีความสมมูลของพลังงานและมวลนั้นทำให้มนุษย์เราสามารถนำปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือ Radioisotope Generator เพื่อให้พลังงานและความร้อนแก่ยานอวกาศ ทำงานโดยการแปลงการแผ่รังสี (การเสียมวลตามธรรมชาติของธาตุที่ไม่เสถียร) เป็นพลังงานนั่นเอง ที่มาภาพ: US Navy --------------------------“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
วันนี้ (3 ก.พ.2564) นางสุมนา ขจรวัฒนากุล ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากร