วันนี้ (27 เม.ย.2564) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงข

วันนี้ (30 ม.ค.2568) ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ จับกุม น.ส.อังคณา อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ
วันนี้ (24 พ.ค.2564) กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ รายงานสถานการณ์ COVID-19 จ.สมุทรปราการ (ข้อมูลเวลา 13.00 น.) พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 180 คน และมีผู้เสียชีวิต 2 คน เสียชี
COP29 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) เปิดฉากไปแล้วที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11 – 22 พ.ย. 2567 มีผู้นำกว่า 200 ประเทศรวมทั้งไทยเข้าร่วมหารือ คาดว่า กว่าจะได้ข้อสรุปคงอาจใกล้วันปิดประชุม COP หมายถึงการประชุมพหุภาคีของ UN แต่ที่โด่งดังที่สุด เป็นเรื่องการหารือวิกฤตโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวน โดยมีปณิธานจะร่วมกันลดโลกเดือดร่วมกัน ทั้งประเทศมหาอำนาจ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ไปจนถึงหมู่เกาะเล็ก ๆ ที่เป็นฝ่ายได้รับผลกระทบ กำหนดให้จัดครึ่งปีละครั้ง โดยครั้งแรก (COP1) จัดที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุดคือ COP3 ที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการตกลงรับ "พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal)" ว่าด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกัน โดยประเด็นในการประชุมครั้งที่ 29 นี้ เน้นหนักไปที่ การจัดทำเป้าหมายทาง การเงินใหม่ (the New Collective Quantified Goal) หรือ "NCQG" ว่าด้วยการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาด้านงบประมาณลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หมายให้ประเทศเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการรักษ์โลกมากยิ่งขึ้น คำถามที่ตามมา คือ การต้องทุ่มงบประมาณระดับมหาศาลเพื่อเรียกร้องให้เกิดการตระหนักและเอาใจใส่ มีนัยบ่งชี้ถึงปัญหาของการปฏิบัติตามข้อตกลง COP หรือไม่? รวมไปถึง "ความคุ้มค่า" ที่ต้องจ่ายไปในการทุเลาโลกเดือดนั้นเป็นอย่างไร? ข้อเรียกร้องของ COP แม้จะเข้าใจได้ว่าต้องการสร้างภาคีให้หันมาสนใจประเด็นโลกเดือด และมีการวางหลักการและการบังคับใช้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2030 ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ความต้องการให้ใช้พลังงานทดแทนปิโตรเลียม เช่น พลังงานไฟฟ้าจากน้ำหรือลม หรือการกำหนด "คาร์บอนเครดิต" เก็บสถิติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซอื่น ๆ ที่ทำอันตรายต่อบรรยากาศโลก กระนั้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องของ "ความสมัครใจ" ไม่ได้วางบทลงโทษไว้อย่างเป็นทางการ ดังนั้น แรงขับเคลื่อนและแรงจูงใจของการปฏิบัติตามข้อตก ลงใน COP จึงมีน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย เห็นได้จากสหรัฐอเมริกา ที่สมควรเป็นมหาอำนาจและแบบอย่างในการรักษ์โลก แต่กลับไม่อภิรมย์ต่อประเด็นนี้ในสมัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ อีกอย่างหนึ่ง การลดสภาวะโลกเดือดยังไม่สามารถสร้างตนเองเป็นให้เป็น "บรรทัดฐาน" หรือ "คุณค่า" ในการระหว่างประเทศอย่างราบรื่น ชนิดที่ว่าไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ หรือบทลงโทษ แต่ละประเทศก็ยินยอมพร้อมใจที่จะกระทำตามแต่โดยดี เช่น สนธิสัญญาเจนีวาว่าด้วยการไม่ทำภยันตรายต่อ "บุคลากรและยานพาหนะทางการพยาบาล" ในภาวะสงคราม หรือกล่าวได้ว่า ตอนนี้ COP เป็นเวทีที่สร้าง "เสเว็บ บา คา ร่า ฝาก ขั้น ต่ํา 1 เว็บ บา คา ร่า ฝาก ขั้น ต่ํา 1ือกระดาษ" ที่หลักการและข้อบังคับฟังดูดี แต่ในทางปฏิบัตินั้นยังคงมีคำถาม ว่าเกิดการยอมรับและเต็มใจที่จะทำตามหรือไม่ มากน้อยเพียงใด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การที่ COP เรียกร้องเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก พลังงานทดแทน หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนสารพัด แต่กลับมีปัญหาด้าน "การจัดสรรงบประมาณ" ไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ไม่มีศักยภาพทางการคลังมากพอที่จะทำตามข้อตกลงลดโลกเดือดได้ โดยส่วนมากมักเป็นประเทศแถบแอฟริกาและเอเชีย ที่กำลังพัฒนาประเทศขึ้นมาด้วยการเปิดรับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหนัก หรือเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ย งบประมาณของแต่ละประเทศที่ต้องใช้ในการจัดการกับโลกเดือด อยู่ที่ราว ๆ ร้อยละ 16-18 ของจีดีพี ซึ่งอัตราดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อประเทศมหาอำนาจหรือประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมระดับสูง แต่ในประเทศที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงทางเศรษฐกิจหรือกำลังถูกสปอร์ตไลท์จับ ถือว่ากระทบอย่างมาก เพราะการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง หรือ FDI ในประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ร้อยละ 7-12 ของจีดีพีประเทศ ซึ่งเม็ดเงินตรงนี้ยังต้องกระจายออกไปยังการจัดทำงบประมาณแผ่นดินและการกำหนดนโยบายอื่น ๆ ตามมาอีกมหาศาล หมายความว่า จะเกิด "ส่วนต่างของความคุ้มค่า" ขึ้น เพราะการลดโลกเดือด มีการคาดการณ์ว่า จะต้องใช้งบประมาณมากโขระดับ 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแต่ละปีเพื่อที่จะทำให้โลกไม่เดือดขึ้นไปมากกว่านี้ หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของจีดีพีโลก เฉลี่ยแต่ละประเทศต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้กว่า 336,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแทบจะเทียบเท่าหรือมากกว่าจีดีพีของประเทศเหล่านี้เสียด้วยซ้ำไป รายงานจาก the Independent High-Level Expert Group on Climate Finance ปี 2022 ชี้ว่า กว่า 2 ใน 3 ของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอยู่ในช่วงรายได้ปานกลางและปานกลางค่อนข้างต่ำ ประสบปัญหา "เป็นหนี้จากการลดโลกเดือด" และส่วนใหญ่นั้นจะเป็น "หนี้เสีย" ที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนด ดังนั้น การทุ่มงบประมาณระดับสูงเพียงเพื่อ "ยื้ออุณหภูมิ" ของโลกไว้ รัฐบาลภายในประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ ต้องคิดหนักอย่างมากต่อการใช้จ่ายในประเด็นดังกล่าว ต้องไม่ลืมว่า ประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้จะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นมาในอัตราเร่งที่สูงมาก แต่ "ปริมาณ" ที่ปล่อยนั้นนับว่ายังน้อยกว่าประเทศมหาอำนาจและประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสูงอยู่ไม่น้อย เช่น สหรัฐฯ และจีน ปล่อย CO2 รวมกันในอัตราร้อยละ 36 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียปล่อย CO2 รวมกันเพียงอัตราร้อยละ 11 ซึ่งน้อยเกินกว่า 3 เท่าตัว จะเห็นได้ว่า ปัญหาหลักของ COP นอกเหนือจากเรื่องการยังไม่สามารถตั้งมั่นตนเองเป็นบรรทัดฐานในการระหว่างประเทศ รวมถึงมีปัญหาด้านการเรียกร้องงบประมาณการลดโลกเดือดอย่างเกินกำลังประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง เรื่องนี้ ใช่ว่า COP จะไม่ตระหนักใด ๆ เนื่องจาก COP29 ในปี 2024 นี้ ได้รับสมญานามว่า "COP ทางการเงิน" หมายความว่า การหารือที่เกิดขึ้นในกรุงบากูนี้ จะเน้นหนักไปที่เรื่องของ "การให้ความช่วยเหลือ" ด้านงบประมาณลดโลกเดือดแก่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นสำคัญ จากแต่เดิมที่ประเทศมหาอำนาจช่วยเหลือประเทศดาวรุ่งพุ่งแรงทางเศรษฐกิจในงบประมาณส่วนนี้ ราว ๆ 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น World Economic Forum ได้เสนอให้เห็นข้อได้เปรียบของ COP29 ในด้านการเน้นหนักที่งบประมาณและการเงินไว้ 5 ประการ ดังนี้ แม้จะมีการเปิดเผยความช่วยเหลือทางด้านการเงินอย่างมีหลักการใน COP29 แต่คำถามที่ตามมา คือ การให้เงินสนับสนุนตรงนี้ เป็น "การให้แบบมีเงื่อนไขกำกับ" ที่เพิ่มมากขึ้นจากแบบเก่า ที่รับก็คือนำมาใช้อย่างเต็มสตรีมหรือไม่เต็มสตรีมก็ได้ แต่แบบใหม่คือ หากรับมาแล้วทำไม่เต็มสตรีม จะส่งผลถึงการให้งบประมาณในปีถัดไปได้ ดังนั้น รัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนา หากมีความคิดแบบ "เป็นเหตุเป็นผล" จริง ๆ ย่อมต้องคิดหนักไม่น้อยกับการรักษ์โลกและลดโลกเดือดนี้ ปัญหาด้านการเงินก็ส่วนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าประเทศที่เป็น "นายทุน" ให้แก่สมาชิก COP นั้น หนีไม่พ้นสหรัฐฯ โดยเม็ดเงินสนับสนุน 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็มาจากแนวทางของ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ การก้าวขึ้นสู่อำนาจของทรัมป์ ในสมัยที่ 2 นี้ กลับมีคำถามสำคัญที่ตามมา คือ แม้จะมีหลักการ NCQG ที่บังคับกลาย ๆ ให้มหาอำนาจช่วยเหลือทางการเงินด้านการลดโลกร้อนและแก้ไขสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่การไม่ตระหนักต่อปัญหาดังกล่าวของทรัมป์ รวมถึงการถอนตัว ไม่เข้าสังฆกรรมกับ COP จะส่งผลให้ "เงินถุงเงินถัง" หายไปหรือไม่ และเมื่อจำนวนเงินหายไป แรงขับเคลื่อนและแรงจูงใจในการลดโลกร้อนของประเทศดาวรุ่งพุ่งแรงและกำลังพัฒนาจะยังคงอยู่ หรือสูญสลายและหันกลับไปมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมหนักที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับเทพเจ้ายังอายอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ประเด็นนี้ การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ ทรัมป์ ที่เชิดชูแคมเปญ America First ในอีก 4 ปีข้างหน้าจะเป็นคำตอบ แหล่งอ้างอิง Trump’s shadow looms at climate summit: what COP29 could deliver, Finance for climate action: Scaling up investment for climate and development, World Economic Forum, CGD ข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดฉาก COP 29 "ภูมิอากาศ" เงิน เงิน เงิน กับโลกหนาว ๆ ร้อน ๆ COP29 ผลักดันพลังงานสะอาด สร้างตลาด "ไฮโดรเจน" ไทยวางกรอบเจรจา COP29 ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 43%
วันนี้ (1 มี.ค.2565) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่รัสเซียประกาศขึ้นดอกเบ
COP29 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations
วันนี้ (22 ต.ค.2567) เวลา 15.00 น.บรรยากาศการซ้อมใหญ่เสมือนจริงครั้งที่ 2 ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื
COP29 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) เปิดฉากไปแล้วที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11 – 22 พ.ย. 2567 มีผู้นำกว่า 200 ประเทศรวมทั้งไทยเข้าร่วมหารือ คาดว่า กว่าจะได้ข้อสรุปคงอาจใกล้วันปิดประชุม COP หมายถึงการประชุมพหุภาคีของ UN แต่ที่โด่งดังที่สุด เป็นเรื่องการหารือวิกฤตโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวน โดยมีปณิธานจะร่วมกันลดโลกเดือดร่วมกัน ทั้งประเทศมหาอำนาจ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ไปจนถึงหมู่เกาะเล็ก ๆ ที่เป็นฝ่ายได้รับผลกระทบ กำหนดให้จัดครึ่งปีละครั้ง โดยครั้งแรก (COP1) จัดที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุดคือ COP3 ที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการตกลงรับ "พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal)" ว่าด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกัน โดยประเด็นในการประชุมครั้งที่ 29 นี้ เน้นหนักไปที่ การจัดทำเป้าหมายทาง การเงินใหม่ (the New Collective Quantified Goal) หรือ "NCQG" ว่าด้วยการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาด้านงบประมาณลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หมายให้ประเทศเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการรักษ์โลกมากยิ่งขึ้น คำถามที่ตามมา คือ การต้องทุ่มงบประมาณระดับมหาศาลเพื่อเรียกร้องให้เกิดการตระหนักและเอาใจใส่ มีนัยบ่งชี้ถึงปัญหาของการปฏิบัติตามข้อตกลง COP หรือไม่? รวมไปถึง "ความคุ้มค่า" ที่ต้องจ่ายไปในการทุเลาโลกเดือดนั้นเป็นอย่างไร? ข้อเรียกร้องของ COP แม้จะเข้าใจได้ว่าต้องการสร้างภาคีให้หันมาสนใจประเด็นโลกเดือด และมีการวางหลักการและการบังคับใช้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2030 ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ความต้องการให้ใช้พลังงานทดแทนปิโตรเลียม เช่น พลังงานไฟฟ้าจากน้ำหรือลม หรือการกำหนด "คาร์บอนเครดิต" เก็บสถิติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซอื่น ๆ ที่ทำอันตรายต่อบรรยากาศโลก กระนั้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องของ "ความสมัครใจ" ไม่ได้วางบทลงโทษไว้อย่างเป็นทางการ ดังนั้น แรงขับเคลื่อนและแรงจูงใจของการปฏิบัติตามข้อตก ลงใน COP จึงมีน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย เห็นได้จากสหรัฐอเมริกา ที่สมควรเป็นมหาอำนาจและแบบอย่างในการรักษ์โลก แต่กลับไม่อภิรมย์ต่อประเด็นนี้ในสมัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ อีกอย่างหนึ่ง การลดสภาวะโลกเดือดยังไม่สามารถสร้างตนเองเป็นให้เป็น "บรรทัดฐาน" หรือ "คุณค่า" ในการระหว่างประเทศอย่างราบรื่น ชนิดที่ว่าไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ หรือบทลงโทษ แต่ละประเทศก็ยินยอมพร้อมใจที่จะกระทำตามแต่โดยดี เช่น สนธิสัญญาเจนีวาว่าด้วยการไม่ทำภยันตรายต่อ "บุคลากรและยานพาหนะทางการพยาบาล" ในภาวะสงคราม หรือกล่าวได้ว่า ตอนนี้ COP เป็นเวทีที่สร้าง "เสเว็บ บา คา ร่า ฝาก ขั้น ต่ํา 1 เว็บ บา คา ร่า ฝาก ขั้น ต่ํา 1ือกระดาษ" ที่หลักการและข้อบังคับฟังดูดี แต่ในทางปฏิบัตินั้นยังคงมีคำถาม ว่าเกิดการยอมรับและเต็มใจที่จะทำตามหรือไม่ มากน้อยเพียงใด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การที่ COP เรียกร้องเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก พลังงานทดแทน หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนสารพัด แต่กลับมีปัญหาด้าน "การจัดสรรงบประมาณ" ไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ไม่มีศักยภาพทางการคลังมากพอที่จะทำตามข้อตกลงลดโลกเดือดได้ โดยส่วนมากมักเป็นประเทศแถบแอฟริกาและเอเชีย ที่กำลังพัฒนาประเทศขึ้นมาด้วยการเปิดรับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหนัก หรือเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ย งบประมาณของแต่ละประเทศที่ต้องใช้ในการจัดการกับโลกเดือด อยู่ที่ราว ๆ ร้อยละ 16-18 ของจีดีพี ซึ่งอัตราดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อประเทศมหาอำนาจหรือประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมระดับสูง แต่ในประเทศที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงทางเศรษฐกิจหรือกำลังถูกสปอร์ตไลท์จับ ถือว่ากระทบอย่างมาก เพราะการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง หรือ FDI ในประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ร้อยละ 7-12 ของจีดีพีประเทศ ซึ่งเม็ดเงินตรงนี้ยังต้องกระจายออกไปยังการจัดทำงบประมาณแผ่นดินและการกำหนดนโยบายอื่น ๆ ตามมาอีกมหาศาล หมายความว่า จะเกิด "ส่วนต่างของความคุ้มค่า" ขึ้น เพราะการลดโลกเดือด มีการคาดการณ์ว่า จะต้องใช้งบประมาณมากโขระดับ 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแต่ละปีเพื่อที่จะทำให้โลกไม่เดือดขึ้นไปมากกว่านี้ หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของจีดีพีโลก เฉลี่ยแต่ละประเทศต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้กว่า 336,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแทบจะเทียบเท่าหรือมากกว่าจีดีพีของประเทศเหล่านี้เสียด้วยซ้ำไป รายงานจาก the Independent High-Level Expert Group on Climate Finance ปี 2022 ชี้ว่า กว่า 2 ใน 3 ของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอยู่ในช่วงรายได้ปานกลางและปานกลางค่อนข้างต่ำ ประสบปัญหา "เป็นหนี้จากการลดโลกเดือด" และส่วนใหญ่นั้นจะเป็น "หนี้เสีย" ที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนด ดังนั้น การทุ่มงบประมาณระดับสูงเพียงเพื่อ "ยื้ออุณหภูมิ" ของโลกไว้ รัฐบาลภายในประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ ต้องคิดหนักอย่างมากต่อการใช้จ่ายในประเด็นดังกล่าว ต้องไม่ลืมว่า ประเทศกำลังพัฒนา ถึงแม้จะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นมาในอัตราเร่งที่สูงมาก แต่ "ปริมาณ" ที่ปล่อยนั้นนับว่ายังน้อยกว่าประเทศมหาอำนาจและประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสูงอยู่ไม่น้อย เช่น สหรัฐฯ และจีน ปล่อย CO2 รวมกันในอัตราร้อยละ 36 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียปล่อย CO2 รวมกันเพียงอัตราร้อยละ 11 ซึ่งน้อยเกินกว่า 3 เท่าตัว จะเห็นได้ว่า ปัญหาหลักของ COP นอกเหนือจากเรื่องการยังไม่สามารถตั้งมั่นตนเองเป็นบรรทัดฐานในการระหว่างประเทศ รวมถึงมีปัญหาด้านการเรียกร้องงบประมาณการลดโลกเดือดอย่างเกินกำลังประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง เรื่องนี้ ใช่ว่า COP จะไม่ตระหนักใด ๆ เนื่องจาก COP29 ในปี 2024 นี้ ได้รับสมญานามว่า "COP ทางการเงิน" หมายความว่า การหารือที่เกิดขึ้นในกรุงบากูนี้ จะเน้นหนักไปที่เรื่องของ "การให้ความช่วยเหลือ" ด้านงบประมาณลดโลกเดือดแก่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นสำคัญ จากแต่เดิมที่ประเทศมหาอำนาจช่วยเหลือประเทศดาวรุ่งพุ่งแรงทางเศรษฐกิจในงบประมาณส่วนนี้ ราว ๆ 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น World Economic Forum ได้เสนอให้เห็นข้อได้เปรียบของ COP29 ในด้านการเน้นหนักที่งบประมาณและการเงินไว้ 5 ประการ ดังนี้ แม้จะมีการเปิดเผยความช่วยเหลือทางด้านการเงินอย่างมีหลักการใน COP29 แต่คำถามที่ตามมา คือ การให้เงินสนับสนุนตรงนี้ เป็น "การให้แบบมีเงื่อนไขกำกับ" ที่เพิ่มมากขึ้นจากแบบเก่า ที่รับก็คือนำมาใช้อย่างเต็มสตรีมหรือไม่เต็มสตรีมก็ได้ แต่แบบใหม่คือ หากรับมาแล้วทำไม่เต็มสตรีม จะส่งผลถึงการให้งบประมาณในปีถัดไปได้ ดังนั้น รัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนา หากมีความคิดแบบ "เป็นเหตุเป็นผล" จริง ๆ ย่อมต้องคิดหนักไม่น้อยกับการรักษ์โลกและลดโลกเดือดนี้ ปัญหาด้านการเงินก็ส่วนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าประเทศที่เป็น "นายทุน" ให้แก่สมาชิก COP นั้น หนีไม่พ้นสหรัฐฯ โดยเม็ดเงินสนับสนุน 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็มาจากแนวทางของ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ การก้าวขึ้นสู่อำนาจของทรัมป์ ในสมัยที่ 2 นี้ กลับมีคำถามสำคัญที่ตามมา คือ แม้จะมีหลักการ NCQG ที่บังคับกลาย ๆ ให้มหาอำนาจช่วยเหลือทางการเงินด้านการลดโลกร้อนและแก้ไขสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่การไม่ตระหนักต่อปัญหาดังกล่าวของทรัมป์ รวมถึงการถอนตัว ไม่เข้าสังฆกรรมกับ COP จะส่งผลให้ "เงินถุงเงินถัง" หายไปหรือไม่ และเมื่อจำนวนเงินหายไป แรงขับเคลื่อนและแรงจูงใจในการลดโลกร้อนของประเทศดาวรุ่งพุ่งแรงและกำลังพัฒนาจะยังคงอยู่ หรือสูญสลายและหันกลับไปมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมหนักที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับเทพเจ้ายังอายอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ประเด็นนี้ การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ ทรัมป์ ที่เชิดชูแคมเปญ America First ในอีก 4 ปีข้างหน้าจะเป็นคำตอบ แหล่งอ้างอิง Trump’s shadow looms at climate summit: what COP29 could deliver, Finance for climate action: Scaling up investment for climate and development, World Economic Forum, CGD ข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดฉาก COP 29 "ภูมิอากาศ" เงิน เงิน เงิน กับโลกหนาว ๆ ร้อน ๆ COP29 ผลักดันพลังงานสะอาด สร้างตลาด "ไฮโดรเจน" ไทยวางกรอบเจรจา COP29 ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 43%
กรณีนายอั้น วัย 51 ปี ก่อเหตุฆาตกรรมพ่อแม่ของตัวเอง และน้องชายที่เข้าไปพบศพพ่อและแม่ รวมเป็น 3 ศพ ล่