แม้จะมีการตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2570 ไทยต้องการจะไต่ระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) จาก 35 คะแนน เ

หุ้นตก ดอกเบี้ยต่ำขาดสภาพคล่องทางการเงิน เป็นอีกหนึ่งคำถามว่า เหตุใด "เศรษฐกิจไทยโตช้า – โตต่ำ" ส่งผลให้ภาคเอกชน ประชาชน เป็นห่วงว่า สภาพเศรษฐกิจไทย ยังไม่มีการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น หากเทียบกับหลายปร

หุ้นตก ดอกเบี้ยต่ำขาดสภาพคล่องทางการเงิน เป็นอีกหนึ่งคำถามว่า เหตุใด "เศรษฐกิจไทยโตช้า – โตต่ำ" ส่งผลให้ภาคเอกชน ประชาชน เป็นห่วงว่า สภาพเศรษฐกิจไทย ยังไม่มีการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น หากเทียบกับหลายประเทศ ทั้งที่ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งทรัพยากร และมีศักยภาพในการเป็นผู้นำ หรือปรับแก้นโยบายเพื่อตอบสนองภาคธุรกิจ แต่หากมองเหตุผลเชิงลึก อาจจะเป็นเพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยสมดุลใช่หรือไม่ "รายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น" พูดคุยกับ "ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ" ประธานหทำให้เห็นสูตรสมการเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) เป็นการมองภาพรวมอย่างเป็นระบบ เพื่อศึกษาวิเคราะห์จากตัวเลขในการกำหนดนโยบายวางแผนเศรษฐกิจ หลังศึกษาเรื่องนี้มาโดยตลอด เพื่อทางออกอนาคตประเทศชาติและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของไทย เมื่อได้เข้ารับตำแหน่งหมาดๆ "หนี้ประชาชน สำคัญกว่าหนี้สาธารณะ เพราะประชาชนเป็นคนจ่ายภาษีให้รัฐ ถ้าประชาชนหนี้แย่ รัฐเองก็ไปไม่ได้" กว่า 30 ปี ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ภาคสนาม ทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ - บริษัทเอกชน "ดร.ศุภวุฒิ" ได้เห็นข้อมูลตัวเลขจริงเพื่อนำมาวิเคราะห์สูตรสมาการเศรษฐกิจมหภาค มองว่าเศรษฐกิจไทยโตช้าตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด -19 และพลิกฟื้นช้ากว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะนโยบายกระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มค่อนข้างสูง ทั้งที่หนี้ครัวเรือนก็สำคัญ ..เมื่อถามว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่เป็นอันตรายจะต้องเท่าไหร่… ดร.ศุภวุฒิ อธิบายเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะโซนยุโรปที่มีกฎเหล็กว่าหนี้สาธารณะต้อง 60% ต่อ GDP แต่จริง ๆ หนี้สาธารณะตอนนี้อยู่ที่ 88.6% ขณะที่ประเท‰ˆศญี่ปุ่น หนี้สาธารณะ 266% - หนี้ครัวเรือน 65% ต่อ GDP , สิงคโปร์ หนี้สาธารณะ 168% - หนี้ครัวเรือน 46% ต่อ GDP , กรีส หนี้ครัวเรือน 161% - หนี้ครัวเรือน 42% ต่อ GDP , อิตาลี หนี้สาธารณะ 137% - หนี้ครัวเรือน 39% ต่อ GDP จากตัวเลขประเทศเหล่านี้ทำให้เห็นว่า “แม้หนี้สาธารณะจะสูง แต่หนี้ครัวเรือนต่ำ” ชาวบ้านจะไม่มีปัญหาปากท้อง ดังนั้นต้องมองควบคู่กันไป ต้องลำดับความสำคัญจะช่วยใครก่อน "ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าหนี้สาธารณะจุดทีdooball66่อันตรายจะต้องมีตัวเลขเท่าไหร่ แต่ให้คิดไว้เสมอว่า ‘หนี้ประชาชนดีไม่ดี สำคัญกว่าหนี้สาธารณะ เพราะว่าประชาชนเป็นคนจ่ายภาษีให้รัฐ ถ้าประชาชนหนี้แย่ รัฐเองก็ไปไม่ได้" เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น เช่น "สวิตเซอร์แลนด์" ประเทศที่มั่นคงสุด ๆ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 126% ต่อ GDP แต่คนในประเทศกลับไม่มีใครว่า เนื่องด้วยเป็นประเทศที่ไม่เคยโดนสงคราม ฉะนั้นสินทรัพย์จึงยังอยู่ เป็นประเทศที่ร่ำรวย ฉะนั้นหนี้ครัวเรือนจึงไม่มีปัญหา สอดคล้องกับหนี้สาธารณะก็ต่ำมาก สะท้อนได้ว่า "ประชาชนแข็งแรงมาก เพราะไม่ต้องพึ่งรัฐ" ดร.ศุภวุฒิ พูดถึงหนังสือ "This Time is Different" ของนักเศรษฐศาสตร์สองå­¦åคน "Carmen M. Reinhart และ Kenneth S. Rogoff" เขียนบอกเล่าเรื่องราววิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 เป็นการวิเคราะห์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นว่า ไม่เกี่ยวกับหนี้สาธารณะ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจไม่โตจึงทำให้หนี้สาธารณะ ฉะนั้นทางแก้ปัญหาคือการทำให้ GDP โต เช่นเดียวกับกรณีประเทศไทย ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องไปอุ้มหนี้กองทุนฟื้นฟู แบงก์ชาติทำให้ระบบสถาบันการเงินล่ม หนี้สาธารณะจึงพุ่งขึ้นไปเกือบ 60% GDP สอดคล้องกับปัจจุบันประเทศไทยหนี้ครัวเรือนสูงถึง 91.8% ต่อ GDP อยู่ในอันดับ 6 ของโลก ฉะนั้นทางออกเวลาแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ ส่วนใหญ่เกือบ 100% จะดัน GDP ให้โต ดังนั้น โจทย์ของประเทศไทยจะต้องด¬ç§ูในแต่ละบริบทว่าจะไปทางหนี้สาธารณะมากน้อยหรือไม่หลักการง่ายๆ คือทำอย่างไรให้ GDP โตเร็วกว่าหนี้สาธารณะแค่นั้นเอง แต่ก็เป็นโจทย์ยาก จึงทำให้เศรษฐกิจของไทยวนกลับมาที่จุดเดิม "ในช่วงที่ผ่านมาก่อนสถานการณ์โควิด GDP ที่โตบวกเงินเฟ้อ ไม่ถึง 5% ปกติหากเป็นแบบนี้ รัฐบาลจะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้สัก 6-7% เท่านั้น ดังนั้นถ้ารัฐบาลใช้จ่ายเกิน 6-7% รัฐบาลจะขาดดุลมากขึ้น หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น" ดร. ศุภวุฒิ วิเคราะห์ว่าหากในตอนนี้รัฐบาลไม่สามารถพลิกฟื้นได้สำเร็จ เศรษฐกิจจะกลับไปเหมือนสมัยยุคก่อนโควิด โตแบบไม่สมดุล เพราะไปโตภาคการค้า การท่องเที่ยว แล้วเงินเหลือแต่ไม่สามารถจัดเก็บเอาไว้ในประเทศได้ อธิบายได้จากเศรษฐกิจย้อนหลังไปปี 2548 – 2554 การเปลี่ยนแปลงของการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจ แม้จะมีการส่งออกสินค้าดีมาก เฉลี่ยต่อปี 12.47% แต่ดุลบริการติดลบตลอด เนื่องด้วยท่องเที่ยวยังไม่มาก ดุลบัญชีเงินสะพัดเกินนิดหน่อย เพราะต้องการคืนหนี้ IMF การลงทุนเฉลี่ยประมาณ 25.6% ทำให้มีเงินทุนไหลเข้าประมาณ 7,000 ล้านเหรียญ/ปี ที่น่าสนใจเป็นในปี 2555 – 2559 มีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย คือ ปี 2555 เป็นครั้งแรกที่ ดุลบริการเกินดุล การท่องเที่ยวเริ่มมา พลิกจากลบ 8,000 - 9000 ล้านเหรียญ มาเป็นบวก แต่ส่งออกสินค้าไม่โต แต่โตขึ้นในปี 2559 ประมาณ 10.5 % GDP อันนี้จริง ๆ เป็นข้อไม่ค่อยดีจากการเกินดุลบัญชีสะพัด สมมุติ เราขายของไป 100 บาท แต่เราซื้อของกลับมาแค่ 90 บาท เรามีกำลังซื้อเหลือตั้ง 10 บาท กำลังซื้อ 10 ไม่ว่ากัน แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ การไหลออกของเงินทุน เนื่องจากมีเงินเหลือเยอะ แล้วไม่ใช้ในประเทศ สังเกตได้ว่าเงินออกเยอะ เพราะว่า 8,000 ล้านเหรียญทุกปี ปีต่อปีไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเพื่อไม่ให้เงินทุนไหลออก เฉลี่ยเงินไหลออกกว่า 12,500 ล้านเหรียญ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเฉลี่ยปีละ 7.4% ของ GDP หากดูประวัติเศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปี ก่อนสถานการณ์โควิด จะเห็นว่าประเทศไทยเสียโอกาสไปเยอะ คำนวณคร่าว ๆ เงินทุนที่ไหลออกในระยะเวลา 9 ปี (ปี 2556 – 2564) ทั้งหมด 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.7 ล้านล้านบาท ดร.ศุภวุฒิ สะท้อนสิ่งที่เล่าให้ฟังทั้งหมดเพราะไม่อยากให้ ประเทศนี้กลับไปฟื้นตัวแล้วเหมือนเดิม หรือที่เรียกว่า "โตแบบไม่สมดุล" …ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? อาจเพราะเศรษฐกิจในประเทศตึงเกินไป เพราะในช่วงเดียวกันประเทศไทยเงินเฟ้อต่ำกว่าเกณฑ์ที่แบงก์ชาติตั้งให้ตลอด สอดคล้องกับทฤษฎีนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล "แฮร์รี่ จอห์นสัน" ที่เขียนหลักการไว้ว่า "ตอนที่ประเทศไหน มีนโยบายการเงินตึงเกินไป ประเทศนั้นจะเกินดุล ดุลที่ว่าคือดุลชำระเงิน เพราะว่าคนจะไม่อยากซื้อของ แต่อยากจะถือเงินแทน ก็เลยทำให้เกิดมีการดุลชำระเงินเกินไปตลอด" ซึ่งดูแล้วประเทศไทยเป็นในลักษณะนั้นจริง แสดงให้เห็นว่าในประเทศไม่มีการลงทุน หรือมีสินค้าอะไรที่น่าสนใจ หรือน่าซื้อ ทำให้คนเลือกที่จะเก็บเงินไว้ และบางส่วนก็นำไปลงทุน หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ต่างประเทศแทน ในช่วงดังกล่าว หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นด้วย มันแสดงให้เห็นว่า เงินส่วนเกิน มันเกินอยู่ในคนรวยเท่านั้น แทนที่รัฐบาลจะไปกระตุ้นการจัดเก็บภาษีคนรวยแล้วดึงเอาเงินนั้นออกมา แต่ถ้าคนรวยมีการลงทุนด้านธุรกิจก็จะไม่ต้องถูกเก็บภาษีเพิ่ม แต่กลับไม่มีนโยบายดังกล่าว จึงทำให้เกิดสัญญาณความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน เพราะประเทศเกินดุลบัญชีเงินสะพัด ประเทศมีเงินทุนไหลออก แต่ข้างในหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น "ถ้าคนที่ไม่ไปดูตัวเลข แล้วก็ค่อย ๆ ไปแกะ ก็จะเถียงกันเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้นต้องดูภาพรวมเพื่อแก้ตรงนโยบายเป็นหลัก เราพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เราพูดถึงความสมดุลเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้ไปเน้นแต่เรื่องการส่งออก ตอนนี้เราก็สังเกตว่าแต่ละคนจะบอกว่าอยากกลับไปเหมือนเดิม อยากให้ท่องเที่ยวกลับมาเท่าเดิม อยากให้ส่งออกโต ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นเศรษฐกิจก็จะกลับไปโตแบบไม่สมดุลเหมือนเดิม" หากต้องการที่จะผลักดันทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน จะต้องทำอย่างไรบ้าง... ดร.ศุภวุฒิ ยอมรับว่า ปัญหาใหญ่เป็นเรื่องของโครงสร้าง โดยเฉพาะภาคการเกษตร ที่มีผลผลิตต่ำมาก 12% ของจีดีพี แต่ใช้แรงงานตั้ง 30% และใช้พื้นที่ประมาณเกือบ 50% ขณะที่ ภาคอุตสาหกรรมเป็นอีกขาหนึ่ง มีสัดส่วน 30% ของจีดีพี แต่ใช้แรงงานไม่ถึง เนื่องด้วยมีประสิทธิภาพสูงกว่า ดังนั้นการจะเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเกษตร คิดง่ายๆ ยังไงก็ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในช่วยเพิ่มผลผลิตเพื่อแข่งกับตลาดโลก อีกปัญหาคือ ลักษณะประชากรศาสตร์ (Demographic) โดยเฉพาะการสร้างความสุขของผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มประชากรที่จะเพิ่มมากที่สุดในช่วง 20-30 ปีข้างหน้า ตามหลักเศรษฐศาสตร์แก่แล้วต้องไม่เป็นภาระ จากตัวเลขที่ได้วิเคราะห์คร่าวๆ คือ หากแบ่งกลุ่มคนอายุ 20 - 64 ปี และ 65 - 74 ปี ถ้าเอาตัวเลข 65 - 74 +20 – 64 ปี จะเห็นได้ว่าประเทศไทยไม่ได้ดูแย่เลย จะมีคน 2.87 คน ที่อุ้มคนแก่ 1 คน แล้วสัดส่วนก็เพิ่มขึ้น จากปี 2000 เป็นต้นไป แต่กรณีนี้มองว่า หากต้องทำงานถึงอายุ 74 ปี ตัวเลขของคนที่อุ้มคนแก่จะเปลี่ยนไปเป็น 1.84 คน ดังนั้นนโยบายสำคัญสุดของประเทศนี้ ทำอย่างไรให้คนอายุ 65 - 74 ยังทำงานได้ สำคัญมากเลยคือเรื่องสุขภาพ โอกาสงาน และทักษะใหม่ "จะทำให้เราเห็นว่านโยบายจะต้องให้ความสำคัญจุดไหน ,หากอายุเยอะแล้วยังทำงานได้ ก็จะยิ่งเป็นผลดี ซึ่งก็ขึ้นอยู่ที่สุขภาพ อยู่ที่นโยบายเรื่องสวัสดิการ ทางด้านสาธารณะสุขด้วå­¦åย ฉะนั้นนโยบายที่ไปดูแลเรื่องสาธารณะสุขให้เข้าถึง ให้สุขภาพดีต่อเนื่อง จะเปลี่ยนภาพเศรษฐกิจไทย" "ดร.ศุภวุฒิ" ยังมองต่างมุมเรื่องของประชากรจากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) ที่อยู่ในประเทศไทย บางครอบครัวมีลูกหลายคนและเรียนอยู่ในประเทศไทย ซึ่งหากรัฐบาลมีการวางนโยบาย ปรับคุณภาพการศึกษาให้เป็นไปในระดับที่ดีขึ้น วางระบบที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต เชื่อว่าการปลูกฝังเด็กเหล่านี้ จะทำให้เป็นแรงงาน และทรัพยากรที่มีคุณภาพของไทยได้ไม่ยาก ลดปัญหาการเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เพราะในอนาคตเด็กในประเทศไทยจะลดลง เนื่องด้วยปัจจุบันผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่อยากมีลูกแม้ว่ารัฐบาลจะมีการกระตุ้นในหลาย ๆ ด้านก็ตาม พบกับรายการ "คุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น" เวลา21.30-22.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ทุกวันพฤหัสบดี อ่านข่าว : "ดอนเมืองโทล์ลเวย์" ขึ้นค่าผ่านทาง 5-10 บาท เริ่ม 22 ธ.ค.นี้ "ภูมิธรรม" ป้อง "วีเอท " หากพบพิรุธประมูลข้าว จ่อยกเลิกทันที

วันนี้ (29 ก.ค.2566) กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศช่วงวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 28 ก.ค. – 2 ส.ค. พ.ศ. 2566 โดยในช่วงวันที่ 29 ก.ค. – 2 ส.ค. 66 ร่องมรสุมกำลังปานกลางจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนบนของปร