Home
|
🙌❤️🐢🚀บอ🌼ล🧚‍♀️ 1x2

บอล 1x2วันนี้ (12 ม.ค.2567) &#;เวลา 11.50 น.ภายหลังคå­¦åณะกรรมาธ

🙌❤️🐢🚀บอ🌼ล🧚‍♀️ 1x2

3 มกราคม 2567 หญิงสาวอายุ 32 ปี คนหนึ่ง ยอมเปิดเผยเรื่องราวของตัวเธอเองต่อ “สายไหมต้องรอด” และออกมาแถลงข่าวยอมรับว่า เธอเคยเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง มาตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2566 จากอดีตคนรักที่เคยคบหากัน แต่เก็บเป็นความลับมาตลอด เหตุผลที่เธอตัดสินใจออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ ก็เพราะมีข่าวว่า ผู้ชายคนเดียวกันนี้ ไปทำร้ายผู้หญิงอีกคนหนึ่งจนถึงขั้น “เสียชีวิต” “ถูกทำร้ายร่างกายตลอด 7-8 เดือนที่คบกัน ถูกทุบตี บีบคอ ใช้โซ่ล่ามขาให้อยู่ในสายตาตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้หนีไปไหนแม้แต่เวลาเข้าห้องน้ำ จนกระทั่งหนีออกมาได้ครั้งแรก จึงไปแจ้งความกับตำรวจ แต่คดีก็€ƒไม่คืบหน้า ... จนเธอถูกชายคนนี้ตามหาจนเจอและถูกทำร้ายอีก ต้องหนีอีกหลายครั้ง จนในที่สุดต้องไปขออาศัยอยู่กับเพื่อน เพื่อไม่ให้ถูกตามตัวจนเจออีก” หญิงวัย 32 ปี กล่าว ถัดมาอีก 1 วัน หญิงสาววัย 39 ปี เป็นอีกหนึ่งคนที่ออกมาเปิดเผยว่า เคยถูกชายคนเดียว กันทำร้ายร่างกายระหว่างคบหากันตั้งแต่ต้นปี 2565 หรือ ประมาณ 1 ปีก่อนที่จะเกิดเรื่องกับผู้หญิงอีกคน “เขามีพฤติการณ์หึงหวงจนใช้ความรุนแรง ใช้เชือกมัด กักขังเราให้อยู่ในบ้าน จนต้องพยายามปีนกำแพงหลบหนี แต่เขาก็ยังไปทำร้ายแม่และน้องของเรา จนทั้ง 2 คนไปแจ้งความ แต่คดีไม่คืบหน้าเช่นกัน หลังจากที่ต้องทนเป็นเวลานานถึง 8 เดือน เราจึงจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเองด้วยการหนีไปอยู่กับแฟนเก่า จึงไม่ถูกติดตามไปทำร้ายอีก” หญิงวัย 39 ปี เล่าเหตุการณ์ ที่เกือบจะถอดแบบกันมากับอีกเหตุการณ์หนึ่ง จนกระทั่งมีผู้หญิงเคราะห์ร้ายคนที่ 3 ซึ่งถูกทำร้ายจน “เสียชีวิต” จึงทำให้เรื่องกลายเป็นคดีความ เป็นข่าวดัง ... ผู้หญิงอีก 2 คน ที่เคยถูกทำร้าย จึงแสดงตัวออกมา นี่จึงเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่า ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงอีกมากที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปแบบที่เรียกกันว่า “ความรุนแรงในครอบครัว” (Domestic Violence) นี่เป็นเพียงเรื่องราวเศษเสี้ยวหนึ่งของปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เพราะแท้จริงแล้ว ปัญหาชนิดนี้มีมิติความอ่อนไหวทับซ้อนอยู่อีกหลายชั้น โดยเฉพาะในบริบทของสังคมไทย ที่มีคำว่า “ครอบครัวอบอุ่น” เป็นค่านิยมหลักที่ถูกปลูกฝังมานาน จนทำให้ “กระบวนการยุติธรรม” ดูเหมือนจะเป็นกลไกที่ยังไม่ตอบโจทย์นัก เมื่อถูกนำมาใช้กับปัญหานี้ ที่บอกว่า “กระบวนการยุติธรรม” ยังไม่ตอบโจทย์กับปัญหา “ความรุนแรงในครอบครัว” มีหลักฐานที่ยืนยันได้ คือ ตัวเลข จากเอกสาร “รายงานข้อมูลสถานการณ์ ด้านความรุนแรงในครอบครัวฯ ประจำปี 2564” ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีรายงานชุดตัวเลขที่น่าสนใจอยู่หลายชุดด้วยกัน ส่วนที่ 1 ตัวเลขจากฝั่ง สาธารณสุขและพัฒนาสังคม กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่พบความรุนแรงต่อเด็กและสตรีมาจากหลายหน่วยงาน ในปี 2564 ซึ่งมีทั้งหน่วยงานที่เก็บข้อมูลตามปีปฏิทิน (1 ม.ค. - 31 ธ.ค.64) และหน่วยงานที่เก็บข้อมูลตามปีงบประมาณ (1 ต.ค.63 - 30 ก.ย.64) และมีข้อมูลจากหลายหน่วยที่สะท้อนปัญหาไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในหน่วยงานที่มีลักษณะเป็น โรงพยาบาล หรือ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ศูนย์พึ่งได้ (OSCC) กระทรวงสาธารณสุข สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถ้าจะสรุปคร่าวๆจากข้อมูลที่เก็บมาจากหลายหน่วยงานด้านสาธารณสุขและการพัฒนาสังคม ในปี 2564 จะเห็นว่า มีผู้หญิง และเด็กจำนวนมากกำลังเผชิญกับการถูกกระทำรุนแรง โดยข้อมูลจากทุกหน่วยงานชี้ให้เห็นไปในทางเดียวกันด้วยว่า ความรุนแรงส่วนใหญ่ คือ ความรุนแรงในครอบครัว เกิดขึ้นจากคนใกล้ชิดของผู้ถูกกระทำรุนแรง และมักเกิดขึ้นในบ้านของตนเอง ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจ ... เมื่อนำตัวแปรเดียวกัน คือ ผู้หญิงและเด็กที่ถูกกระทำรุนแรง ไปเปรียบเทียบกับสถิติการเข้าสู่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ยิ่งออกเดินทาง สมาชิกร่วมทางก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ....คือ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน จากตัวเลขของ “จำนวนผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว” ที่เข้าสู่ระบบบริการของสาธารณสุขและพัฒนาสังคม มีจำนวนมากกว่า “ผู้ถูกกระทำที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”และต่างกันมาก ลดจำนวนลงหรือหายไประหว่างทางมากมายอย่างเหลือเชื่อ ยังไม่ต้องหาคำตอบว่า เหตุใด ตัวเลขของคดีในชั้นตำรวจจึงมีจำนวนน้อยกว่าตัวเลขในชั้นอัยการ ซึ่งอาจเกิดจากวิธีการในการเก็บข้อมูลที่ต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้ อาจอธิบายเป็นเหตุเป็นผลที่สอดคล้องกับคดีความรุนแรง ดังกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างชายคนหนึ่งกับผู้หญิงอีก 3 คน โดยมีสิ่งตรงกัน คือ ผู้หญิงที่ถูกทำร้าย 2 คนแรก ไม่ได้รับการตอบสนองจากกระบวนการยุติธรรม จนพวกเธอต้องถูกทำร้ายซ้ำ และไม่กลับไปเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากกระบวนการยุติธรรมอีก แม้กระบวนการยุติธรรมเพิ่งจะเข้ามามีบทบาทจริง ก็เมื่อมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งสายเกินไป ในกลุ่มคนที่ทำงานเรื่องปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีประโยคที่มักพูดกันเพื่อให้เห็นถึง “ลักษณะเฉพาะตัวของปัญหานี้” ได้เป็นอย่างดี ประโยคนั้นกล่าวไว้ว่า ... “ถูกทำร้ายมาจากที่อื่น ก็หนีเข้าบ้านได้ แต่เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว หนีกลับเข้าบ้านไม่ได้ เพราะคนที่ทำร้ายเขารออยู่ในบ้าน”€ หากเป็นเช่นนี้ คนในกระบวนการยุติธรรม ที่ติดตามปัญหานี้มาอย่างยาวนาน มีมุมมองในเชิงลึกต่อเรื่องนี้อย่างไร สันทนี ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด มองว่า เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก เวลาดูหรือฟังข่าว มีผู้หญิงถูกทำร้ายมายาวนาน แล้วเราเป็นคนวิจารณ์ว่าทำไมไม่เข้าไปช่วย ทำไมไม่ทำแบบนี้ มันก็อาจจะฟังดูง่าย แต่ถ้าเราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง ถามว่าจะเข้าไปช่วยเขาหรือไม่ จะมีคำถามว่า สถานการณ์นั้นเราต้องทำอย่างไร ที่จะช่วยเขาได้และตัวเร‰ˆาปลอดภัยด้วย ที่สำคัญทัศนคติที่ถูกปลูกฝังกันมาว่า “เรื่องของผัว-เมีย คนอื่นอย่าไปยุ่ง ...หรือ ถ้าไปยุ่งนะ เดี๋ยวเขากลับมาคืนดีกัน เราก็จะถูกด่า” สันทนี อธิบาย “จุดอ่อน”ที่ทำให้ความรุนแรงในครอบครัว ยังเป็นปัญหาที่หลบซ่อนอยู่ในบริบทของสังคมไทย โดยเฉพาะค่านิยมการให้ค่ากับ คำว่า ครอบครัวอบอุ่‰ˆน ซึ่งทำให้ความรุนแรงที่มีอยู่ในครอบครัว ไม่ถูกเปิดเผยออกมาจากผู้ถูกกระทำ เพราะในสังคมที่มีมายาคติที่เชื่อกันมาอย่างยาวนานว่า ผู้หญิงที่มีสถานะดีแต่งงานไปแล้วต้องมีครอบครัวที่อบอุ่น กลายเป็นค่านิยมต้นแบบ และกลายเป็นดาบสองคม ทำให้ผู้ที่มีครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ไม่กล้าเปิดเผยว่า ตนเองถูกทำ ร้าย เพราะกลัวจะถูกสังคมด้อยค่า วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขทำให้ผู้ถูกกระทำรุนแรงบางส่วน เลือกที่จะจบเรื่องไว้เงียบๆ ด้วยการออกเดินทางไปถึงเพียงขั้นตอนของการเข้ารับการรักษาหรือเยียวยา หรือไม่ไปต่อ ถ้าจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม “ถ้ามองแค่คำว่า กระบวนการยุติธรรม ต้องยอมรับว่า อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้ถูกกระทำ มันมากกว่าความหวาดกลัวนะ เพราะมันมีทั้งความอับอายและความหวาดกลัวผสมกัน” อัยการสันทนี เล่าประสบการณ์ และอธิบายว่า หากเลือกนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ญาติหรือเพื่อนบ้านก็จะรับรู้ว่าครอบครัวนี้มีปัญหา และผู้หญิงที่ถูกทำร้ายส่วนหนึ่ง อาจไม่ได้ต้องการให้สามีถูกจับหรือถูบอล 1x2กดำเนินคดี เขาแค่ต้อง การให้หยุดทำร้าย และไม่ต้องมายุ่งกันอีก สันทนี ฉายภาพให้เห็นว่า ส่วนที่หวาดกลัวก็ต้องคิดว่า กระบวนการยุติธรรมจะปกป้องได้หรือไม่ เมื่อแจ้งความแล้วกลับมาถึงบ้าน ขณะที่สามีได้รับการประกันตัว ทั้งสองคนกลับมาพบกันที่บ้านจะเกิดอะไรขึ้น หรือกรณีไปแจ้งความแล้วถูกไกล่เกลี่ยให้กลับไปคุยกันเองในครอบครัวจะเกิดตามมา กระบวนการยุติธรรมของเรายังไม่มีพื้นที่ปลอดภัยมากพอที่จะทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมั่นใจในความปลอดภัย และในทางกลับกัน เรายังใช้ทัศนคติรักษาสถาบันครอบครัว มาผลักดันให้ ผู้ถูกกระทำ ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับผู้กระทำด้วยตัวของเขาเอง สันทนี ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ด้วยแนวคิดเช่นนี้ นี่จึงเป็นที่มาของจุดอ่อนซึ่งเป็นบริบทเฉพาะของประเทศไทย คือ “คดีความรุนแรงในครอบครัว เป็นคดีที่ยอมความได้” ซึ่งอัยการสันทนี เห็นว่า เมื่อไปผูกสมการว่า เป็นความผิดอันยอมความได้ แล้วตามกฎหมายก็จะต้องร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิด มิฉะนั้นคดีเป็นอันขาดอายุความ ซึ่งปัญหาว่าผู้ถูกกระทำในคดีความรุนแรงในครอบครัวนั้นมีความเปราะบางเฉพาะหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของความหวาดกลัว ความอับอาย ภาวะพึ่งพิง ความไม่แน่ใจถึงผลที่จะตามมา ล้วนเกี่ยวพันกับการตัดสินใจที่จะเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ทั้งสิ้น อัยการสันทนี บอกว่า แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ต้องพยายามสร้างแคมเปญรณรงค์ ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และสังคมไทยต้องไม่เพิกเฉยเมื่อพบเห็นความรุนแรง ยังบอกไม่ได้ว่า วิธีการที่จะช่วยเขาได้ควรต้องทำอย่างไร มีช่องทางไหนในการแจ้งเหตุที่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงทีต่อเหตุการณ์ เราเรียกร้องสังคมไม่ให้เพิกเฉย ขณะที่ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายหลายอย่าง เช่น คดีความรุนแรงในครอบครัวยอมความได้ หรือคดีความผิดต่อส่วนตัว ทำให้เรื่องเหล่านี้ถูกตีความให้เป็น เรื่องส่วนตัว เป็นปัญหาภายในครอบครัว ที่คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่ง ส่วนในต่างประเทศจะมีมาตรการอื่นๆในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำให้รู้สึกปลอดภัย หากตัดสินใจพึ่งพากระบวนการยุติธรรม เช่น ศาลมีคำสั่งห้ามผู้กระทำเข้าใกล้ตัวเหยื่อ มีเจ้าหน้าที่รัฐมาคอยดูแล มีรูปแบบการจัดที่พักที่ปลอดภัยไว้ให้อยู่อาศัย หรือการจัดสรรค่าใช้จ่ายรายวันให้กับผู้หญิงที่เป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งการมีกระบวนการปกป้องผู้ถูกกระทำ จะทำให้กระบวนการยุติธรรม ตอบโจทย์ของผู้ถูกกระทำมากขึ้น หากจะหาแนวทางการแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวภายใต้บริบทของประเทศไทยในระยะยาว อัยการสันทนี เห็นว่า ประเทศไทยยังต้องระดมสมองเพื่อกำหนดแนวทางให้ชัดในหลายๆด้าน เพื่อให้มีข้อสรุปตรงกัน โดยมองว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว คือ ปัญหาของสังคมที่ต้องระดมองค์ความรู้จากหลายหน่วยงานช่วยกันเข้าไปแก้ไข หรือหากมองเป็นปัญหาของปัจเจก เป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นปัญหาภายในครอบครัว ก็จะเขียนกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้เสียหายที่ถูกกระทำรุนแรงจากคนในครอบครัวเป็นสำคัญ หรือจะเขียนกฎหมายไปเพื่อรักษาสถาบันครอบครัวให้เข้มแข็งเป็นหลัก เพราะหลักการของกฎหมายจะไปกำหนดวิธีการในการปฏิบัติอื่นๆที่ตามมาทั้งหมด แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐในด่านหน้าก็ยังสับสนว่า เมื่อมีการร้องทุกข์แล้ว ต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำทันที หรือต้องช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยรักษาครอบครัวของคู่กรณีเอาไว้ให้ได้ก่อน กระบวนการคุ้มครองผู้เสียหายต้องทำอย่างไรในแต่ละเคส และหากตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ชัดเจนจะทำให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในลักษณะการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบเพื่อหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง อัยการสันทนี ทิ้งท้ายว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ต้องไม่ใช้เฉพาะกระบวนการยุติธรรม แต่ต้องใช้องค์ความรู้หลากหลาย ทั้งทางจิตวิทยา สาธารณสุข สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือแม้แต่การสื่อสารค่านิยมที่ถูกต้องให้สังคมจึงจะแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะที่ผ่านมา มีผู้ถูกกระทำจำนวนมากที่ต้องต่อสู้อย่างเดียวดายและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เรื่องของผัว-เมีย คนอื่นอย่ามายุ่ง” ประโยคนี้ คือ วาทกรรมสำคัญที่ส่งเสริมความรุนแรงในครอบครัว และควรต้องลบออกจากพจนานุกรมของกระบวนการยุติธรรม รายงานโดย : สถาพร พงศ์พิพัฒน์วัฒนา