ลิ🤖📺งค์ แ🌍จ🎖️ก ส ปิ น 🤔coin m🔑aster
วันนี้ (10 ม.ค.2565) นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาค
฿67473
บาท0
ห้องนอน
13
ห้องน้ำ
974
ตร.ม.
฿ 6495
/ ตารางเมตร
ลิ🤖📺งค์ แ🌍จ🎖️ก ส ปิ น 🤔coin m🔑aster
ลิงค์ แจก ส ปิ น coin master,🍐➕🤍ผู้จัดการทีมเ🐶ชล🍿ซีเตรียมยื่นเรื่องให้ ไมค์ ไรรี่ย์ ป🎉ระธานผู้😜ตัดสินขอ🦁งพร
UID: 07727
หลังเกิดกระแสข่าวนี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ได
æความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง ความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำç 1980 และ 2011 ความเ
ความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง ความเสี่ยงฟองสบู่🌸ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics มองว่า ราคาทองคำขาขึ้นมีปัจจัยพื้นฐานหนุนต่างจากฟองสบู่ทองคำปี 1980 เตือนความเสี่ยงของการหักหัวลง อาจมาจากความตื่นกลัวอย่างฉับผลันของนักเก็งกำไรระยะสั้นที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง ในปี 1979 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 125 นับจากต้นปี ต่อมาในปี 1980 ภายในเวลาเพียง 20 วันแรกของปี ราคาทองคำพุ่งทะยานอีกร้อยละ 52 จนถึงจ🎡ุดสูงสุดที่ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและลดลงต่อเนื่องมาจนถึงปี 2000 เหตุการณ์ทั้งหมดกินระยะเวลาขาขึ้นประมาณ 10 ปี และขาลงอีกประมาณ 20 ปี บทเรียนในครั้งนั้นบอกอะไรต่อนักลงทุนในทองคำบ้าง ในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนบางคนเรียกว่าเกิดภาวะฟองสบู่ทองคำ หากแต่ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 จะพบว่าราคาทองคำเคยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้ว โดยในช่วงทศวรรษที่ 70 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันขึ้นหลายรอบ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลายระลอกนี้ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงตามไปด้วย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยฟองสบู่แตกในปี 1980 สภาวะแวดล้อมปี 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง รmv'mาคาทองคำช่วงปี 1970-1980 เพิ่มขึ้นเร็วและแรงโดยมีราคาสูงสุดในปี 1980 มากกว่าราคาในปี 1970 ประมาณ 16 เท่า ขณะที่ช่วงปี 1999-ปัจจุบัน ราคาทองคำเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไปกว่า โดยที่ผ่านมา 11 ปีเพิ่มขึ้นเพียง 6.3 เท่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน วิกฤตเศรษฐกิจหลักในช่วงทศวรรษ 70 ต่า🧜♀️งกับปัจจุบันค่อนข้างมาก โดยช่วง 1970-1980 เกิดปัญหาด้านอุปทาน (Supply shock) ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลงหลังปี 1980 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็ผ่อนคลายลงได้ ขณะที่ปัจจุบัน ปัญหาเศรษฐกิจเกิดมาจากปัจจัยภายในของระบบเศรษฐกิจประเทศใหญ่อย่างสหรัฐและกลุ่มยุโรป ซึ่งทางออกคงไม่ง่ายเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ทองคำเริ่มไม่ปรับตัวตามราคาน้ำมันเสมอไป เห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2009 ที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรุนแรงแต่ราคาทองคำกลับไม่ได้ลดลงตามไปด้วย ต่างกับทศวรรษที่ 70 ที่ราคาน้ำมันมีผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน มูลค่าที่แท้จริงของทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 1980 ประมาณร้อยละ 17.4 เพราะฉะนั้นความเสี่ยงของการหักหัวลงอย่างรุนแรงจึงยังไม่สูงเท่า คำนวนจากราคาทองคำปรับด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่าถ้าปรับด้วยราคาฐานปัจจุบันแล้ว ราคาทองคำที่จุดสูงสุดในปี 1980 จะเท่ากับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปัจจุบันราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แปลว่าปัจจุบันทองคำยังไม่สามารถทำมูลค่าสูงสุดได้เหมือนอย่างปี 1980 ข้อสังเกตจากมูลค่าที่แท้จริงในทองคำยังบอกได้ว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อทองคำช่วงใกล้ฟองสบู่แตกในปี 1980 ถึงแม้จะถือไว้นานกว่า 30 ปีมาจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม ผลตอบแทนจากทองคำของนักลงทุนที่เล่นกับฟองสบู่ก็ยังคงขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี ด้วยโครงสร้างและบริบททางเศรษฐกิจที่ต่างไปจากปี 1980 ทำให้ทองคำอาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่จะทำให้เกิดฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระลึกถึงความเสี่ยงและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ไม่ต้องถือทองคำไว้กว่า 30 ปีโดยที่ยังขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงเหมือนอย่างฟองสบู่ทองคำครั้งที่ผ่านมา ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics มองว่า ราคาทองคำขาขึ้นมีปัจจัยพื้นฐานหนุนต่างจากฟองสบู่ทองคำปี 1980 เตือนความเสี่ยงของการหักหัวลง อาจมาจากความตื่นกลัวอย่างฉับผลันของนักเก็งกำไรระยะสั้นที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง ในปี 1979 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 125 นับจากต้นปี ต่อมาในปี 1980 ภายในเวลาเพียง 20 วันแรกของปี ราคาทองคำพุ่งทะยานอีกร้อยละ 52 จนถึงจุดสูงสุดที่ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและลดลงต่อเนื่องมาจนถึงปี 2000 เหตุการณ์ทั้งหมดกินระยะเวลาขาขึ้นประมาณ 10 ปี และขาลงอีกประมาณ 20 ปี บทเรียนในครั้งนั้นบอกอะไรต่อนักลงทุนในทองคำบ้าง ในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนบางคนเรียกว่าเกิดภาวะฟองสบู่ทองคำ หากแต่ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 จะพบว่าราคาทองคำเคยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้ว โดยในช่วงทศวรรษที่ 70 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันขึ้นหลายรอบ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลายระลอกน🎈ี้ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงตามไปด้วย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยฟองสบู่แตกในปี 1980 สภาวะแวดล้อมปี 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง รmv'mาคาทองคำช่วงปี 1970-1980 เพิ่มขึ้นเร็วและแรงโดยมีราคาสูงสุดในปี 1980 มากกว่าราคาในปี 1970 ประมาณ 16 เท่า ขณะที่ช่วงปี 1999-ปัจจุบัน ราคาทองคำเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไปกว่า โดยที่ผ่านมา 11 ปีเพิ่มขึ้นเพียง 6.3 เท่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน วิกฤตเศรษฐกิจหลักในช่วงทศวรรษ 70 ต่างกับปัจจุบ📖ันค่อนข้างมาก โดยช่วง 1970-1980 เกิดปัญหาด้านอุปทาน (Supply shock) ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น🍩 ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลงหลังปี 1980 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็ผ่อนคลายลงได้ ขณะที่ปัจจุบัน ปัญหาเศรษฐกิจเกิดมาจากปัจจัยภายในของระบบเศรษฐกิจประเทศใหญ่อย่างสหรัฐและกลุ่มยุโรป ซึ่งทางออกคงไม่ง่ายเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ลิงค์ แจก ส ปิ น coin masterทองคำเริ่มไม่ปรับตัวตามราคาน้ำมันเสมอไป เห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2009 ที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรุนแรงแต่ราคาทองคำกลับไม่ได้ลดลงตามไปด้วย ต่างกับทศวรรษที่ 70 ที่ราคาน้ำมันมีผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน มูลค่าที่แท้จริงของทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 1980 ประมาณร้อยละ 17.4 เพราะฉะนั้นความเสี่ยงของการหักหัวลงอย่างรุนแรงจึงยังไม่สูงเท่า คำนวนจากราคาทองคำปรับด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่าถ้าปรับด้วยราคาฐานปัจจุบันแล้ว ราคาทองคำที่จุดสูงสุดในปี 1980 จะเท่ากับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปัจจุบันราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แปลว่าปัจจุบันทองคำยังไม่สามารถทำมูลค่าสูงสุดได้เหมือนอย่างปี 1980 ข้อสังเกตจากมูลค่าที่แท้จริงในทองคำยังบอกได้ว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อทองคำช่วงใกล้ฟองสบู่แตกในปี 1980 ถึงแม้จะถือไว้นานกว่า 30 ปีมาจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม ผลตอบแทนจากทองคำของนักลงทุนที่เล่นกับฟองสบู่ก็ยังคงขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี ด้วยโครงสร้างและบริบททางเศรษฐกิจที่ต่างไปจากปี 1980 ทำให้ทองคำอาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่จะทำให้เกิดฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระลึกถึงความเสี่ยงและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ไม่ต้องถือทองคำไว้กว่า 30 ปีโดยที่ยังขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงเหมือนอย่างฟองสบู่ทองคำครั้งที่ผ่านมา
จากกรณีเกิดเหตุไฟไหม้ บริษัทมาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
หลังเกิดกระแสข่าวนี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ได
æความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง ความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำç 1980 และ 2011 ความเ
ความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง ความเสี่ยงฟองสบู่🌸ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics มองว่า ราคาทองคำขาขึ้นมีปัจจัยพื้นฐานหนุนต่างจากฟองสบู่ทองคำปี 1980 เตือนความเสี่ยงของการหักหัวลง อาจมาจากความตื่นกลัวอย่างฉับผลันของนักเก็งกำไรระยะสั้นที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง ในปี 1979 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 125 นับจากต้นปี ต่อมาในปี 1980 ภายในเวลาเพียง 20 วันแรกของปี ราคาทองคำพุ่งทะยานอีกร้อยละ 52 จนถึงจ🎡ุดสูงสุดที่ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและลดลงต่อเนื่องมาจนถึงปี 2000 เหตุการณ์ทั้งหมดกินระยะเวลาขาขึ้นประมาณ 10 ปี และขาลงอีกประมาณ 20 ปี บทเรียนในครั้งนั้นบอกอะไรต่อนักลงทุนในทองคำบ้าง ในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนบางคนเรียกว่าเกิดภาวะฟองสบู่ทองคำ หากแต่ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 จะพบว่าราคาทองคำเคยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้ว โดยในช่วงทศวรรษที่ 70 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันขึ้นหลายรอบ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลายระลอกนี้ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงตามไปด้วย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยฟองสบู่แตกในปี 1980 สภาวะแวดล้อมปี 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง รmv'mาคาทองคำช่วงปี 1970-1980 เพิ่มขึ้นเร็วและแรงโดยมีราคาสูงสุดในปี 1980 มากกว่าราคาในปี 1970 ประมาณ 16 เท่า ขณะที่ช่วงปี 1999-ปัจจุบัน ราคาทองคำเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไปกว่า โดยที่ผ่านมา 11 ปีเพิ่มขึ้นเพียง 6.3 เท่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน วิกฤตเศรษฐกิจหลักในช่วงทศวรรษ 70 ต่า🧜♀️งกับปัจจุบันค่อนข้างมาก โดยช่วง 1970-1980 เกิดปัญหาด้านอุปทาน (Supply shock) ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลงหลังปี 1980 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็ผ่อนคลายลงได้ ขณะที่ปัจจุบัน ปัญหาเศรษฐกิจเกิดมาจากปัจจัยภายในของระบบเศรษฐกิจประเทศใหญ่อย่างสหรัฐและกลุ่มยุโรป ซึ่งทางออกคงไม่ง่ายเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ทองคำเริ่มไม่ปรับตัวตามราคาน้ำมันเสมอไป เห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2009 ที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรุนแรงแต่ราคาทองคำกลับไม่ได้ลดลงตามไปด้วย ต่างกับทศวรรษที่ 70 ที่ราคาน้ำมันมีผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน มูลค่าที่แท้จริงของทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 1980 ประมาณร้อยละ 17.4 เพราะฉะนั้นความเสี่ยงของการหักหัวลงอย่างรุนแรงจึงยังไม่สูงเท่า คำนวนจากราคาทองคำปรับด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่าถ้าปรับด้วยราคาฐานปัจจุบันแล้ว ราคาทองคำที่จุดสูงสุดในปี 1980 จะเท่ากับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปัจจุบันราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แปลว่าปัจจุบันทองคำยังไม่สามารถทำมูลค่าสูงสุดได้เหมือนอย่างปี 1980 ข้อสังเกตจากมูลค่าที่แท้จริงในทองคำยังบอกได้ว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อทองคำช่วงใกล้ฟองสบู่แตกในปี 1980 ถึงแม้จะถือไว้นานกว่า 30 ปีมาจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม ผลตอบแทนจากทองคำของนักลงทุนที่เล่นกับฟองสบู่ก็ยังคงขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี ด้วยโครงสร้างและบริบททางเศรษฐกิจที่ต่างไปจากปี 1980 ทำให้ทองคำอาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่จะทำให้เกิดฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระลึกถึงความเสี่ยงและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ไม่ต้องถือทองคำไว้กว่า 30 ปีโดยที่ยังขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงเหมือนอย่างฟองสบู่ทองคำครั้งที่ผ่านมา ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics มองว่า ราคาทองคำขาขึ้นมีปัจจัยพื้นฐานหนุนต่างจากฟองสบู่ทองคำปี 1980 เตือนความเสี่ยงของการหักหัวลง อาจมาจากความตื่นกลัวอย่างฉับผลันของนักเก็งกำไรระยะสั้นที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง ในปี 1979 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 125 นับจากต้นปี ต่อมาในปี 1980 ภายในเวลาเพียง 20 วันแรกของปี ราคาทองคำพุ่งทะยานอีกร้อยละ 52 จนถึงจุดสูงสุดที่ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและลดลงต่อเนื่องมาจนถึงปี 2000 เหตุการณ์ทั้งหมดกินระยะเวลาขาขึ้นประมาณ 10 ปี และขาลงอีกประมาณ 20 ปี บทเรียนในครั้งนั้นบอกอะไรต่อนักลงทุนในทองคำบ้าง ในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนบางคนเรียกว่าเกิดภาวะฟองสบู่ทองคำ หากแต่ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 จะพบว่าราคาทองคำเคยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้ว โดยในช่วงทศวรรษที่ 70 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันขึ้นหลายรอบ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลายระลอกน🎈ี้ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงตามไปด้วย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยฟองสบู่แตกในปี 1980 สภาวะแวดล้อมปี 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง รmv'mาคาทองคำช่วงปี 1970-1980 เพิ่มขึ้นเร็วและแรงโดยมีราคาสูงสุดในปี 1980 มากกว่าราคาในปี 1970 ประมาณ 16 เท่า ขณะที่ช่วงปี 1999-ปัจจุบัน ราคาทองคำเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไปกว่า โดยที่ผ่านมา 11 ปีเพิ่มขึ้นเพียง 6.3 เท่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน วิกฤตเศรษฐกิจหลักในช่วงทศวรรษ 70 ต่างกับปัจจุบ📖ันค่อนข้างมาก โดยช่วง 1970-1980 เกิดปัญหาด้านอุปทาน (Supply shock) ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น🍩 ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลงหลังปี 1980 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็ผ่อนคลายลงได้ ขณะที่ปัจจุบัน ปัญหาเศรษฐกิจเกิดมาจากปัจจัยภายในของระบบเศรษฐกิจประเทศใหญ่อย่างสหรัฐและกลุ่มยุโรป ซึ่งทางออกคงไม่ง่ายเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ลิงค์ แจก ส ปิ น coin masterทองคำเริ่มไม่ปรับตัวตามราคาน้ำมันเสมอไป เห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2009 ที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรุนแรงแต่ราคาทองคำกลับไม่ได้ลดลงตามไปด้วย ต่างกับทศวรรษที่ 70 ที่ราคาน้ำมันมีผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน มูลค่าที่แท้จริงของทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 1980 ประมาณร้อยละ 17.4 เพราะฉะนั้นความเสี่ยงของการหักหัวลงอย่างรุนแรงจึงยังไม่สูงเท่า คำนวนจากราคาทองคำปรับด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่าถ้าปรับด้วยราคาฐานปัจจุบันแล้ว ราคาทองคำที่จุดสูงสุดในปี 1980 จะเท่ากับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปัจจุบันราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แปลว่าปัจจุบันทองคำยังไม่สามารถทำมูลค่าสูงสุดได้เหมือนอย่างปี 1980 ข้อสังเกตจากมูลค่าที่แท้จริงในทองคำยังบอกได้ว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อทองคำช่วงใกล้ฟองสบู่แตกในปี 1980 ถึงแม้จะถือไว้นานกว่า 30 ปีมาจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม ผลตอบแทนจากทองคำของนักลงทุนที่เล่นกับฟองสบู่ก็ยังคงขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี ด้วยโครงสร้างและบริบททางเศรษฐกิจที่ต่างไปจากปี 1980 ทำให้ทองคำอาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่จะทำให้เกิดฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระลึกถึงความเสี่ยงและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ไม่ต้องถือทองคำไว้กว่า 30 ปีโดยที่ยังขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงเหมือนอย่างฟองสบู่ทองคำครั้งที่ผ่านมา
จากกรณีเกิดเหตุไฟไหม้ บริษัทมาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
สิ่งอำนวยความสะดวก
การตกแต่ง
เครื่องปรับอากาศ
ชั้นบน
เตาอบ/ไมโครเวฟ
ความสะดวกโดยรอบ
กล้องวงจรปิด
เครืองปรับอากาศ
โถงรอลิฟท์ร้านอาหาร
ทางเข้าหลัก
ยอดสินเชื่อโดยประมาณ
รายละเอียดสินเชื่อ
ยอดสินเชื่อที่ต้องชำระต่อเดือนโดยประมาณ
฿ 0 / เดือน
฿ 0 เงินต้น
฿ 0 ดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายที่อาจต้องมีเบื้องต้น
เงินดาวน์ทั้งหมด
฿ 0
เงินดาวน์
จำนวนสินเชื่อ ฿ 0 ในอัตรา 0% ของสินเชื่อต่อราคาบ้าน (Loan-to-value)
วันนี้ (31 พ.ค.2567) น.ส.ปิยฉัฏฐ์ วันเฉลิม สมาชิกว

วันนี้ (28 ก.ย.66) ปรัชญา อิสโร กับ แม็กซิมัส ภราพล โจนส์ นักหวดชายคู่ทีมชาติไทย พ่าย ซื่อ ยู เซียะ กับ เจสัน จุง จากไต้หวัน 6-4, 6-7(5) ซูเปอร์ไทเบรก 2-10 ในการแข่งขันเทนนิส ประเภทชายคู่ รอบรองชนะเลิ
ดูรายละเอียดโครงการคำถามที่พบบ่อย
วันที่ 5 ก.ค.2566 ผู้ที่สอบครูผู้ช่วยของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 - 5 จ.
วันนี้ (29 มี.ค.2566) เจ้าหน้าที่ทีมค้นหาชิ้นส่วนของอดีตผู้ใหญ่บ้าน ที่ถูกหลานชายฆ่าและนำชิ้นส่วนศีร
เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2567 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามการคาดการณ์สภาพอา
วันที่ 30 พ.ย.2567 เวลา 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อผุด ได้รับแจ้งจากพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่อ
วันนี้ (9 ก.ย.2567) ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา เปิดเผยว่า ปัจจุบั
ค้นหาประกาศอื่นรอบๆ ทุ่งพญาไท
จากสิ่งที่คุณค้นหา คุณอาจจะสนใจตัวเลือกต่อไปนี้
วิเคราะห์บอล บุรีรัมย์ เชียงรายวิเคราะห์ บอล วัน นี้ สปอร์ต พลู
สมัครสมาชิกรับ 68 บาท เครดิตฟรี300ไม่ต้องฝากไม่ต้องแชร์แค่สมัคร 2021