วันนี้ (27 ม.ค.2564) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ความว่า พ
วันนี้ (13 ก.พ.2568) พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา นัดหมายนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว กับพวก เข้ารายงานตัวกับพนักงานอัยการ สำนักงานคดีเศรษฐกิจเเละทรัพยากร 3 สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารกรุงเทพใต้
22 เมษายน 2567 เกิดไฟไหม้ที่ "ชุมชนหนองพะวา" ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ส่งผลให้กากของเสียอันตรายจำนวนมหาศาลระเบิดออกมา เกิดมลพิษกระจายไปทั่วพื้นที่ สร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบมายาวนานกว่า 10 ปี ทั้งที่ชาวบ้านเป็นผู้ชนะคดีที่ศาลพิพากษาให้โรงงานต้องชดใช้ให้ผู้ได้รับผลกระทบ 15 ราย รวมเป็นเงิน 20.8 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 แต่ยังไม่มีใครได้รับเงิน ของเสียทั้งหมดยังอยู่ที่เดิมจนเกิดไฟไหม้ และเมื่อขุดหน้าดินออกมา พบร่องรอยกากของเสียถูกฝังอยู่ในดิน มาถึงกลางปี 2567 ชาวบ้าน ต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งได้รับผลกระทบจากโรงงานรีไซเคิลมาตั้งแต่ปี 2544 ยังไม่ได้รับเงินชดเชยความเสียหายต่อพืชผลและสุขภาพของพวกเขา แม้จะฟ้องร้องจนชนะคดีต่อบริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 และของเสียอันตรายในโรงงานแต่เดิมยังไม่ถูกขนออกไปกำจัดจนเกิดไฟไหม้หลายครั้ง จนล่าสุดต้องนำเงินงบประมาณแผ่นดิน จำนวน 59 ล้านบาท มาขนของเสียบางส่วนออกไปกำจัดก่อน แต่ยังเหลืออีกจำนวนมาก รวมทั้งมีของเสียที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน ล่าสุด 17 มิถุนายน 2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ประสานกับตำรวจ เข้าตรวจค้นและขุดพบการลักลอบฝังกากของเสียอันตรายอยู่ใต้ดินบริเวณระหว่างหลุมฝังกลบ 2 หลุม ของบริษัท เอกอุทัย จำกัด สาขา อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ มีสภาพเป็นน้ำสีดำ มีฟองคล้ายน้ำเดือด และยังพบซากวัสดุคล้ายภาชนะบรรจุสารเคมีหลายขนาดอยู่ใต้ดิน กลายเป็นอีกหนึ่งจุด ที่พบการลักลอบฝังกากของเสียอันตรายไว้ใต้ดิน เมื่อพบกากของเสียอันตราย ถูกลักลอบทิ้งทั้งบนดิน ในแหล่งน้ำ และถูกฝังอยู่ใต้ดิน ... วิธีการเดียวที่จะแก้ไขได้ ก็คือ การส่งของเสียอันตรายทั้งหมดไปเข้าสู่กระบวนการกำจัดที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายและหลักวิชาการ ... แต่นั่นเป็นวิธีที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล เหตุผลที่กากของเสียอันตรายเหล่านี้ ถูกนำมาลักลอบทิ้ง ก็เป็นเพราะ "มีค่ากำจัดราคาแพง" ทำให้โรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) บางแห่ง เลือกวิธีการลดต้นทุนค่ากำจัดด้วยการส่งของเสียไปกำจัดกับกลุ่มโรงงานรับกำจัดหรือบำบัด (Waste Processor) ที่พร้อมรับของไปในราคาที่ถูกกว่าค่ากำจัดจริงมาก ซึ่งแน่นอน ทำให้ของเสียอันตรายเหล่านั้น ไม่ได้ถูกนำไปกำจัด และเมื่อกากของเสียอันตรายที่ควรจะถูกบำบัดหรือกำจัดไปแล้วจำนวนมาก ถูกนำมารวมไว้ในพื้นที่เดียวกันอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ทั้งด้วยการวางทิ้งไว้เฉย ๆ ปล่อยสารเคมีลงในแหล่งน้ำ หรือฝังไว้ใต้ดิน ก็หมายความว่าพื้นที่ที่ถูกใช้เป็น "ถังขยะพิษ" เช่นที่ วิน โพรเสส, แวกซ์ กาเบจ และ เอกอุทัย อ.ศรีเทพ จะต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อทำความสะอาดมัน กากของเสียอุตสาหกรรมที่อยู่ใน "ถังขยะพิษ" หลายพื้นที่ในประเทศไทย จึงเป็นปัญหาที่ "แก้ด้วยเงิน"เท่านั้น ผู้ก่อมลพิษ ... อ้างว่า ไม่มีเงินจ่าย ล้มละลาย ... หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบอย่าง กรมโรงงานอุตสาหกรรม ก็ไม่มีงบประ🎢มาณสำหรับกรณีเช่นนี้ ... ประเทศไทยมีกองทุนสิ่งแวดล้อม แต่ไม่สามารถนำมาใช้ในกรณีนี้ได้ ... แหล่งเงินเดียวที่จะถูกนำมาใช้ได้ คือ "งบกลาง" ซึ่งต้องไปขอจากคณะรัฐมนตรี จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม "กองทุนสิ่งแวดล้อม" ใช้แก้ปัญหาขยะพิษไม่ได้ เหตุขั้นตอนออกกฎหมายถูกรวบรัด มาตรา 42 ข✡️🔷🈳🏧องพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 ระบุว่า ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการโรงงานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 37 ถ้ามีเหตุที่ทางราชการสมควรเข้าไปดำเนินการแทน ให้ปลัดกระทรวงหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายมีอำนาจสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือมอบหมายให้บุคคลใด ๆ เข้าจัดการแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนั้นได้ ในกรณีเช่นนี้ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าจัดการนั้นตามจำนวนที่จ่ายจริงรวมกับเบี้ยปรับในอัตราร้อยละสามสิบต่อปีของจำนวนเงินดังกล่าว ถ้าทางราชการได้เข้าไปจัดการแก้ไขปัญหามลพิษหรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโรงงาน ให้ขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อใช้จ่ายในการดำเนินการได้ และเมื่อได้รับเงินตามวรรคหนึ่งจากผู้ประกอบกิจการโรงงานแล้ว ใช้ชดใช้เงินช่วยเหลือที่ได้รับมาคืนแก่กองทุนสิ่งแวดล้อมต่อไป จากข้อกฎหมายใน พ.ร.บ.โรงงาน 2535 จะเห็นชัดเจนว่า กฎหมายได้ออกแบบให้มี "แหล่งที่มาของเงิน" ที่จะนำมาใช้แก้ไขผลกระทบที่เกิดจากโรงงานเอาไว้แล้ว นั่นก็คือ "กองทุนสิ่งแวดล้อม" แต่ในที่สุดแล้ว กรมโรงงานอุตสาหกรรม กลับไม่สามารถนำเงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อมมาใช้เพื่อแก้ไขผลกระทบได้เลยแม้แต่กรณีเดียว นั่นเป็นเพราะ "ความไม่รอบคอบในกระบวนการพิจารณากฎหมาย" ปี 2535 คือช่วงที่ประเทศไทยมี🍰รัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหาร ดังนั้นเราจึงมีแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนั่นทำให้ร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภา สามารถผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว และมันต้องแลกมาด้วยความไม่รอบคอบ อย่าง พ.ร.บ.โรงงาน ที่ผ่านสภาน🌼ิติบัญญัติในปีนั้น ก็ไม่ถูกแปรญัตติในชั้นกรรมธิการเลย "ช่วงนั้นทั้ง พ.ร.บ.โรงงาน, พ.ร.บ.สาธารณสุข และ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ถูกเสนอเข้าสภาพร้อมกัน และก็ไม่รอบคอบทั้ง 3 ฉบับที่จะต้องมีส่วนที่เชื่อมกัน ที่เห็นชัด คือ พ.ร.บ.โรงงาน เขียนเชื่อมกับโยงเรื่องการใช้เงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อมเอาไว้ แต่ใน พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม กลับไม่เขียนเชื่อมกับ พ.ร.บ.โรงงาน ทำให้ในหลักเกณฑ์การใช้เงินของกองทุนสิ่งแวดล้อม จะต้องอยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ และยังไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้ไปเพื่อการกำจัดของเสียหรือการทำความสะอาดพื้นที่ปนเปื้อน" นั่นเป็นคำอธิบายจากนักกฎหมายสิ่งแวดล้อมคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์ไม่สามารถนำเงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อมมาใช้ตามมาตรา 42 ของ พ.ร.บ.โรงงานได้ ทำให้เขาไปค้นหาต้นตอของปัญหานี้และพบว่า เกิดจากกระบวนการออกกฎหมายที่ไม่รอบคอบในช่วงปี 2535 ทำให้ข้อความที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.โรงงาน ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การใช้เงินของกองทุนสิ่งแวดล้อม และกลายเป็นปัญหาต่อมาอีกถึง 32 ปีแล้ว ที่หน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ กรมควบคุมมลพิษ ก็ไม่สามารถนำเงินส่วนนี้มาจัดการกับของเสีย🎖️จากภาคอุตสาหกรรมไ🍐🌈🎤ด้ กรมโรงงานฯ ไม่สน "กองทุนสิ่งแวดล้อม" ขอแก้กฎหมาย ตั้ง "กองทุนอุตสาหกรรม" แต่ถูกตั้งคำถาม "ได้เงินมากพอหรือไม่" "จริง ๆ แล้วกรมโรงงานอุตสาหกรรมเองมีเงินที่ได้จากการเก็บค่าปรับจากโรงงานที่ทำผิดกฎหมายอยู่จำนวนหนึ่งครับ ซึ่งที่ผ่านมาเงินส่วนนี้เราก็ต้องส่งคืนไปให้กับสำนักงบประมาณทุก ๆ ปี ก็เลยมีความคิดว่า จะไปคุยกับทางสำนักงบประมาณ เพื่อขอนำเงินส่วนนี้มาตั้งเป็นกองทุนอุตสาหกรรมแทน มีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้แก้ไขผลกระทบที่เกิดกับประชาชน" ข้อความนี้ ถูกนำเสนอโดย จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ระหว่างขึ้นเวทีเสวนา "ทางออกกรณีมลพิษหนองพะวา ภาพสะท้อนปัญหากากอุตสาหกรรมอันตรายของไทย" จัดโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 เป็นจุดยืนที่แสดงให้เห็นว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม มีแนวทางที่จะหาเงินมาเพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมายนี้ด้วยการตั้งกองทุนใหม่ขึ้นมาที่ชื่อว่า "กองทุนอุตสาหกรรม" แทนที่จะไปแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้เงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการนี้ ถูกjoker สล็อต ฝาก 20 รับ 100แจก จริง ไม่ ต้อง แชร์ดำเนินการไปแล้วด้วยการยื่นเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติโรงงานอีกครั้ง "กรมโรงงานฯมองว่า การแก้กฎหมายมาตรา 42 เพื่อให้สามารถใช้เงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อมได้จริงน่าจะยุ่งยากเกินไป ก็เลยเสนอแก้กฎหมายตั้งกองทุนของตัวเองขึ้นมาเลย และในรอบนี้ ยังเสนอแก้ไขให้กำหนดอายุของใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ไปด้วย เพราะจากเดิม ใบ รง.4 ไม่มีวันหมดอายุ ขอครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป รอบนี้กรมโรงงานฯ จึงไปขอแก้ไขให้ รง.4 มีอายุ 5 ปี เพื่อจะได้มีโอกาสทบทวนความเหมาะสมในการต่อใบอนุญาตออกไป" นักกฎหมายสิ่งแวดล้อมคนนี้ อธิบายเหตุผลที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเลือกวิธีการแก้ปัญหาด้วยการตั้งกองทุนอุตสาหกรรมมากกว่าจะไปแก้ไขมาตรา 42 ให้สามารถใช้เงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อมได้ แต่การเลือกวิธีนี้ก็ยังทำให้เกิดคำถามตามมาอีกหนึ่งประเด็น คือ จำนวนเงินที่จะนำมาใส่ในกองทุนอุตสาหกรรมซึ่งจะได้มาจากค่าปรับ จะเพียงพอต่อการนำไปแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นได้จริงหรือ เพราะกฎหมายโรงงานในปัจจุบันมีการกำหนดอัตราโทษค่อนข้างต่ำ "หากเปรียบเทียบจะพบว่ากฎหมายในอดีตมีโทษแรงกว่ามาก เช่น ในกฎหมายปี 2512 การถูกตรวจพบว่ามีค่าความเป็นกรดด่างเกินมาตรฐานในระบบบำบัดน้ำเสียก็มีโทษจำคุกแล้ว แต่ต่อมามีแนวคิดหลักของการแก้บทลงโทษ คือ การก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่อาชญากรรมโดยสันดานครับ จึงไม่ควรจะมีโทษจำคุก และด้วยแนวคิดเช่นนี้ ทำให้ที่ผ่านมากฎหมายโรงงานก็ถูกแก้ไขให้มีเพดานค่าปรับต่ำลงมากครับ แม้จะเป็นความผิดร้ายแรงก็มักจะมีค่าปรับไม่เกินครั้งละ 200,000 บาทเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้โรงงานไม่ค่อยกลัวอยู่แล้ว มันก็เลยยังเป็นคำถามว่า การจะนำเงินจากค่าปรับมาใช้แก้ไขผลกระทบซึ่งมีมูลค่าสูงมาก มันจะเพียงพอหรือ" อีกหนึ่งแนวทางที่เคยถูกหยิบยกมาเสนอจากทีมกฎหมายที่เป็นทนายความให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ก็คือ แนวทางการกำหนดให้โรงงานกลุ่มผู้รับบำบัดหรือกำจัดของเสียอันตราย จะต้องทำประกันความเสียหายไว้กับบริษัทประกันภัยเอกชน โดยมีผลผูกโยงกับสถานะของใบอนุญาตประกอบกิจการ เพื่อให้มีหลักประกันว่าหากเกิดความเสียหายขึ้นจะสามารถเรียกร้องเงินจากบริษัทประกันได้ และแนวทางนี้ ยังจะช่วยให้บริษัทประกัน จะกลายเป็นคนกลางที่เข้ามาช่วยตรวจสอบคุณภาพการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของโรงงานได้อย่างเข้มข้นในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย แนวทางนี้ มีนักกฎหมายจำนวนมากเห็นด้วย เพราะยังจะช่วยแก้ไขจุดอ่อนที่เป็นข้อวิจารณ์กันมาตลอดนั่นคือ หน่วยงานรัฐไม่ได้ทำหน้าที่กำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพมากพอ นี่จึงควรเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ต้องนำมาหารือก่อนเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.โรงงานครั้งต่อไป อ่านข่าว ค่า(เข้า)เรียน เดอะซีรีส์ อนุบาล-มหาวิทยาลัย "การศึกษาที่ไร้หัวใจ"ค่า(เข้า)เรียน เดอะซีรีส์ รร.ประถมขนาดเล็ก ตัวแปรขจัด "เหลื่อมล้ำ"ประมงพื้นบ้านทำเอง สำรวจ "ทะเลระยอง" หลังน้ำมันรั่วปี 65 รายงานโดย : สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา
22 เมษายน 2567 เกิดไฟไหม้ที่ "ชุมชนหนองพะวา" ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ส่งผลให้กากของเสียอันตรายจำนวนมหาศาลระเบิดออกมา เกิดมลพิษกระจายไปทั่วพื้นที่ สร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ชาวบ้านได้รับผ