ภาพรวมของนโยบายภาคเกษตรของรัฐบาล แทบไม่มีอะไรที่แตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ โดยมีนโยบายสำคัญใน 3 เรื่อ

ภาพรวมของนโยบายภาคเกษตรของรัฐบาล แทบไม่มีอะไรที่แตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ โดยมีนโยบายสำคัญใน 3 เรื่อง คือ แก้ปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกร แก้ปัญหาที่ดินทำกินและเอกสารสิทธิ์ และปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้เกษตรกรอย่างมี “นัยสำคัญ” ภายใน 4 ปี รัฐบาลดำเนินนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญคือ การพักหนี้ให้กับเกษตรกรลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) สำหรับลูกหนี้ไม่เกิน 300,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปีโดยนโยบายภาคการเกษตรในภาครวมภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ดังนี้ รัฐบาลจะสร้างรายได้ในภาคการเกษตร โดยใช้หลักการ ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยการสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพ และผลิตภาพของภาคการเกษตรควบคู่ไปด้วยกัน จะมีการบูรณาการองค์ความรู้ ด้านการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการน้ำในแต่ละพื้นที่ ใช้การบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยนวัตกรรมเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) การวิจัย พัฒนาพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนต่อไร่ให้สูงขึ้น ตลอดจนการหาตลาดให้สินค้าเกษตรได้ขายในราคาที่เหมาะสม สนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและเศรษฐกิจ และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลจะฟื้นชีวิตอุตสาหกรรมประมง ให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชนอีกครั้ง ด้วยการแก้ไขข้อกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสม อันเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลให้อยู่กับประเทศอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการภาคการเกษตรที่ครบถ้วนทุกด้าน ตั้งแต่ดิน น้ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ กลไกราคา แหล่งเงินทุน นวัตกรรม และกรรมสิทธิ์ที่ดินของเกษตรกรผู้ปลูกพืช ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ และกลุ่มประมง มีเป้าหมายทำให้รายได้ของเกษตรกรทั้งประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในระยะเวลา 4 ปี ธนาคารโลก ระบุว่า มูลค่าภาคการเกษตรไทยในปี พ.ศ.2565 อยู่ที่ 43.7 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เป็นอันดับที่ 18 ของโลก โดยมีประเทศคู่ค้าสำคัญ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐเกาหลี และสหราชอาณาจั€ƒกร จากจำนวนเกษตรกรทั่วประเทศที่ขึ้นทะเบียนเกษตร 7,743,050 ครัวเรือน มีจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน 8,842,002 ราย พื้นที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 149.25 ล้านไร่ อยู่นอกเขตชลประทาน 114.66 ล้านไร่ จากข้อมูลพบว่า เมื่อ 60 ปีที่แล้ว มีแรงงานไทยร้อยละ 60 อยู่ในภาคเกษตรกรรม ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยร้อยละ 36 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่ในปี พ.ศ.2562 ยังคงมีแรงงานอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศ แต่มูลค่าด้านเศรษฐกิจลดลงเหลือเพียง 7.98 % สะท้อนให้เห็นว่าภาคเกษตรมีบทบาทลดลง ในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ภาคเกษตร ปัญหาภาคเกษตรไทยจึงเป็นโจทย์สำคัญของทุกรัฐบาล ที่พยายามหานโยบายพัฒนาภาคเกษตรให้ทันสมัยและŸæ‹ก้าวให้พ้นจากวงจรเดิม ที่วนเวียนอยู่กับเรื่องปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกินและราคาสินค้าตกต่ำ แต่ยังไม่มีรัฐบาลใดประสบความสำเร็จ ภาคการเกษตรของไทย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก จะเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น ไม่ว่าจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนน้ำสะอาด ต้นทุนการเกษตรที่สูงขึ้น และการขาดแคลนแรงงานจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย จากการลงพื้นที่ฟังเสียงเกษตรกรในหลายพื้นที่ ต่างมีมุมมองที่ต่างไปจากนโยบายภาครัฐ การปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ครบวงจร เป็นอีกวิธีการที่สามารถช่วยภาคเกษตรได้ กนกพร ดิษฐกระจันทร์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เล่าว่า เกษตรอินทรีย์ทำให้ต้นทุนการทำนาลดลง จากที่เคยทำเกษตรเคมีเต็มระบบแล้วเกิดหนี้สิน ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ไร่ละ 5,000-6,000 บาท เพราะขายข้าวได้เกวียนละ 7,000-5,000 บาท บางทีขายต่ำกว่าต้นทุนที่ตัวเองผลิต ทำให้เกษตรกรไปต่อไม่ได้ จนกลายเป็นวังวนหนี้สิน กนกพร กล่าวว่า ก่อนจะลดต้นทุน เราต้องรู้ต้นทุนทั้งหมด ซึ่งจากตารางจะเห็นว่า ต้นทุนส่วนใหญ่ คือ ค่าเช่าที่ดิน ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเมล็ดพันธุ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 70 % ของต้นทุนการผลิต กนกพร กล่าวว่า หากเกษตรกรปรับมาทำอินทรีย์ ซึ่งต้นทุนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ค่าแรงของตัวเอง ในการจัดการปัจจัยการผลิต ทั้งเก็บพันธุ์เอง ทำปุ๋ยเอง น้ำหมักเอง การจัดการวัชพืชที่จะใช้เวลาเยอะในการถอนหญ้า ดูแลแปลง ค่าแรงและการดูทั้งระบบอยู่ที่ประมาณ 3,000 กว่าบาท ก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน อีกต้นทุนสำคัญของเกษตรกร คือ ที่ดิน ซึ่งหากเกษตรกรมีที่ดินของตัวเองจะช่วยลดต้นทุนในการผลิตได้มาก อย่างค่าเช่าที่นา คิดเป็นประมาณร้อยละเสีย สล็อต 40 ของต้นทุนในการทำนาทั้งหมด ข้อมูลภาพรวมทั่วประเทศพบว่า มีการลงทะเบียนเพื่อถือครองพื้นที่ทำเกษตรรรม 149.7 ล้านไร่ เป็นที่ทำกินของตัวเอง 72.3 ล้านไร่ หรือเพียงร้อยละ 48.32 ซึ่งการเช่าที่ดินทำกินมีทั้งเช่าจากผู้อื่นและเช่าที่ตัวเอง การแก้โจทย์เรื่องที่ดิน รศ.ดร.ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์ มองว่า เรื่องค่าเช่า นอกจากการแก้กฎหมายให้เกิดค่าเช่าที่เป็นธรรม และบังคับใช้จริงแล้ว ต้องกระจายอำนาจให้คนในพื้นที่ มีสิทธิมาเป็นคณะกรรมการ ที่จะมาพูดคุยกันว่าค่าเช่ากลางควรเป็นเท่าใด ดึงสภาเกษตรกร เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการประเมินราคากลางค่าเช่า เป็นการสร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ สำหรับการปฎิรูปที่ดิน ถือเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเป็นปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ โดยแนวทางกว้าง ๆ คือ ต้องมีคณะกรรมการที่เปิดโอกาสให้คนในแต่ละพื้นที่ ได้มาคุยกันว่า แนวทางในการปฏิรูปควรเป็นอย่างไร แต่ต้องมีหลักประกันพื้นฐานว่า ต้องไม่นำพื้นที่นั้นไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น อุตสาหกรรมหนัก อุŸæ‹ตสาหกรรม ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นเกษตรกรรม ศาสตราจารย์ ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ กล่าวว่า สังคมเกษตรกรรมมีการเปลี่ยนแปลง สังคมชนบท สังคมชาวนา สังคมเกษตรที่ไม่ได้เป็นแบบเดิมแล้ว เปลี่ยนเป็น สังคมผู้ประกอบการในชนบท (Rural Entrepreneur society) และผู้ประกอบการในชนบททั้งหลายล้วนเสาะแสวงหาหรือปรับวิธีการของตัวเองในการที่จะทำให้ชีวิตตัวเองก้าวหน้ามากขึ้น เช่นเดียวกับ รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง ที่พูดถึงชาวนาที่ต้องปรับเปลี่ยนการผลิตข้าวแบบเดิม ที่ส่งเสริมให้ปลูกแล้วอุดหนุน ไปสู่แบบครบวงจร ผลิตหลากหลายภายใต้การคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และหนุนให้ชาวนาเป็นผู้ประกอบการ กนกพร ดิษฐกระจันทร์ ยังกล่าวถึงการรวมกลุ่มและต่อยอดของเกษตรกรในปัจจุบัน ไปสู่ธุรกิจรายย่อย ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ อ.อู่ทอง ว่า ที่ผ่านมากลุ่มก็พยายามผลิตข้าวอินทรีย์ ผลิตแบบหลากหลายและแปรรูป แต่กลับพบว่า การหนุนเสริมยังไม่ทั่วถึง เข้าถึงแค่คนบางกลุ่ม เช่น การทำโรงงานแปรรูปแป้ง การทำโรงงานที่ได้มาตรฐานก็ต้องมีความรู้และจัดการหลายเรื่อง ทั้งการจัดการโรงงาน การผลิต เกษตรกรมีต้นทุน้อย เกษตรกรรุ่นใหม่พยายามรวมกลุ่มกัน และสามารถจัดการตัวเอง สำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้ประกอบการ การมีเงินทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ยในระยะเวลาสั้นจะช่วยหนุนให้เกษตรกรรุ่นใหม่เติบโตไปเป็นผู้ประกอบการได้มากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี และเติบโตมากับโลกออนไลน์ การปรับตัวจะทำได้ง่าย แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการหนุนเสริมแบบจริงจัง หรือคนรุ่นใหม่ยังเข้าไม่ถึง สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ระบุว่า โครงสร้างนโยบายเกษตรของไทย ส่วนใหญ่เป็นการอุดหนุนแบบไม่มีเงื่อนไข จากงานวิจัยของสถาบันระบุว่า การใช้ให้อุดหนุนต่าง ๆ ตั้งแต่สนับสนุนต้นทุนการผลิต การเก็บเกี่ยว จนเยียวยาภัยพิบัติ ฯลฯ ผลการศึกษาช&#;ี้ว่า ทำให้เกษตรกรไม่ค่อยปรับตัว เกษตรกรยังปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไม่ได้ปรับเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ซึ่งการศึกษาของ รศ.ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในปี 2565 พบว่า เงินอุดหนุนแบบไม่มีเงื่อนไขทำลายแรงจูงใจของเกษตรกรในการใช้เทคโนโลยีการผลิต หรือแรงจูงใจในการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของอายุของเกษตรกรที่สูงขึ้น โดยในปี พ.ศ.2565 พบว่า มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ราว 55 ปี ทำให้การปรับตัวเท่าทันเทคโนโลยีเป็นไปได้ช้า และการศึกษาของเกษตรก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะหัวหน้าครัวเรือน เพราะจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือน รัฐจึงควรเปลี่ยนจากเงินอุดหนุนแบบ “ไม่มีเงื่อนไข” มาเป็นการอุดหนุนและเติมความรู้ให้กับเกษตรกร โดยมีแผนในการพัฒนาอาชีพที่ชัดเจน การอุดหนุนต้องนำไปสู่การวางแผนการผลิตของครัวเรือนเกษตรกร เพื่อรู้ต้นทุน ปัจจัยการผลิตที่มี ลูกค้า ระยะเวลาที่เหมาะสม เทคโนโลยีที่จะใช้ผลผลิตที่จะได้ การขนส่ง การจัดการ และความเสี่ยงต่างๆ ต้องมีการทำบัญชีครัวเรือน ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลและเห็นรายได้รายจ่ายทั้งหมด จะนำไปสู่การจัดการรายได้ และวางแผนในการจัดการหนี้สินที่เหมาะสม เพราะครัวเรือนเกษตรส่วนใหญ่มีหนี้สิน โดยเฉลี่ยเกษตรกรมีรายได้ 390,376 (ปี 62/63) รายจ่าย 275935 บาท หนี้สิน 200,957 ขนาดหนี้สินปลายปี 225,090 บาท อีกปัจจัยคือความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของเกษตรกรไทย จะต้องมาจากการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วทันการใช้งาน แต่ปัจจุบันการวิจัยด้านเกษตรของไทยตกต่ำ ทั้งปริมาณและคุณภาพ นอกจากงบประมาณการวิจัยด้านเกษตร ที่ลดลงจนไม่ถึง 0.25 % ของผลผลิตการเกษตร สังคมไทยยังขาดนักวิจัยรุ่นใหม่หากรัฐบาลให้ความสำคัญด้านการพัฒนาความรู้ และวิจัยเชิงปฏิบัติติการจะช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวได้มากขึ้น ความท้าทายสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ภาวะโลกร้อน ที่กำลังส่งผลกระทบรุนแรงในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทีดีอาร์ไอ แนะนำว่า การปรับตัวตามสภาพภูมิอากาศจะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ แต่ในทางกลับกัน หากเกษตรกรไม่ปรับตัว อาจจะเกิดความเสียหายต่อผลผลิตอย่างมาก ความรู้เท่าทัน การจัดการการเพาะปลูก การเปลี่ยนเวลาในการผลิตให้เหมาะกับฤดูกาลที่เปลี่ยนไป หรือนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งการคาดการณ์ภูมิอากาศล่วงหน้าและการจัดผังการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลนับจากนี้ไป ควรจะมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง และก้าวให้พ้นจากวัฏจักรเดิม ๆ ที่มุ่งไปแก้ที่เรื่อง “หนี้สิน-ที่ดินทำกิน-อุดหนุนราคา” ด้วยการมองภาคเกษตรในมุมมองที่ต่างไปจากเดิม ไปพิจารณาถึงกลไกที่จะทำให้อย่างให้ภาคเกษตรไทยก้าวทันการเปลี่ยนของโลก เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาพื้นฐานเดิม ๆ ที่มีมานานและยังไม่เคยแก้ไขได้มากว่าครึ่งศตวรรษ

ล่าสุด มีการล่อลวงคนจากทวีปแอฟริกามาทำงานเป็นแก็งค์คอลเซนเตอร์ รวมถึงสแกมเมอร์ต่าง ๆ ที่ทางไทยได้ให้การช่วยเหลือออกมา คือคนจากประเทศโมร็อกโก จากการประสานงานขอความช่วยเหลือจากเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจั

วันนี้ (24 มี.ค.2568) เวลาประมาณ 22.00 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั

นิยายชีวิต โดย : Erdy Nasrul
เรื่องและภาพโดย : Erdy Nasrul
[[คลิก]] อ่านเรื่องราว “นิยายชีวิต” ได้ที่นี่..