เชื้อดื้อยา หรือ Antimicrobial Resistance (AMR) คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความสามารถในการต้านทาน
เชื้อดื้อยา หรือ Antimicrobial Resistance (AMR) คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความสามารถในการต้านทานยาปฏิชีวนะ ทำให้ยาที่เคยรักษาได้ผลกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ เช่น เชื้อที่ก่อโรคปอดบวมหรือติดเชื้อในกระแสเลือดอาจไม่ตอบสนองต่อยามาตรฐาน ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ปัญหานี้เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2593 เชื้อดื้อยาอาจคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกถึง 10 ล้านคน/ปี ผลกระทบของ "เชื้อดื้อยา" ไม่ได้จำกัดแค่ด้านสุขภาพ แต่ยังกระทบเศรษฐกิจและสังคม การรักษาที่ล้มเหลวทำให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น ต้องใช้ยาที่แพงกว่า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยเผยว่า ในประเทศไทย เชื้อดื้อยาทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านการรักษามากกว่า 120,000 ล้านบาท/ปี และคร่าชีวิตผู้คนมากกว่าอุบัติเหตุทางถนนถึง 2 เท่า การแพร่กระจายของเชื้อดื้อยายังเกิดได้ง่ายผ่านการสัมผัส การเดินทาง หรือน้ำเสียจากโรงพยาบาล ทำให้ทุกคนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะอยู่ในชุมชนหรือสถานพยาบาล ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมเป็นสาเหตุหลักของเชื้อดื้อยา เช่น การซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ การขอให้แพทย์สั่งยาโดยไม่จำเป็น หรือการหยุดยาเมื่ออาการดีขึ้นก่อนครบกำหนด ล้วนกระตุ้นให้แบคทีเรียปรับตัวและพัฒนาความต้านทาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รายงานว่า ในประเทศไทย มีการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นถึงร้อยละ 50-60 ของกรณีทั้งหมด โดยเฉพาะในโรคที่เกิดจากไวรัส เช่น หวัดหรือท้องเสีย การใช้ยาที่ไม่ถูกต้องยังรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในร่างกาย โดยเฉพาะแบคทีเรียดีในลำไส้ ซึ่งช่วยย่อยอาหารและเสริมภูมิคุ้มกัน เมื่อแบคทีเรียดีถูกทำลาย แบคทีเรียดื้อยาจะเติบโตและแพร่กระจาย นอกจากนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์และเกษตรกรรมอย่างแพร่หลายโดยไม่ควบคุมก็ทำให้เชื้อดื้อยาแพร่สู่มนุษย์ผ่านอาหารและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมการใช้ยาทั้งในมนุษย์และสัตว์ เพื่อลดการเกิดเชื้อดื้อยาในระยะยาว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือ การคิดว่å¦åายาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสส เต็ ป ทีเด็ดบเป็นยาเดียวกัน ยาปฏิชีวนะ เช่น Amoxicillin หรือ Ciprofloxacin มีฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่ออาการอักเสบ ลดบวม หรือบรรเทาปวด ส่วนยาแก้อักเสบ เช่น Ibuprofen หรือ Diclofenac ช่วยลดการอักเสบ ลดปวด และลดบวม แต่ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ความสับสนนี้มักนำไปสู่การใช้ยาผิดวัตถุประสงค์ เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการปวด บวม หรือมี,,,ไข้ อาจขอให้แพทย์สั่งยาปฏิชีวนะโดยคิดว่าจะช่วยให้หายเร็วขึ้น สภาเภสัชกรรมระบุว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่ไม่จำเป็น เช่น อาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบหรือบาดเจ็บ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาในชุมชน การรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจความแตกต่างระหว่างยาทั้งสองประเภทจึงจำเป็น เพื่อลดการใช้ยาผิดประเภทและปกป้องประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว กรมควบคุมโรคระบุว่ากว่าร้อยละ 80 ของโรคหวัดและเจ็บคอเกิดจากไวรัส เช่น ไรโนไวรัส หรือ อินฟลูเอนซา และสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วันโดยการพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ การรักษาควรเน้นบรรเทาอาการด้วยยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ หรือสเปรย์พ่นคอ ยกเว้นกรณีที่มีสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ไข้สูงและมีหนองที่ต่อมทอนซิล ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ ในกรณีท้องเสียเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส เช่น โรตาไวรัส หรือการปนเปื้อนของอาหาร การรักษาควรเน้นชดเชยน้ำและเกลือแร่ด้วยสารละลาย ORS มักหายได้เองภายใน 1-3 วัน ยกเว้นในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นมูกเลือด ซึ่งอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้คำสั่งแพทย์ ส่วนแผลçสดจากอุบัติเหตุทั่วไป หากทำความสะอาดดีด้วยน้ำเกลือและปิดแผลให้สะอาด ไม่มีสัญญาณติดเชื้อ เช่น บวมแดงหรือมีหนอง มักไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นแผลลึก แผลจากการถูกสัตว์กัด หรือแผลที่มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนมาก ซึ่งอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการรักษาที่เหมาะสม การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการลดปัญหาเชื้อดื้อยา ข้อปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว สถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ยังเผชิญความท้าทาย ทั้งในแง่เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูง ส่วนหนึ่งมาจาก แบคทีเรียที่พัฒนาความต้านทานได้เร็วกว่าการค้นพบยาใหม่ WHO ระบุว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนายาปฏิชีวนะใหม่เพียงไม่กี่ชนิด และยาหลายตัวก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย อาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันกับโรค การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบจึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนที่สุด กระทรวงสาธารณสุขได้ออกนโยบายควบคุมการจำหน่ายยาปฏิชีวนะในร้านยา และส่งเสริมการใช้ยาตามใบสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการเข้าถึงยาโดยไม่จำเป็น การร่วมมือในระดับนานาชาติและการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป ปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ แก้อักเสบลดบวม คนละตัว ห้ามใช้สลับ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ที่มา : WHO, กระทรวงสาธารณสุข, สสส., สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย อ่านข่าวอื่น : "แกงขี้เหล็ก" ยิ่งกิน ยิ่งอุ่น เสริมภูมิต้านทานช่วงเปลี่ยนฤดู “สำนักพุทธฯ” ทำอะไร? ในวันที่ “ศรัทธาพระพุทธศาสนา” อ่อนไหว
วันนี้ (31 ม.ค.2567) ศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่คำวินิจฉัยฉบับเต็ม คดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (เรื่องพิจารณาที่ 17/2566) นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู
วันนี้ (27 ธ.ค.2567) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่สำนักงาน กกต.
- ส เต็ ปå¦å ทีเด็ด
- roma สล็อต สมัครคา สิ โน ออนไลน์ ยอด นิยม
- เข้า เกม superslot
- 89ke ทาง เข้า
- ดู บอล สด เจ ลีก ซั ป โป โร วัน นี้
- jdb slot ทดลอง เล่น
นิยายชีวิต โดย : Reiny Dwinanda
เรื่องและภาพโดย : Reiny Dwinanda
[[คลิก]] อ่านเรื่องราว “นิยายชีวิต” ได้ที่นี่..